บทที่ 219 ความกลัวหนึ่งเดียว + บทที่ 220 ยกภรรยาและบุตรเหนือสิ่งอื่นใด

ภรรยาแม่ทัพเป็นสาวชาวบ้าน

บทที่ 219 ความกลัวหนึ่งเดียว

เฉียวเทียนช่างไม่ขยับหรือขัดขืน เขาปล่อยให้หนิงเมิ่งเหยากัดมาเต็มแรง นางใส่แรงกัดโดยไร้ความปรานีดั่งว่าจะพอใจได้ก็ต่อเมื่อขย้ำเนื้อเขาหลุดออกมาเท่านั้น

จนในปากนางสัมผัสได้ถึงรสเลือด นางจึงยอมปล่อยด้วยความตกตะลึง

พอสัมผัสได้ว่านางยอมปล่อยแล้ว เฉียวเทียนช่างค่อยๆ พานางกลับลงนอนกับเตียง เขาพลิกตัวแล้วกดตัวนางไว้จากข้างบน มองเข้าไปในดวงตาของนางซึ่งรื้นน้ำตาและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด

เขาก้มลงจูบเหนือเปลือกตา การกระทำอันเรียบง่ายเช่นนี้เองที่ทำให้หนิงเมิ่งเหยารับรู้ถึงอาการสั่นไหวและความหวาดกลัวของเขา

“เหยาเหยา ไม่ใช่ว่าข้าไม่อยากบอกเจ้า แต่เพราะข้าไม่กล้าบอกเจ้า”

“ทำไม เจ้ากลัวว่าข้าจะทำลายเมืองเซียวหรือ”

“ไม่ใช่ ถ้าเจ้าอยากทำแบบนั้นแล้วจะทำไมรึ แต่เหตุผลของข้าไม่ใช่เช่นนั้น” เฉียวเทียนช่างมองสีหน้าตกตะลึงและแววตาว่างเปล่าของนาง หัวใจเขาปวดร้าวยิ่งนัก “เจ้าถูกเฉียวเทียนอวี๋วางยาทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรงในปริมาณมากเกินไป แล้วยังแท้งลูกอีก ร่างกายเจ้าไม่แข็งแรงดี ข้าจึงไม่อยากให้เจ้าต้องทรมานเพราะกายใจไม่สงบ เด็กจากไปแล้ว แต่ข้าไม่อาจเสี่ยงที่จะเสียเจ้าไปได้ เจ้าเข้าใจหรือไม่”

ตอนเขาเห็นนางที่จวนขององค์ชายฉี ลมหายใจนางรวยรินราวกับไม่มีเหลืออยู่ สองวันที่ผ่านมานั้นเป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุดสำหรับเขา ชิงซวงใช้ยารักษาคุณภาพสูงไปมากมายเพื่อเยียวยานาง ตอนนั้นเองที่นางถึงเริ่มดีขึ้น

“แต่เจ้าจะปิดเรื่องนี้จากข้าไม่ได้ นั่นลูกของข้า ทำไมเจ้าเห็นแก่ตัวเพียงนี้” หนิงเมิ่งเหยากระซิบเสียงต่ำ ประหนึ่งนางยังไม่ได้ตั้งสติดีนักหลังรู้ข่าวนี้

“ข้าอยากบอกเจ้าตอนที่เจ้าแข็งแรงขึ้นแล้ว แต่ไม่ทันคาดคิด…” ไม่ทันคาดคิดว่าเรื่องจะรั่วออกไปก่อน

หนิงเมิ่งเหยาเงียบกริบ สักพักต่อมานางก็ลืมตาขึ้นมองคนตรงหน้า “ออกไป”

“เหยาเหยา ข้า…”

“ออกไป ข้าอยากอยู่คนเดียว” หนิงเมิ่งเหยาหันศีรษะไปอีกทาง ไม่ยอมมองเฉียวเทียนช่าง

แม้นางจะรู้อยู่แก่ใจว่าเฉียวเทียนช่างทำเพื่อนาง แม้ว่านางจะรู้ว่าเฉียวเทียนช่างรู้สึกผิดจับใจ แต่นางก็ยังโกรธแค้นที่เขาปิดเรื่องนี้ไว้จากนาง

สีหน้าเฉียวเทียนช่างกลายเป็นแข็งกระด้าง หลังจากนั้น เขาจึงลุกขึ้นแล้วเดินออกไปเงียบๆ

เมื่อออกไปแล้ว เขาก็ปิดประตู

ขณะนั่งอยูในสวน เขารู้สึกทำอะไรไม่ถูก หนิงเมิ่งเหยาเป็นแบบนี้ทำให้เขารู้สึกตื่นตระหนก นางกำลังกล่าวโทษเขา โทษที่เขาไม่ยอมบอกนาง

นางคิดว่าเขาทำเพื่อเซียวชวี่เฟิงและเมืองเซียว แม้เซียวชวี่เฟิงจะเป็นสหายรักของเขา แต่เขาก็เทียบอะไรกับภรรยาไม่ได้มิใช่หรือ ไฉนเขาจะต้องหยุดนางเพื่อฮ่องเต้ด้วย เขาเป็นห่วงเพียงนางคนเดียวเท่านั้น

หนิงเมิ่งเหยานอนสับสนอยู่บนเตียง นานเท่าไรแล้วที่นางไม่ได้รู้สึกเช่นนี้

นางมาที่โลกนี้ตอนอายุได้ประมาณสิบปี หลังจากนั้นไม่นาน นางก็ได้พบกับเหมยรั่วหลินขณะดิ้นรนเอาชีวิตรอด ในเมื่อตอนนั้นนางอายุน้อยสุด จึงเป็นที่รักและได้รับการปกป้อง จากนั้นนางก็เจอหลิงหลัว ตอนนั้นเขายังคอยปกป้องนาง จนกระทั่งนางจากเมืองหลวงมาหมู่บ้านไป๋ซาน

ที่หมู่บ้านในหุบเขาแห่งนั้น นางใช้ชีวิตสุขสบายทำให้ตัวเองลืมว่าชีวิตในโลกย้อนยุคนี้ไม่ต่างจากชีวิตในโลกปัจจุบัน ใครจะทำอะไรก็ได้ขอเพียงมีความสามารถพอ หรือไม่แล้วก็จะโดนคนอื่นขยี้ไว้ใต้เท้า

เซียวจื่อเซวียนไม่ได้พยายามลอบสังหารนางเพียงครั้งเดียว แต่เฉียวเทียนช่างอยู่ในตอนนั้นพอดีและปกป้องนางไว้ เขาทำให้นางแน่ใจว่าสิ่งที่นางอยากทำจะได้รับการดูแลจากเขา นางเคยคิดว่าทุกอย่างจะไม่เป็นอะไรตราบใดที่ตนซ่อนตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขาแล้วทำตัวเป็นแค่คุณหนูที่เป็นตัวของตัวเองได้อย่างสบายใจ ใครเล่าจะคิดว่าเรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นกับนาง

แทนที่จะโทษใคร นางโทษได้เพียงตัวเอง ความโดดเด่นของนางชัดเจนเกินไป นางคิดว่ามีคนตั้งมากมายปกป้องตนอยู่ เช่นนี้จะมีอะไรเกิดขึ้นกับตนได้ บัดนี้นางเสียใจกับสิ่งที่ตนได้เลือกไปเหลือเกิน

นางเสียใจในความหยิ่งยโสของตนเองยิ่งนัก

หนิงเมิ่งเหยาเอามือปิดหน้าตัวเองตอนที่น้ำตาไหลรินออกมา ใจนางเต็มไปด้วยความเสียใจและความโกรธ แต่มาเสียใจตอนนี้จะมีประโยชน์อันใด ไม่ว่านางจะเสียใจสักเพียงไหน บุตรของนางก็ไม่กลับมา ไม่ว่านางจะเสียใจขนาดไหน สิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วก็คือเกิดไปแล้ว

ดึกดื่นคืนนั้น หนิงเมิ่งเหยาเปิดประตูแล้วเดินออกไป เมื่อเห็นเฉียวเทียนช่างนั่งอยู่บนม้านั่งหินในสวน เต็มไปด้วยความอ้างว้างและโศกเศร้า หนิงเมิ่งเหยาก็ขมวดคิ้ว นางไม่เคยเห็นเขาเป็นเช่นนี้มาก่อนเลย

บทที่ 220 ยกภรรยาและบุตรเหนือสิ่งอื่นใด

ครั้นได้ยินเสียงประตูเปิด เฉียวเทียนช่างก็หันมาหาหนิงเมิ่งเหยาที่ยืนอยู่หน้าประตู ใบหน้านางซีด นางจับขอบประตูไว้ และมองเขาด้วยแววตาสับสนและเศร้าหมอง

เมื่อเห็นอากัปกิริยานางเช่นนี้ เฉียวเทียนช่างก็ลุกลี้ลุกลน เขาลุกขึ้นเดินไปหาหนิงเมิ่งเหยา แต่ละก้าวเขาเกร็งจากการนั่งมานานหลายชั่วยาม

“เหยาเหยา…เจ้ายังโกรธข้าอยู่หรือ” เขากระวนกระวายกับท่าทีของนาง ในใจเฉียวเทียนช่างมีแต่ความกังวล ทั้งห่วงและไม่รู้ว่าร่างกายนางมีอาการผิดปกติอะไรหรือไม่

หนิงเมิ่งเหยามองเฉียวเทียนช่าง ในดวงตาเขามีภาพสะท้อนนางอยู่ชัดเจน นางเอ่ยขึ้นหลังเงียบมาครู่ใหญ่ “ถ้าข้าอยากจะพังเศรษฐกิจของเมืองเซียวเล่า”

เฉียวเทียนช่างเอื้อมไปประคองใบหน้าของหนิงเมิ่งเหยาไว้ รอยยิ้มรักใคร่เผยบนหน้าเขา “ข้าไม่ใช่พระโพธิสัตว์ จะทำให้คนทุกคนพอใจนั้นเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ข้าจะรู้สึกสงสารชวี่เฟิง เพราะเขาเป็นพี่น้องของข้า แต่เจ้าเป็นภรรยาข้า คนที่จะอยู่เคียงข้างข้าไปตลอดชีวิต”

คำพูดเขาทำให้ใจหนิงเมิ่งเหยาหวั่นไหว นางมองเขาด้วยสายตาไม่สื่อนัย “ทำไม” ที่นี่คือเมืองของเขา ทุกสิ่งทุกอย่างของเขา ไยเขาไม่สนใจเลย

“ภรรยาและลูกของข้าสำคัญกว่าสิ่งอื่นใดทั้งหมด” เฉียวเทียนช่างมองหนิงเมิ่งเหยาแล้วอธิบายอย่างหนักแน่น

มือหนิงเมิ่งเหยาสั่นเทา ตอนที่นางถามออกไป นางคิดกับตัวเองว่า ถ้าเฉียวเทียนช่างขอไม่ให้นางทำเช่นนั้น นางจะทิ้งทุกอย่างระหว่างนางกับเขาไว้แล้วจากไป ทว่าเขากลับไม่ได้ขอ เขายอมทำให้ทั้งเมืองผิดหวังดีกว่าปล่อยนางไป

“ข้า…ข้าขอโทษ” หนิงเมิ่งเหยาอยากจะพูดมากกว่านั้น แต่กลับมีเพียงคำขอโทษเปล่งออกมา

เฉียวเทียนช่างส่ายศีรษะ “อย่าได้ขอโทษข้าเป็นอันขาด ระหว่างเรา ไม่จำเป็นต้องขอโทษกัน”

“ตกลง”

เฉียวเทียนช่างพาหนิงเมิ่งเหยาไปนั่งที่ม้าหิน เขากอดนางไว้แล้วถามอย่างแผ่วเบา “ตอนนี้เจ้าคิดจะทำอะไร”

“ทำอะไรรึ คนที่ฆ่าลูกของข้าต้องชดใช้ด้วยชีวิต” สีหน้าหนิงเมิ่งเหยาเต็มไปด้วยแววมุ่งร้าย นางคิดเรื่องนี้มาทั้งวัน ถ้าซ่อนตัวแล้วจะลงเอยด้วยการที่นางและคนที่นางรักต้องเจ็บปวด เช่นนั้นนางขอทำร้ายคนอื่นเพื่อยับยั้งไม่ให้สิ่งนั้นเกิดขึ้นเสียดีกว่า

เฉียวเทียนช่างเอื้อมไปลูบไหล่หนิงเมิ่งเหยา “ข้าจะจัดการเรื่องในราชสำนักเอง ทำไมเจ้าไม่ไปจัดการเรื่องเกี่ยวกับการค้าเล่า”

หนิงเมิ่งเหยาไตร่ตรองแล้วผงกศีรษะเห็นด้วย “ตกลง” ใจนางคงไม่สงบถ้าไม่ได้ล้างแค้น นางไม่ได้ต้องการให้คนพวกนั้นตาย แต่นางจะให้พวกเขาได้เจอสิ่งที่เลวร้ายกว่าความตาย โดยเฉพาะเซียวจื่อเซวียน หญิงนางนั้นไม่เคยเลิกยุ่งกับนาง ทั้งยังคอยมาเหยียบชายเสื้อนางไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง หญิงผู้นั้นคิดว่านางเป็นคนอ่อนแอนักหรือ

“ข้าส่งจือโยวไปสืบการแบ่งสรรด้านการเงินของพวกนั้น แล้วก็ได้หลักฐานมัดตัวพวกเขาไว้ใช้ในราชสำนัก” แผนล้างแค้นพวกเขาต้องรับรองว่าคนพวกนั้นจะไม่มีโอกาสได้พลิกสถานการณ์

หนิงเมิ่งเหยาตกตะลึง นางหันไปมองเฉียวเทียนช่าง “เล่าให้ข้าฟังเสีย”

“จวนตระกูลหลิงซ่องสุมกองทัพของตัวเอง และจวนตระกูลเซียวก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการยักยอกเงิน ส่วนจวนตระกูลเฉียวเกี่ยวพันกับการลักลอบขนเกลือ” เฉียวเทียนช่างกระซิบข้างหูหนิงเมิ่งเหยา

ในฐานะนักธุรกิจ หนิงเมิ่งเหยาตระหนักถึงโทษของการลักลอบขนเกลือดี ใครจะคิดว่าจวนตระกูลเฉียวจะกล้า!

“พวกเขาอยากตายนักหรืออย่างไร” แม้จะชิงชัง แต่นางก็อดเอ่ยมิได้

“ความตายของพวกเขาไม่เกี่ยวกับเรา ที่ข้าต้องการคือทำให้พวกเขาโดนศัตรูรายล้อม” พอสิ่งที่พวกเขาทำแดงขึ้นมาในราชสำนัก เฉียวเทียนช่างอยากจะเห็นนักว่าพวกเขาจะจัดการเช่นไร

หนิงเมิ่งเหยาหลุบตาลงอย่างครุ่นคิด นางเข้าใจเฉียวเทียนช่าง “ตกลง”

นางมั่นใจว่าความรู้ในการจัดการธุรกิจของนางจะทำให้ตระกูลทั้งสามไม่สามารถพลิกสถานการณ์ได้

“พอเจ้าเริ่มเดินหมาก ข้าจะเดินหมากของข้าในราชสำนักด้วยเช่นกัน แต่ข้าต้องมีหลักฐานมากกว่านี้” เฉียวเทียนช่างกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“หืม”

“ข้ารู้เพียงว่าจวนตระกูลเฉียวลักลอบขนเกลือ แต่ข้าไม่มีหลักฐานอะไรเลย ทว่า ข้าทำให้เฉียวเจิ้งหงรู้ตัวตอนที่เขามาหาข้าวันนี้” เฉียวเทียนช่างบอก

หนิงเมิ่งเหยาตะลึงงันกับสิ่งที่เฉียวเทียนช่างบอก นางหันไปมองเขา นั่นเขาจงใจหรือ โดยให้เฉียวเจิ้งหงรู้ตัวน่ะหรือ แล้วชายคนนั้นจะทำอะไรได้อีกเล่า นอกเสียจากพยายามปกปิดเรื่องนี้