ภาคที่ 3 บทที่ 63 เตรียมการ (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 63 เตรียมการ (2)

หลังออกจากคฤหาสน์ท่านเจ้าเมืองแล้ว ซูเฉินก็กลับเรือนตน

เขาไม่ได้นำรถม้ามา มีเพียงกองทหารเกราะโลหิตที่เดินตามไปเท่านั้น

เดิน ๆ ไปแล้ว พลันมีคนหนุ่มสามคนปรากฏตัวขึ้น เดินมาทิศตรงกันข้ามกับพวกเขา

แม้จะห่างกันไกล ซูเฉินก็มีความรู้สึกทันทีว่าอีกฝ่ายกำลังเดินตรงมาทางเขา

อีกทั้งอีกฝ่ายยังเผยกลิ่นอายดูคุ้นเคยอีกด้วย

เขาจึงหรี่ตาลงแล้วหยุดฝีเท้า

คนทั้งสามยังคงมุ่งหน้าตรงมา

จากนั้นก็หยุดฝีเท้า ห่างจากซูเฉินราวหนึ่งจั้ง

ชายหนุ่มตรงกลางมีผมยาวเลยไหล่ มีห่วงทองมัดผมไว้ เขาคลี่ยิ้มเห็นฟันแล้วเอ่ย “ซูเฉิน ?”

“โอหังนัก !” เมื่อได้ยินคนเรียกชื่อซูเฉินตรง ๆ หัวหน้ากองทหารเกราะโลหิตก็ตะโกนเสียงลั่น เอื้อมมือแตะด้ามดาบในพลัน

ซูเฉินหยุดเขาไว้ “ท่านคือ ?”

ชายหนุ่มมีห่วงทองคล้องผมตอบ “ข้ามีนามว่าเค่อหมิงโส่ว สองคนนี้คือสหายข้า โจวไป๋และอู๋เสี่ยวเหลียง พวกเขาจบมาจากสถาบันมังกรซ่อนเร้นเช่นกัน ข้าว่าเจ้าต้องเรียกพวกข้าว่าศิษย์พี่”

“พวกท่านทั้งสามเป็นศิษย์พี่ของข้านี่เอง” ซูเฉินยิ้มบาง ก้มให้ทั้งสามเล็กน้อยก่อนเอ่ย “ซูเฉินเคารพศิษย์พี่ทั้งสาม”

“ไม่ต้องมากพิธีหรอก” คนด้านข้างที่ชื่อโจวไป๋ว่า “ดูท่าเจ้าจะเข้าใจมารยาทสังคมดี ดีมาก ได้ยินมาว่าพวกเจ้ามีความสัมพันธ์กับตระกูลสายเลือดชั้นสูงในเมืองธารน้ำใสไม่ค่อยดีเท่าไร”

“แล้ว ?”

“ก็ไม่มีอะไรหรอก เพียงแต่ข้าอยากบอกว่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงเป็นเสาหลักของเผ่ามนุษย์ในการรับมือกับเผ่าอื่น ๆ พวกเขามีความสำคัญมาก เจ้าเคารพพวกเขาบ้างย่อมเป็นการดี”

ซูเฉินขมวดคิ้ว “เช่นนั้นศิษย์พี่ทั้งหลายมาหาข้าเพราะตระกูลสายเลือดชั้นสูง ? พวกท่านคงเข้าใจข้าผิดแล้ว ข้าเพียงแต่ทำตามหน้าที่ของข้า ไม่ได้ทำเกินเลยแต่อย่างใด หากมีปัญหาอะไร พวกท่านไปถามตระกูลสายเลือดชั้นสูงพวกนั้นดีกว่า ไม่ใช่มาถามข้า”

อู๋เสี่ยวเหลียงสีหน้าพลันทะมึน “ซูเฉิน เจ้าอ้างเช่นนี้หมายความว่าไม่อยากสงบศึกใช่หรือไม่ ?”

ซูเฉินไม่มองอีกฝ่ายด้วยซ้ำ กลับหันไปพูดกับเค่อหมิงโส่ว “พวกท่านไม่คิดโน้มน้าวข้าดี ๆ เลยกระมัง ? เพราะหากใช่ก็คงไม่มาดักกันกลางถนน แล้วบีบให้ข้ายอมก้มหัวด้วยคำพูดไม่กี่คำเช่นนี้ พวกท่านควรจะมาเยือนข้าที่คฤหาสน์เสียก่อน พยายามสานไมตรีกับข้า แต่พวกท่านกลับมาปรากฏตัวที่นี่ เอ่ยวาจาไร้สาระแทนน่ะหรือ ? พวกท่านแค่จะมาให้ข้าเห็นว่ามีพวกท่านอยู่ที่นี่ ทำท่าราวกับมาประกาศสงคราม……พวกท่านก็ไม่ได้โอ้อวดมากมายอะไร แต่ก็นับว่าเย่อหยิ่งไม่น้อย เรื่องวางท่าข้าต้องยกให้พวกท่านเลยจริง ๆ”

คนทั้งสามเปลี่ยนสีหน้าทันที

ซูเฉินชี้เป้าหมายของอีกฝ่ายได้ทันที ซึ่งการที่ท่าทางที่เก็บงำไว้ถูกดูออกเช่นนี้ มันก็เป็นความรู้สึกราวกับถูกตบหน้า

“เอาล่ะ ในเมื่อพวกท่านเผยตัว พูดเรื่องจบหมดแล้ว หากไม่มีอะไรอีกข้าขอตัว”

ซูเฉินพูดจบก็เดินผ่านคนทั้งสามไป มองเมินไปโดยสิ้นเชิง

เค่อหมิงโส่วนัยน์ตาเย็นเยียบ “อย่างไรเราก็ยังเป็นศิษย์พี่ของเจ้า แต่เจ้ากลับเสียมารยาทเช่นนี้…..”

ซูเฉินเอ่ยขัด “ทุก ๆ ปีมีคนนับพันจบจากสถาบันมังกรซ่อนเร้น อาณาจักรหลงซางมีคนนับหมื่นที่เรียกได้ว่าเป็นศิษย์พี่ของข้า พวกท่านไม่ต้องพยายามสานไมตรีกับข้าหรอก”

พูดจบแล้วก็เดินจากไป

คนทั้งสามเกือบระเบิดความโกรธออกมาเมื่อเห็นเงาร่างซูเฉินเดินจากไป

“ดี ! ดีมาก !” โจวไป๋เอ่ยเสียงเหี้ยม “ใครจะรู้ว่าศิษย์น้องหัวแข็งเช่นนั้นจะจบมาจากสถาบันมังกรซ่อนเร้น ? ดูท่าจะต้องมีคนสั่งสอนมันเสียหน่อยแล้ว”

“ถูกต้อง !” เค่อหมิงโส่วและอู๋เสี่ยวเหลียงร้องตอบ

————————————————

เค่อหมิงโส่ว และคนอื่น ๆ ไม่คิดเลยว่าท่าทีของพวกตนไม่เพียงไม่ทำให้ชายหนุ่มกดดันแม้แต่นิด หากแต่ยังไม่อาจทำให้อีกฝ่ายจดจำพวกตนได้นานด้วยซ้ำ

ซูเฉินยังคงคิดหัวแทบแตกว่าจะจัดการพวกโจรสลัดอย่างไรดี

เมื่อกลับคฤหาสน์ซูแล้ว ชายหนุ่มก็เรียกข้ารับใช้เงามาทันที สั่งให้พวกเขาไปแจ้งหวังเหวินซิ่น ให้นำกลุ่มอันธพาลฉางชิงที่ไว้ใจได้มาสัก 50 คน

หลังจากหวังเหวินซิ่นเข้าควบคุมกลุ่มอันธพาลฉางชิงแล้ว ก็ได้ทำการปรับโครงสร้างเสียใหม่ ตอนนี้เขาคุมทุกอย่างได้โดยสมบูรณ์ ฉากหน้าเขาทำทีเป็นเชื่อฟังตระกูลไหล แต่เขาเลือกข้างซูเฉินมานานแล้ว ด้วยชายหนุ่มจงใจวางหนามหนึ่งไว้ในสิบตระกูลสายเลือดชั้นสูงและสั่งไม่ให้หวังเหวินซิ่นเผยตน สำหรับหวังเหวินซิ่นแล้วก็นับว่าดี ด้วยซ่อนตัวเช่นนี้ช่วยบรรเทาเรื่องแรงกดดันที่อาจมีหากต้องต่อกรตระกูลสายเลือดชั้นสูงลงได้มาก

หากแต่ในวันนี้ ซูเฉินคิดจะใช้กลุ่มอันธพาลฉางชิงทำงานให้

คน 50 คน ไม่น้อยหรือมากไป แต่เรื่องสำคัญคือต้องเป็นคนที่หวังเหวินซิ่นไว้ใจได้ หมายความว่าต้องการดึงเอาคนหลัก ๆ ในกลุ่มอันธพาลฉางชิงออกมา และนับเป็นบททดสอบแรกของหวังเหวินซิ่น

หวังเหวินซิ่นไม่รู้ว่าซูเฉินจะนำคนไปทำอะไร แต่หลังจากได้รับคำสั่งแล้ว เขาก็ยังลังเล จงใจใช้เวลาครุ่นคิดนาน สุดท้ายก็ตอบตกลง

2 วันถัดมา กลุ่มอันธพาลฉางชิง 50 คนก็มาปรากฏตัวอยู่ในสวนหลักคฤหาสน์ซู รวมอยู่กับพวกโจร สร้างเป็นกองทหารราว 150 คน

ไม่มีใครรู้ว่าซูเฉินจะนำคนไปทำอะไร แต่ในวันต่อ ๆ มานั้นกลับได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนดังออกมาจากห้องทดลองของเขาได้เด่นชัดยิ่ง

เป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทรมานเป็นยิ่งนัก หากไม่ใช่เพราะคนที่เข้าไปแล้วออกมายังมีชีวิตแข็งแรงดี มีใบหน้าชื่นมื่น เสียงโหยหวนเหล่านี้ก็คงทำให้คนอื่น ๆ แข้งขาอ่อนไปตาม ๆ กัน

เมื่อเห็นว่าคนที่ออกมาแข็งแกร่งมากเพียงไหน พวกเขาต่างพากันรออย่างมีความหวังในใจ

ความแข็งแกร่งทำให้พวกเขาตั้งหน้าตั้งตารออย่างมีหวัง ส่วนราคาที่ต้องจ่ายคือความหวาดกลัว

วันเวลาหมุนผ่านไปมั่นคงนัก พวกเขาแต่ละคนทนทุกข์ทรมานไปทีละคน

เวลาผ่านไปรวดเร็วนัก พริบตาเดียวเวลาครึ่งเดือนก็ผ่านพ้นไป

วันนั้นเอง ซูเฉินก็ทำการเสริมความแกร่งให้พวกโจรคนสุดท้ายเสร็จสิ้น

กระทั่งเป็นซูเฉินเอง การที่ต้องลงมือกับพวกเขาวันละ 10 คนก็นับว่าเหนื่อยยากนัก ช่วงที่ผ่านมากล่าวได้ว่าเขาใช้พลังทั้งหมดไปกับเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ และเมื่อตอนนี้สำเร็จแล้ว เขาก็อดรู้สึกเหมือนได้รับการปลดปล่อย

ในขณะที่กำลังชื่นชมผลงานตนเองอยู่นั้น ด้านนอกก็มีเสียงคนดังขึ้น “นายน้อย มีคนต้องการพบขอรับ”

เป็นเสียงหมิงชูนั่นเอง

“ใครกัน ?”

“ผู้มาพบเรียกตนเองว่าเจียงหานเฟิงขอรับ”

“หานเฟิง ?” ซูเฉินสะดุ้ง “รีบเชิญเขาเข้ามา…… ไม่สิ ข้าจะออกไปทักทายเขาเอง”

ซูเฉินไม่สนความเหน็ดเหนื่อย รีบออกไปยังประตูหน้า พบว่ามีคนหนุ่มสาวยืนออกันอยู่ด้านนอก คือเจียงหานเฟิง โจวจวินเจีย หม่าเซวียน เว่ยหยาง ถังหมิง อู๋เสี่ยว จ้าวซิน เหยียนหลิง และกังเฮ่าหลี มีทั้งหมด 9 คนด้วยกัน

เมื่อเห็นซูเฉินออกมา ทุกคนก็ร้องขึ้นเสียงดัง

“ซูเฉิน !”

“ศิษย์พี่สามซู !”

“ผู้จัดการความรู้ซู !”

“ศิษย์พี่ซู !”

เกิดเสียงอื้ออึงเป็นยิ่งนัก

ซูเฉินหัวเราะแล้วต้อนรับทุกคน “พวกเจ้ามาได้สักที”

ใช่แล้ว พวกเขาคือกำลังเสริมที่ซูเฉินได้ทางสถาบันมังกรซ่อนเร้นส่งมาช่วยนั่นเอง

ศิษย์ชั้นปีเดียวกันกับซูเฉินจบการศึกษากันหมดแล้ว หากเขาอยากได้คนช่วยจึงได้แต่ถามหาคนที่ชั้นปีอ่อนกว่าเท่านั้น

เจียงหานเฟิงและคนอื่น ๆ ตอนนี้อยู่ศิษย์ชั้นปีที่ 10 แล้ว อีกไม่กี่เดือนก็จะจบการศึกษาจากสถาบันอย่างเป็นทางการ แต่ก่อนหน้านั้นก็ได้รับภารกิจให้มาช่วยเหลือซูเฉิน ไม่เพียงได้คะแนนอุทิศไว้สะสม แต่ยังได้ช่วยเหลือสหายอีกด้วย

การที่พวกเขาได้สู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับซูเฉินเป็นสิ่งที่ทำให้มีความสุขนัก

“ใช่แล้ว” เจียงหานเฟิงที่ช่างจ้อที่สุดเอ่ยเสียงตื่นเต้น “น่าเสียดาย หานหลินเสียกับน้องสี่สิบมีธุระจึงมาไม่ได้ ไม่เช่นนั้นพวกเราก็จะได้มาอยู่พร้อมหน้ากันเลยเชียว”

“ไม่เป็นไร พวกเจ้ามาได้ทันเวลาพอดี ข้ากำลังต้องการคนอยู่เลย พวกเจ้าย่อมช่วยข้าได้มาก”

“ศิษย์พี่สาม ท่านว่ามาเลย ! เราจะไปสู้กับใครหรือ ? ท่านชี้ใครเราซัดคนนั้น” คนทั้งหลายร้องขึ้นเสียงมีชีวิตชีวา มีเพียงถังหมิงที่ยืนกอดอกดูเย่อหยิ่งเช่นเคย แต่นัยน์ตากลับเผยกลิ่นอายกระหายสู้

“หากข้าชี้ลงน้ำเล่า ?” ซูเฉินถามเสียงกลั้วหัวเราะ