บทที่ 124: ตระกูลโซโรฟยา

“ท่านพ่อบอกให้นายไปรายงานเขา ถ้าตระกูลโซโรฟยาส่งคนมางั้นเหรอ?”

โรเอลที่กำลังนั่งอยู่ข้างกองไฟมองดูเดิร์กด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความสับสน

เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ตระกูลแอสคาร์ดของเราไปยุ่งเกี่ยวกับตระกูลโซโรฟยาตั้งแต่เมื่อไหร่?

ยิ่งกว่านั้นการสั่งให้เดิร์กต้องแจ้งเขาในทันทีที่ตระกูลโซโรฟยามาหา มันคงจะเป็นเรื่องอะไรที่จริงจังมาก หรือว่า… คาร์เตอร์เคยยืมเงินจากพวกเขามาก่อนในตอนที่ยังเด็ก?

โรเอลรู้สึกได้ถึงเหงื่อเย็นยะเยือกที่ไหลลงมาตามกระดูกสันหลัง ไม่ใช่ว่าจินตนาการของเขากำลังโลดโผน… แต่เอาจริง ๆ แล้วมันก็ค่อนข้างจะโลดโผนไปไกลมาก แต่ใครเล่าจะมาตำหนิเขาได้! ก็ในโลกนี้มีขุนนางมากมายที่เป็นหนี้ตระกูลโซโรฟยา!

การพัฒนาเขตการปกครองต้องใช้เงินและทรัพยากรจำนวนมหาศาล มีตระกูลขุนนางสูงศักดิ์เพียงไม่กี่ตระกูลเท่านั้นที่มีฐานะการเงินมั่นคงพอจะจัดการทุกอย่างทั้งหมดให้เรียบร้อยได้ในคราวเดียว

แง่หนึ่ง มันก็คล้าย ๆ กับวิธีที่ผู้คนซื้อบ้านในอดีตชาติของโรเอล แม้บางคนอาจจะสามารถจ่ายเงินซื้อบ้านเต็มจำนวนได้ แต่สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกู้เงินมาก่อนแล้วจึงค่อยผ่อนจ่ายเป็นงวด

ในโลกเดิมของโรเอลส่วนใหญ่มักจะเป็นหน้าที่ของธนาคารที่คอยให้บริการทางด้านการเงิน แต่ในโลกนี้ งานดังกล่าวเป็นของสมาคมพ่อค้า ผู้ปกครองในเขตการปกครองส่วนใหญ่จึงมักจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับสมาคมพ่อค้ารายใหญ่เอาไว้ เพื่อให้แน่ใจว่าพวกเขาจะได้รับเงินทุน เมื่อถึงเวลาที่พวกเขาต้องการจะทำโครงการใหญ่

พูดง่าย ๆ ก็คือ สมาคมพ่อค้าเป็นผู้ให้เงินทุนแก่ขุนนางและเขตการปกครอง โดยบรรดาขุนนางผู้ปกครองของเขตการปกครองต่าง ๆ ก็จะชำระหนี้ด้วยดอกเบี้ยเพียงเล็กน้อย เป็นเวลาหลายปี หรือหลายสิบปีจากภาษีที่พวกเขาจัดเก็บมาได้

ถึงแม้ว่ามันอาจจะฟังดูง่ายเกินไปหากเทียบกับสถานการณ์จริง เพราะในความเป็นจริงแล้วยังมีตัวแปรอีกมากมายบนโต๊ะเจรจา

ยกตัวอย่างเช่นเขตการปกครองอาจได้รับประโยชน์จากทั้ง เครือข่ายต่าง ๆ และ ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่สมาคมพ่อค้ามี เช่นการจัดหากำลังคนและเครื่องมือสำหรับการก่อสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกขั้นสูง

ซึ่งทางฝั่งสมาคมพ่อค้าเองก็อาจจะได้รับเงื่อนไขต่าง ๆ เอื้ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจค้าขายภายในเขตการปกครอง เช่นภาษีที่ต่ำกว่าปกติ การออกกฎหมายทางธุรกิจบางอย่างที่เป็นประโยชน์ หรือการรับรองจากผู้ปกครองเขตการปกครอง ที่อาจก่อให้เกิดผลประโยชน์มากมายต่อสมาคมพ่อค้า

โดยรวมแล้ว หากการพัฒนาเขตการปกครองประสบความสำเร็จได้ด้วยดี ก็อาจจะก่อให้เกิดประโยชน์มหาศาลแก่ทั้งขุนนางผู้ปกครอง และสมาคมพ่อค้าที่เกี่ยวข้อง

ทว่าก็มีความเสี่ยงด้วยเช่นกัน มีโอกาสที่การลงทุนในเขตการปกครองจะล้มเหลว ทำให้ผลตอบแทนไม่เป็นไปตามสัดส่วน และส่งผลกระทบอย่างมากต่อทั้งผู้ปกครองเขตการปกครองและสมาคมพ่อค้า

ขุนนางเขตการปกครอง ที่ล้มเหลวในการพัฒนาเขตการปกครองของตัวเองก็จะกลายเป็นคนจน ส่งผลให้สถานะและอิทธิพลของพวกเขาลดลงไป

ส่วนผลกระทบที่ทางสมาคมพ่อค้าได้รับนั้นแย่กว่ามาก ผู้ที่ลงทุนเพียงเล็กน้อยจะต้องสูญเสียเงินทุนทั้งหมด ในขณะที่ผู้ที่ลงทุนมหาศาลอาจจะต้องจบลงด้วยการล้มละลาย เนื่องจากปัญหาการไหลเวียนในกระแสเงินสด

สมาคมพ่อค้าโซโรฟยาเป็นสมาคมพ่อค้าที่ใหญ่ที่สุดในทวีปเซีย พวกเขาทำงานร่วมกับขุนนางในเขตการปกครองต่าง ๆ มากมาย เพื่อพัฒนาอาณาเขตเหล่านั้น ตระกูลโซโรฟยามีไหวพริบในการทำกำไร ดังนั้นธุรกิจส่วนใหญ่ที่พวกเขาเข้าไปเกี่ยวข้องจึงมักจะประสบความสำเร็จ อย่างไรก็ตามพวกที่ล้มเหลวก็จะต้องติดหนี้ก้อนโตให้กับสมาคมพ่อค้าโซโรฟยา

เป็นไปได้ไหมที่คาร์เตอร์เคยพยายามพัฒนาเขตการปกครองแอสคาร์ดมาก่อน ในสมัยที่เขายังหนุ่ม แต่กลับล้มเหลวสูญเสียเงินจำนวนมากจนเป็นหนี้?

แค่คิดเรื่องนี้ก็มากเกินพอแล้วที่จะทำให้ใบหน้าของโรเอลซีดเซียว

ให้ตายสิ แค่นี้เราก็มีหนี้อยู่กว่าครึ่งล้านเหรียญทองแล้วแท้ ๆ! ถ้าเราต้องมาชำระหนี้ของท่านพ่อด้วยล่ะก็ คงจะต้องขายตัวเองให้นอร่าแล้วมั้ง!

“เมื่อเร็ว ๆ นี้เขตการปกครองของพวกเรามีโครงการพัฒนาอะไรที่สำคัญรึเปล่า?”

โรเอลถามอย่างประหม่า

เดิร์กกะพริบตาครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะที่หาได้ยากออกมา

“ฮ่า ๆๆๆ! นายน้อย เขตการปกครองแอสคาร์ดของเราจะไปมีโครงการพัฒนาที่สำคัญได้อย่างไรล่ะ”

อะไรของหมอนี่เนี่ย? มีอะไรให้น่าภูมิใจรึไง?

โรเอลพูดไม่ออกกับการตอบสนองที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจอย่างแปลกประหลาดของเดิร์ก ทันใดนั้น เขารู้สึกว่าบรรพบุรุษของตัวเองมีความสามารถมากจริง ๆ ที่สามารถปลูกฝังความภาคภูมิใจผิด ๆ แบบนี้ให้กับคนของเขาได้ ทั้ง ๆ ที่เขตการปกครองแอสคาร์ดไม่ได้มีการพัฒนาใด ๆ เลย!

พวกเขาทำแบบนั้นได้ยังไงกันล่ะเนี่ย?

เด็กชายถูขมับของตัวเอง พร้อมคิดเสียใจว่ามันช่างเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่สำหรับตระกูลเซไซต์จริง ๆ ที่ไว้วางใจมอบผืนดินอันกว้างใหญ่เช่นนี้ให้กับตระกูลแอสคาร์ดเมื่อพันปีก่อน พวกเขาคงไม่คาดคิดว่า ผู้นำของตระกูลแอสคาร์ดทุกรุ่นจะเป็นพวกรักอิสระที่อยากจะสร้างอิทธิพลของตัวเองขึ้นมามากกว่าสืบทอดบริษัทของครอบครัว (เขตการปกครอง)

ไม่มีผู้นำตระกูลคนไหนเลยแม้แต่รุ่นเดียวที่สนใจในการพัฒนาเขตการปกครอง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเท่าไหร่ที่เขตการปกครองแอสคาร์ดจะตกต่ำสุดในบรรดาห้าตระกูลขุนนางชั้นสูง แม้ว่าจะเป็นพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดกับราชวงศ์ก็ตาม!

โรเอลรู้สึกเหมือนบรรพบุรุษของเขาเต็มไปด้วยพวกอันธพาล ที่เลือกจะเข้าร่วมกองทัพเพื่อโอ้อวดความแข็งแกร่งของตนเอง!

อย่างไรก็ตามเขาก็โล่งใจลงในที่สุดเมื่อได้ยินคำตอบของเดิร์ก ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้ติดหนี้สมาคมพ่อค้าโซโรฟยา… ซึ่งก็หมายความว่าทุกอย่างยังคงเรียบร้อยดี!

แม้ว่าสมาคมพ่อค้าโซโรฟยาจะมีอิทธิพลอย่างมากในทวีปเซีย แต่ตระกูลแอสคาร์ดเองก็ไม่ได้ด้อยพอที่จะถูกพวกเขากดดันได้ง่าย ๆ ด้วยฉายาหนึ่งในห้าตระกูลขุนนางชั้นสูง เพียงแค่ตระกูลแอสคาร์ดเลือกที่จะเก็บตัวอยู่ภายในจักรวรรดิเซนต์เมซิท ก็ไม่มีทางที่สมาคมพ่อค้าโซโรฟยาจะสามารถทำอะไรพวกเขาได้

นี่ทำให้จิตใจของโรเอลสงบลง เขาเป็นคนมีเหตุผล ดังนั้นตราบใดที่คาร์เตอร์ไม่ได้เซ็นสัญญาหรือข้อตกลงใด ๆ กับตระกูลโซโรฟยา โรเอลก็จะเพิกเฉยต่อพวกเขา

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องในอดีตที่โรเอลเคยขายตะเกียงสงบวิญญาณคุณภาพสูงให้กับพวกเขาก่อนหน้านี้ หากนับเรื่องดังกล่าวแล้วล่ะก็ พวกเขาควรจะขอบคุณโรเอลแทนเสียด้วยซ้ำ

“จะว่าไป พอพูดถึงตระกูลโซโรฟยาแล้ว จำได้ว่าในเกมมัน…”

พอนึกถึงจุดนี้ ภาพของหญิงสาวที่มีผมสีน้ำตาลแดงและดวงตาสีมรกตก็ผุดขึ้นในใจของโรเอล

ชาร์ล็อต โซโรฟยา

เธอเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลโซโรฟยา และเป็นหนึ่งในนางเอกสี่คนที่เป็นเป้าหมายหลักในเกม อาย ออฟ โครนิเคิล

อย่างไรก็ตาม ความทรงจำของโรเอลเกี่ยวกับเกมนั้นได้เลือนลางไปหมดแล้ว ทำให้เขาจำเรื่องเกี่ยวกับหญิงสาวคนนี้ได้น้อยมาก สิ่งเดียวที่เขาจำได้คือเธอเองก็เป็นสาวงามที่มีบรรยากาศอันเยือกเย็น แม้ว่า ‘ความเย็นชา’ ของเธอจะแตกต่างไปจากของอลิเซียก็ตาม

ความเย็นชาของอลิเซีย ชวนให้นึกถึงดอกไม้ที่ไม่มีใครสามารถจะแตะต้องได้บนยอดเขาธารน้ำแข็ง ทำให้คนอื่นต้องเว้นระยะห่างออกไปตามธรรมชาติ กลับกัน ความเย็นชาของชาร์ล็อตมาจากทัศนคติของเธอเป็นหลัก

เธอมีบุคลิกลักษณะเฉพาะที่สืบทอดมาจากรุ่นสู่รุ่นภายในตระกูลโซโรฟยา ความคิดแบบขาวดำ ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากประวัติความเป็นมาในตระกูลของพวกเขา

เมื่อพวกเขาตัดสินใจว่าจะเกลียดใครสักคน แม้ว่าอีกฝ่ายหนึ่งจะเป็นจักรวรรดิออสทีนที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาก็พร้อมที่จะต่อต้านอย่างไม่ลังเล แม้ว่ามันอาจจะหมายถึงความหายนะของพวกเขาก็ตาม ทว่าหากเป็นคนที่พวกเขาชอบ พวกเขาก็จะไว้วางใจและปกป้องเป็นอย่างดี

ซึ่งชาร์ล็อตก็ได้สืบทอดบุคลิกภาพนี้มาจากบรรพบุรุษเช่นกัน หากเธอเกลียดใครแล้วล่ะก็ เธอก็จะใช้ทุกวิถีทางที่มีอยู่อย่างไม่ลังเลเพื่อบดขยี้พวกเขาจากเงามืด แต่หากเธอชอบใครขึ้นมา ชาร์ล็อตก็พร้อมเต็มใจทำทุกอย่างเพื่อพวกเขา

แน่นอนว่า ถ้าเป็นไปได้โรเอลก็อยากจะหลีกเลี่ยงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงคนนี้ เพราะเขาไม่มั่นใจว่าตนเองจะสามารถฝ่ากำแพงหนาเข้าไปในหัวใจของเธอได้ ถ้าเขาบังเอิญทำให้เธอไม่ชอบขึ้นมาล่ะก็ มันคงจะเป็นเรื่องยากมากแน่ ๆ สำหรับเขาที่จะพลิกสถานการณ์กลับมาได้

นอกจากนี้ในบรรดานางเอกทั้งสี่คนที่ทำให้โรเอลต้องถูกประหารชีวิตในเกม ชาร์ล็อตมีส่วนเกี่ยวข้องกับความตายของเขาน้อยที่สุด อันที่จริงแล้ว เธอแทบจะไม่ได้เคลื่อนไหวเลยด้วยซ้ำ

โรเอลไม่แน่ใจนักว่าเหตุผลเบื้องหลังการกระทำของเธอคืออะไร แต่เขาก็เดาว่าคงจะเป็นเพราะโรเอลนั้นไม่ได้มีเรื่องขัดแย้งกับชาร์ล็อตมากเท่าไหร่ ดังนั้นเขาจึงรู้สึกว่ามันคงเป็นการดีที่สุดสำหรับเขาที่จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเธอ

“ช่างมันเถอะ ในเมื่อตอนนี้พวกเราไม่มีอะไรระหว่างกันอยู่แล้ว เราก็ไม่ควรไปยุ่งกับเธอ เราเองก็ไม่ได้ว่างอะไรขนาดนั้นด้วย…”

“พี่ใหญ่ กำลังพึมพำเรื่องอะไรอยู่งั้นเหรอคะ?”

“อา? ไม่มีอะไรหรอก อย่าไปสนใจมันเลย ฮ่าๆๆๆ”

เมื่อต้องเผชิญกับสายตาอยากรู้อยากเห็นของอลิเซีย โรเอลก็รีบปิดปากหัวเราะ ก่อนจะหันไปสนทนากับเดิร์กต่อ

ระหว่างการพูดคุย โรเอลก็ได้รู้ว่าในสมัยที่ยังหนุ่ม เดิร์กนั้นเคยถูกส่งไปประจำการที่ชายแดนตะวันออก ด้วยความที่ตอนนั้นเขายังเด็กและใจร้อน ความเลือดร้อนจึงกระตุ้นให้เขาเดินทางไปยังเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์และเข้าร่วมกองทัพ ทว่าเนื่องจากเขาขาดทั้งเส้นสายและโชคลาภ หลังจากที่เขาฝึกเสร็จแล้ว เดิร์กจึงถูกส่งตัวไปที่ป้อมปราการทาร์กทางทิศตะวันออก เพื่อทำหน้าที่เป็นทหารยาม

แม้ว่าป้อมปราการทาร์กจะเป็นปราการที่มั่นสำหรับป้องกันภัยคุกคามต่อมนุษยชาติ ไม่ว่าจะเป็นพวกกลายพันธุ์ หรือภัยคุกคามจากภายนอกอื่น ๆ

แต่ป้อมปราการทาร์กนั้นกลับเงียบงันอย่างไม่น่าเชื่อในช่วงเวลาสงบ แทบไม่มีกิจกรรมใด ๆ เกิดขึ้นที่นั่น และแทบจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นด้วย มันตั้งอยู่ในพื้นที่รกร้างว่างเปล่าปราศจากศักยภาพในการพัฒนาใด ๆ นอกจากนี้ ด้วยการเข้าถึงที่ไม่ค่อยสะดวกทางภูมิศาสตร์จึงยิ่งทำให้สิ่งต่าง ๆ แย่ลงไปอีก

ไม่มีใครอยากจะไปที่นั่นเพื่อทนอยู่อย่างทุกข์ทรมานโดยไม่มีเหตุผล

ซึ่งทางจักรวรรดิเซนต์เมซิทเองก็เข้าใจถึงสิ่งนี้เช่นกัน ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ป้อมปราการแห่งนี้เสื่อมสภาพหรืออ่อนแอลง พวกเขาจึงมักจะส่งทหารวัยหนุ่มไปที่นั่นอย่างต่อเนื่อง ทหารเหล่านั้นจะต้องประจำการอยู่ที่ป้อมปราการเป็นเวลานาน 5 ปีก่อนที่จะถูกเปลี่ยนตัว โดยเงินเดือนที่พวกเขาได้รับนั้นจะสูงกว่าปกติ

เดิร์กได้เรียนรู้อะไรหลาย ๆ อย่างมาจากระยะเวลา 5 ปีที่เขาประจำการอยู่ที่ป้อมปราการทาร์ก ด้วยที่เขามีความสามารถในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ทันทีที่เขากลับมา เดิร์กจึงได้รับการเลื่อนตำแหน่งในทันที และมาอยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของคาร์เตอร์โดยตรง ทำให้เขาได้รับเส้นสายจากผู้ปกครองในเขตการปกครองของเขา

ในยุคนี้ที่การเดินทางไม่สะดวกเช่นนี้ ผู้คนมักจะผูกพันกับสถานที่ที่พวกเขาเกิดและเติบโตมากกว่าที่อื่น ๆ จึงเข้าใจได้ไม่ยากเท่าไหร่ว่าทำไมเดิร์กถึงได้ตื่นเต้นกับการได้ทำงานรับใช้ประจำการในเขตการปกครองที่เขาเติบโตมา นี่ส่งผลให้เขาพยายามและทำงานหนักมากกว่าใคร ๆ ซึ่งการพยายามอย่างหนักของเดิร์กก็ส่งผลดีทำให้พลังของเขาเติบโตอย่างรวดเร็ว และต้องตาถูกใจคาร์เตอร์ได้ในที่สุด

น่าเสียดายที่มีโอกาสเพียงน้อยนิดเท่านั้นที่ทหารจะได้เลื่อนตำแหน่งในช่วงสงบสุข นี่จึงยิ่งทำให้ข้อมูลประจำตัวต่าง ๆ ของทหารแต่ละคนมีความสำคัญมากขึ้น แม้ว่าเดิร์กจะมีความสามารถ แต่เขาไม่เคยได้รับการศึกษาในโรงเรียนทหาร ทำให้มันกลายเป็นเรื่องยากสำหรับเขาที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง

จนกระทั่งเมื่อคาร์เตอร์คิดที่จะก่อตั้งกองกำลังส่วนตัวขึ้นสำหรับเขตการปกครองแอสคาร์ด ด้วยข้อเสนออันน่าดึงดูดใจที่คาร์เตอร์มอบให้กับเดิร์ก ประกอบกับโอกาสที่จะได้ทำงานในบ้านเกิด ที่ครอบครัวและเพื่อนพ้องของเขาอยู่ เดิร์กจึงรับมันอย่างไม่ลังเล

“นายน้อย ข้ารู้ว่าท่านกำลังกังวลเรื่องอะไร แต่ข้ารับประกันได้เลยว่าความกังวลของท่านนั้นไม่มีมูล ข้าเคยเห็นป้อมปราการทาร์กมาด้วยตาของตัวเองแล้ว และข้าก็รับรองได้เลยว่ามันไร้เทียมทาน”

เดิร์กพูดออกมาตรงกับเรื่องที่โรเอลกำลังคิดอยู่ในใจ แม้ว่ามันจะเป็นการพูดเกินจริงไปบ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วมันก็เป็นอย่างที่เขาพูด พื้นที่ที่จักรวรรดิเซนต์เมซิทรับผิดชอบนั้นขยายออกไปค่อนข้างไกลก็จริง แต่ส่วนใหญ่นั้นเป็นพื้นที่ภูเขา ทำให้เป็นเรื่องยากสำหรับศัตรูที่จะเคลื่อนทัพผ่านไปมา ภูมิประเทศดังกล่าวส่งผลทำให้พวกผู้บุกรุกไม่สามารถทำลายฐานที่มั่นของพวกเขาได้ง่าย ๆ

“ตอนนี้พื้นที่ที่ยากต่อการปกป้องมีเพียงเขตแดนที่คุ้มกันโดยอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์ เนื่องจากฐานที่มั่นของพวกเขาตั้งอยู่บนที่ราบ และไม่มีภูมิประเทศใด ๆ ที่จะนำมาใช้ประโยชน์ได้ ป้อมปราการที่ใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติคือป้อมปราการเซนต์ฟารอน และถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นกับที่นั่น ทุกอาณาจักรก็จะส่งกองกำลังของตนไปเสริมกำลังทัพ สามในสี่การรุกรานที่เกิดขึ้นในทางตะวันตกของทวีปเองก็เกิดขึ้นที่นั่น”

คำพูดเหล่านี้ทำให้โรเอลรู้สึกโล่งใจมากขึ้น เขาพยายามนึกว่ามีรายละเอียดอะไรในเกมอาย ออฟ โครนิเคิลที่บอกเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้หรือไม่ แต่เด็กชายก็นึกอะไรไม่ออกเลย เนื่องจากเกมเริ่มต้นขึ้นด้วยการเข้าเรียนในสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าของตัวเอก ดังนั้นมันจึงมีรายละเอียดเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น

อย่างไรก็ตาม ในเมื่อตัวเอกสามารถเข้าร่วมสถาบันการศึกษาได้อย่างสงบสุข โรเอลก็ไม่น่าจะต้องกังวลเกี่ยวกับการรุกรานของพวกกลายพันธุ์ อย่างน้อย ๆ ก็ไม่มีข้อมูลใดกล่าวถึงผลสืบเนื่องใด ๆ จากเหตุการณ์ครั้งนี้ในเกมเลย

เนื่องจากมันไม่น่าจะใช่สงครามขนาดใหญ่อะไร ความเสี่ยงที่จะมีเหตุร้ายเกิดขึ้นกับป้อมปราการทาร์ก หรือบิดาของเขาที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลหน่วยขนส่งเสบียงจึงมีไม่มากด้วยเช่นกัน นี่ทำให้โรเอลรู้สึกว่าเขาไม่จำเป็นจะต้องกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้

ด้วยที่ความกังวลทั้งหมดในใจถูกละทิ้งไปแล้ว ในที่สุดโรเอลก็สามารถมุ่งความสนใจไปที่การพัฒนาพลังเหนือธรรมชาติและเขตการปกครองของเขาได้เสียที

เมื่อโรเอลมองไปที่แต้มความสนใจ 200,000 คะแนนที่เขาสะสมไว้ในระบบจนถึงตอนนี้ เขาก็ตัดสินใจได้ว่าจะใช้จ่ายมันอย่างสนุกสนาน

เป้าหมายแรกของเราในฐานะตัวแทนผู้ปกครองเขตการปกครอง ก็คือการใช้แต้มความสนใจทั้งหมดให้คุ้มค่า