ภาคที่ 3 บทที่ 64 ศึกกลางน้ำ (1)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 64 ศึกกลางน้ำ (1)

หากล่องผ่านแม่น้ำฉางชิงไปเรื่อย หลังจากผ่านช่องเขาอุดรเลื่อนลอยไปแล้วกระแสน้ำจะเร็วขึ้นมาก

และหากเดินทางตามน้ำไปทางใต้เรื่อย ๆ เข้าก็จะพบกับบึงหลิงหยวน

หนทางผ่านบึงหลิงหยวนนั้นคดเคี้ยวเลี้ยวลด ด้วยแม่น้ำสามสายมาบรรจบกลายเป็นลำธารสองสาย ก่อเกิดเป็นทุ่งหญ้าอุดมสมบูรณ์ขนาดใหญ่ รู้จักกันในนามที่ราบสามแม่น้ำ

และด้วยสภาพทางที่ซับซ้อน บึงหลิงหยวนจึงกลายเป็นสถานที่ที่พวกโจรสลัดชอบมารวมตัวกัน

ในที่แห่งนี้มีพวกโจรสลัดนับสิบกลุ่มมารวมตัวกันอยู่

โจรสลัดกลุ่มที่เล็กที่สุดมีจำนวนคนเพียงสิบกว่าคน มีเรือเพียงลำสองลำเท่านั้น แต่ก็กล้าขึ้นธงปล้นคนอื่น ๆ ไปทั่ว แต่กลุ่มที่ใหญ่หน่อยจะมีคนเกือบแปดสิบคน ทำอะไรตามอำเภอใจ กล้ากระทั่งโจมตีเรือของทางการ

เรือ ‘เหอหลี’ เคลื่อนผ่านผิวน้ำมารวดเร็ว ตามมาด้วยเหอหลาง เหอซือ เหอหู่ และเหออวี๋ คือเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ 4 ลำนั่นเอง

เรือเดินสมุทรประเภทนี้ด้านหน้าแคบ ด้านหลังกว้าง ที่หัวและท้ายเรือยกสูง ลำตัวเรือจมน้ำลงไปลึก สามารถเคลื่อนเปลี่ยนทิศได้รวดเร็ว เหมาะสำหรับใช้เดินทางผ่านหนทางซับซ้อน ภายในเรือกลวง ขนสินค้าได้จำนวนมาก แต่กลับไร้ดาดฟ้าไว้เฝ้ายาม ทั้งยังไร้ค่ายกลพลังต้นกำเนิดติดตั้งไว้ เห็นได้ชัดว่าเป็นเรือที่มุ่งเอาไว้ใช้ขนส่งสินค้า

ซูเฉินยืนอยู่หน้าเรือ ด้านข้างมีถังหมิง อู๋เสี่ยว และคนอื่น ๆ ยืนอยู่ด้วย

หลังจากเรือเคลื่อนเข้าสู่บึงแห่งนี้แล้วก็เห็นอะไรต่อมิอะไรได้มากขึ้น บางครั้งก็มีเรือสองสามลำแล่นผ่านไปบ้าง

“นี่คือบึงหลิงหยวน หนองขนาด 800 ลี้ที่มีเรือนับพันแล่นผ่านทุกวัน หล่อเลี้ยงชีวิตชาวบ้านนับล้านที่อาศัยอยู่ทั้งสองฟาก รวมถึงโจรสลัดนับหมื่น พวกโจรสลัดบางส่วนก็เป็นสุนัขที่ตระกูลสายเลือดชั้นสูงเลี้ยงไว้เท่านั้น” ซูเฉินเอ่ย

“แล้วกองทหารหลิงหยวนไม่คิดกวาดล้างพวกมันบ้างหรือ ?” เจียงหานเฟิงถามขึ้น

“ต้องเคยอยู่แล้ว ! จะไม่เคยได้อย่างไร ? ปัญหาคือมันไม่ได้ผลเท่าไร จัดการไปสิบครา สำเร็จเพียง 8 ครั้ง ส่วนอีก 2 ครั้งหากกำจัดแมลงตัวจ้อยได้สำเร็จก็จะนับว่าสำเร็จไปด้วย” ซูเฉินหัวเราะเสียงเย็น “หน้าที่ของกองทหารหลิงหยวนไม่ใช่จัดการพวกโจรสลัด แต่คือการใช้โจรสลัดให้การมีอยู่ของกองทหารมีความสำคัญต่างหาก จัดการพวกโจรสลัดย่อมเป็นเรื่องดี แต่หากไม่มีพวกมันแล้ว…… จะมีกองทหารหลิงหยวนไปเพื่ออะไรอีก ? ดังนั้นการควบคุมควบคู่กับการข่มขู่จึงสำคัญมาก”

“ก็ไม่แปลกที่ทางการทำอะไรมากไม่ได้” โจวจวินเจียถอนใจ

“เช่นนั้นหากเราช่วยกวาดล้างพวกโจรสลัดจนหมด สุดท้ายก็คือล่วงเกินพวกเขาน่ะสิ ?” ถังหมิงเอ่ยขึ้น

“ใช่แล้ว ! ดังนั้นถึงเราจะมาเพื่อสังหารโจรสลัด แต่จะให้สังหารทั้งหมดก็ไม่ได้ ต้องเลือกเหยื่อสักหน่อย เรื่องนี้ย่อมเป็นเรื่องไม่เล็ก แต่แม้จะอยากทำ การกวาดล้างพวกมันให้สิ้นซากก็ลงมือได้ยาก ดังนั้นไม่จำเป็นต้องคิดอะไรมากหรอก”

“ถูกต้อง จะเอาชนะพวกโจรสลัดได้ง่าย ๆ อย่างไร ? แต่ละคนเจ้าเล่ห์ถึงเพียงนั้น เราล่องเรือมาทั้งวัน ยังไม่พบพวกมันสักคน” เจียงหานเฟิงพึมพำ

เจียงหานเฟิงพูดจบ เรือลำใหญ่สองสามลำก็ปรากฏออกมาจากเส้นทางเคล้าหมอกที่อยู่ไกล ๆ โดยฉับพลัน

เพราะหมู่หมอกนั้นอยู่ห่างไปไม่ไกลนัก พอเรือเผยตัวจากหมอกจึงค่อนข้างอยู่ใกล้พวกเขา ใกล้ขนาดที่สามารถเห็นใบหน้าดุร้ายกระหายเลือดของคนบนเรือได้

พวกเขาพากันโห่ร้องลั่นยามที่เรือแล่นเข้ามาเต็มกำลัง ยืมกำลังลมเพื่อพุ่งเข้าใส่ซูเฉิน และคนอื่น ๆ นับว่ารวดเร็วกว่าเรือของซูเฉินราวสองเท่าตัว

“พวกโจรสลัด !” คนหนึ่งร้องขึ้น

ในน้ำเสียงไร้ความหวาดหวั่น แต่กลับเต็มไปด้วยความตื่นเต้น

“ฮ่าห์ !!”

สายลมเต็มไปด้วยเสียงโห่ร้องบ้าระห่ำของโจรสลัด โจรชั่วเหล่านี้เปลือยช่วงบน ยืนอยู่บนเรือ ตวัดดาบในมือไปมาอย่างบ้าคลั่ง

ครั้งนี้ก็นับว่าเป็นการออกล่าครั้งใหญ่อีกคราหนึ่ง

พวกเขาไม่ได้มาเพียงลำพัง หากแต่ฝั่งซูเฉินก็มีความคิดเช่นเดียวกัน

ทั้งสองฝ่ายต่างจ้องมองกัน ไม่มีใครเกรงใคร มีแต่ความรู้สึกตื่นเต้นที่ฉุดไม่อยู่

“เดินหน้าเต็มกำลัง !” ซูเฉินร้องสั่ง

เรือของเขาไม่คิดหนี แต่กลับเดินหน้าพุ่งเข้าไปต้อนรับศัตรูอย่างอบอุ่น

โจรสลัดร่างสูงมีผ้าปิดตาคนหนึ่งราวกับสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ เขามองพื้นที่โดยรอบแล้วตะโกนขึ้น “จั่วซือเหลียง สังเกตศัตรูให้ดี ข้าว่ามันดูแปลก ๆ หรือจะมีการลอบโจมตี ?”

ชายชราคนหนึ่งเดินเข้ามา เขามีลำคอยาวเป็นพิเศษ ตอนนี้กำลังใช้มันชะโงกมองดูสถานการณ์อยู่ นัยน์ตาเขาฉายแสงสีแดงประหลาดออกมา

“มีผู้เชี่ยวชาญอยู่ แต่ไม่มาก มีราวสิบคนเท่านั้น ส่วนมากอยู่ด่านกลั่นโลหิต ที่เหลือเป็นผู้ฝึกยุทธ์ด่านหลอมกายา”

“ไม่มีด่านทะลวงลมปราณหรือ ?”

“ไม่มีด่านทะลวงลมปราณ !” ชายชราตอบเสียงมั่นใจ

“เช่นนั้นก็ไม่ต้องกลัวอะไร” หัวหน้าโจรสลัดหัวเราะเสียงก้อง “พวกคนไม่รู้จักประมาณกำลังตน คิดจะใช้กำลังคนเท่านี้ต่อกรกับเราหรือ ? พวกเรา จัดการมันเลย !”

“จัดการมัน !” เหล่าโจรสลัดร้องเป็นเสียงเดียวกัน ดังสนั่นจนฟ้าสะเทือน

โจรสลัดทั้งหลายเต็มไปด้วยความมั่นอกมั่นใจ พวกเขามีคนมากเกือบ 300 คน มีผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณกว่า 50 คน ด่านกลั่นโลหิตอีก 20 คน และยังมีด่านทะลวงลมปราณอีก 2 คน บนเรือก็มีการป้องกันอย่างดี มีเครื่องกระทุ้งเอาไว้โจมตีนับไม่ถ้วน และมีค่ายกลพลังต้นกำเนิดไว้ใช้สู้ ในบึงหลิงหยวนแห่งนี้ นับได้ว่าพวกเขาเป็นโจรสลัดชั้นกลาง ไม่ว่าจะเป็นพื้นฐานการบ่มเพาะพลัง คุณภาพเรือ หรือจำนวนคน ต่างก็มีมากกว่าศัตรูทั้งสิ้น ดังนั้นย่อมไม่รู้สึกเกรงกลัวอีกฝ่าย

เรือทั้งสองต่างแล่นเข้าหากัน ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

จิตสังหารของพวกโจรสลัดพุ่งขึ้นถึงขีดสุด

หากแต่พริบตานั้น คนบนเรืออีกฝั่งก็พากันกระโดดลงน้ำราวกับหย่อนเกี๊ยวลงหม้อน้ำเดือด น้ำกระเซ็นออกมาไม่หยุดหย่อน

“พวกมันทำอะไรน่ะ ?” หัวหน้าโจรฉงนนัก

หรือจะเกิดกลัวขึ้นมาแล้วคิดกระโดดน้ำหนีหรือ ?

แต่หากคิดหนี ไม่แล่นเรือหนีจะเร็วกว่าหรือไร ?

ในตอนที่กำลังสงสัยอยู่นั่นเอง โจรสลัดคนหนึ่งก็ร้องขึ้น “ไฟ ! ไฟไหม้ !”

ทันใดนั้นเรือของฝ่ายตรงข้ามก็มีเปลวเพลิงโหมลุกขึ้น กลายเป็นมังกรไฟขนาดใหญ่ พุ่งเข้าใส่พวกโจรสลัด

“มีเท่านี้เองหรือ ?” หัวหน้าโจรสลัดหัวเราะเสียงทะมึน ก่อนจะหันไปตะโกนส่า “จัดการมัน !!”

“ข้าน้อยมาแล้ว !” ผู้เชี่ยวชาญพลังร่วงท้วมคนหนึ่งหัวเราะเสียงเหี้ยมแล้วก้าวนำหน้าขึ้นมา

เขายกมือขึ้น โบกสั่งคลื่นสูงให้ทะยานขึ้นในอากาศ จากนั้นเปลี่ยนรูปมันกลายเป็นคลื่นน้ำนับพันพุ่งออกไปด้านหน้า

ในใต้หล้านี้ ผู้คนมีพลังไม่ธรรมดา การโจมตีประเภทไฟมักไม่ถึงชีวิต หากมีผู้เชี่ยวชาญพลังอยู่ด้วยก็หาทางรับมือกับการโจมตีได้หลากหลายวิธี

ใช้คลื่นน้ำจัดการกับเรือเพลิงเช่นนี้นับว่าเป็นวิธีที่เรียบง่ายได้ผลดีที่สุด หากพวกโจรสลัดโหดร้ายกว่านี้ ก็อาจใช้การเปลี่ยนทิศทางลม ให้เปลวเพลิงแผดเผาอีกฝ่ายแทน แต่ที่ไม่ทำเช่นนั้นเป็นเพราะพวกโจรสลัดยังอยากเก็บเรือไว้

เปลวเพลิงถูกคลื่นน้ำสาดเข้าใส่ ไอน้ำเดือดขึ้นอากาศ เกิดเป็นม่านหมอกบนผืนน้ำ บดบังการมองเห็นไปไม่น้อย

เพลิงที่เพิงจะโหมลุกขึ้นมาถูกดับลงเช่นนั้น เหลือเพียงเรือว่างเปล่าไม่กี่ลำลอยไร้ชีวิตชีวาอยู่บนผืนน้ำ

แต่หัวหน้าโจรสลัดกลับรู้สึกว่าเรื่องมันผิดปกติยิ่งนัก

คนที่กระโดดลงน้ำล้วนหายไปทั้งหมดไม่เห็นเงา