ยังคงเป็นฉากที่คุ้นเคย มีแสงสว่างรำไรท่ามกลางความมืดสนิท
เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกเหมือนมีบางอย่างกำลังไล่ตามเธอ
จิตสำนึกบอกให้เธอหยุดเพื่อดูว่าอะไรกำลังไล่ตามเธออยู่ แต่ร่างกายกลับวิ่งไปข้างหน้าไม่หยุด เธอวิ่งไปจนถึงหน้าผาไม่มีทางให้ไปต่อ เธออยากหันกลับไปแต่ก็ขยับไม่ได้
ทันใดนั้นหน้าผาที่อยู่ใต้เท้าก็เริ่มแตกออก เธอตกลงไปในหุบเหวลึก
เสี่ยวเชี่ยนลืมตาขึ้นพร้อมหายใจหอบอย่างแรง
ฝันนี้อีกแล้ว
เธอฝันว่าตัวเองถูกบางอย่างไล่ตามจนตกหน้าผาต่อเนื่องมาหลายวันแล้ว
ถึงจะรู้ว่าเป็นความฝัน แต่พอตื่นขึ้นมาในใจก็จะรู้สึกหวั่นๆ
อาจเพราะความรู้สึกตอนตกลงไปมันเหมือนจริงมาก ความรู้สึกหวาดกลัวต่อให้ตื่นขึ้นมาแล้วก็ยังไม่บรรเทาลง เสี่ยวเชี่ยนอยากเปิดไฟที่หัวเตียง แต่ปรากฏว่าต้องสะดุ้งตกใจเพราะใบหน้าที่อยู่ๆก็โผล่มา
หลังจากที่เห็นว่าเป็นสืออวี้ เสี่ยวเชี่ยนก็โมโหหยิบหมอนฟาด
“เธอเพี้ยนหรือไง ดึกดื่นป่านนี้มานั่งหัวเตียงเล่นเป็นผีหลอกคนสนุกนักเหรอ?”
อีกทั้งยังทำสายตาละห้อยเหมือนวิญญาณมาอำลา ไม่หลอนได้ไง
สืออวี้กอดผ้าห่มผืนเล็กของตัวเองพลางมองเสี่ยวเชี่ยนด้วยสายตาน้อยใจ
“ประธานเชี่ยนฉันนอนไม่หลับ ไม่สบายใจเลย ต้าอีทำฉันสะเทือนใจ เขานอนหลับสบายอีกทั้งยังฝันอะไรไม่รู้หัวเราะคิกคัก เอาแต่พูดว่าพี่รองไม่เอาค่ะไม่เอา ฉันเลยต้องมาหาเธอ”
“เธอนี่จริงๆเลย ขึ้นมาๆ” เสี่ยวเชี่ยนขยับตัวให้สืออวี้ขึ้นไปนอนด้วยกัน
“ประธานเชี่ยน เธอว่าต้าอีคิดถึงแฟนมากไปหรือเปล่า? พี่รองเพิ่งไปร่วมงานนิทรรศการการบินได้หนึ่งสัปดาห์ ต้าอีวันๆนอนหลับหัวเราะคิกคัก ปกติออกจะมาดนิ่ง ทำไมพอหลับแล้วกลายเป็นแบบนั้นล่ะ?”
บ้านของเสี่ยวเชี่ยนมีสองห้องนอน ห้องของประธานเชี่ยนหนึ่งห้อง ส่วนอีกห้องให้สืออวี้กับต้าอีอยู่
ปกติต้าอีเป็นคนนิ่งๆพูดน้อย แต่พอหลับแล้วนอนละเมอได้ง่าย เสี่ยวเชี่ยนกับสืออวี้เคยทำเรื่องที่ร้ายมากกับต้าอี นั่นก็คือให้เสี่ยวเชี่ยนฉวยโอกาสตอนต้าอีหลับทำการสะกดจิตเพื่อถามว่า พี่รองทำครั้งหนึ่งนานเท่าไร รวมถึงมีกี่ท่า
สุดท้ายได้ข้อสรุปว่า พี่น้องตระกูลอวี๋ไม่ใช่คน ไม่ใช่คน
“ความฝันเมื่อถึงในระดับหนึ่งจะสะท้อนสิ่งที่อยู่ในจิตใต้สำนึกของคนเรา บางฝันเป็นการระบายเรื่องที่อัดอั้นตันใจ ต้าอีคิดถึงพี่รอง อาจจะฝันถึงตอนมีช่วงเวลาดีๆ”
ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนตอบคำถามสืออวี้ ในใจของตัวเองกลับรู้สึกว่างเปล่า
ถ้าบอกว่าต้าอีฝันแล้วยังหัวเราะคิกคัก งั้นทำไมเธอถึงเอาแต่ฝันว่าถูกไล่ตามแล้วตกจากที่สูง?
ในมุมมองทางจิตวิทยา เธออาจกลัวอะไรอยู่ และความกลัวนี้กลับไม่ได้รับการปลดปล่อยอย่างถูกต้อง สิ่งที่ไล่ตามเธอคงเป็นสิ่งที่เธอกลัว
แต่เธอกลัวอะไรล่ะ?
คำถามนี้เสี่ยวเชี่ยนครุ่นคิดอยู่นานก็ยังไม่ได้คำตอบ
ชีวิตเธอดำเนินไปตามที่เธอวางแผนไว้อย่างมั่นคง การเรียนราบรื่น ตอนนี้ครอบครัวก็ดี คนรักก็ดีกับเธอมาก—
เดี๋ยวนะ หรือเป็นเพราะเสี่ยวเฉียงหายไปหลายวันแล้วเธอถึงได้มีอาการผิดปกติแบบนี้?
เสี่ยวเชี่ยนนับวันอย่างละเอียดว่าเธอไม่ได้ติดต่อกับอวี๋หมิงหลางกี่วันแล้ว สืออวี้ที่นอนอยู่ข้างๆมองเพดานพลางพูดพึมพำ
“พี่ฉันไม่ติดต่อมาเกือบสิบวันแล้ว ไม่รู้ว่าการแข่งขันของพวกเขาเป็นไงบ้าง จะทำอันดับได้ดีหรือเปล่า จริงๆฉันอยากแอบบอกเธอนะว่าฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจเกียรติของทหารหน่วยรบพิเศษเท่าไร ฉันก็แค่หวังว่าเขาจะกลับมาอย่างปลอดภัยไม่บาดเจ็บ ไม่ได้รางวัลก็ไม่เป็นไร”
เฉียวเจิ้นพี่ชายที่เป็นคนรักของสืออวี้อยู่กับอวี๋หมิงหลาง พวกเขาพาทีมไปเข้าร่วมการแข่งขันระหว่างทหารหน่วยรบพิเศษด้วยกัน
“เหมือนกันน่ะแหละ” เสี่ยวเชี่ยนตอบสืออวี้ แล้วลบความสงสัยที่อยู่ในใจทิ้ง
เธอไม่ได้ฝันเพราะเป็นห่วงอวี๋หมิงหลาง
ช่วงหลายปีมานี้เธอกับเขาไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกันจนชินแล้ว อวี๋หมิงหลางหลังจากได้เลื่อนขั้นเป็นหัวหน้าหน่วยกลางภารกิจที่ต้องออกไปทำก็น้อยลง ถึงครั้งนี้จะไม่ได้ติดต่อกันนานมากแล้ว แต่ที่งานเขาไปเข้าร่วมเป็นเพียงกิจกรรมที่แข่งขันด้านพละกำลังระหว่างหน่วย ด้วยสถานะแบบเขาไม่ต้องลงสนามเอง ก็ย่อมไม่มีอันตราย ดังนั้นจะว่าฝันเพราะคิดถึงหรือเป็นห่วงเขาก็มีความเป็นไปได้น้อยมาก งั้นตกลงเธอกลัวอะไร?
เสี่ยวเชี่ยนสามารถช่วยผู้ที่มาขอรับปรึกษาหาสาเหตุได้อย่างรวดเร็ว แต่บ่อยครั้งที่เธอไม่เข้าใจว่าตัวเองคิดอะไรอยู่
“ประธานเชี่ยน กลางวันเธอไปลองชุดเจ้าสาวเป็นเพื่อนฉันได้ไหม? ชุดที่พ่อจองจากเมืองนอกให้มาถึงแล้ว แล้วก็ชุดเพื่อนเจ้าสาวของเธอกับต้าอีก็มาถึงแล้วด้วย ฉันกับต้าอีมีเวลาว่างตลอด ประเด็นคือเรื่องเวลาของเธอ”
เสี่ยวเชี่ยนพยักหน้า “ไม่มีปัญหา รายการของฉันออกอากาศตอนกลางคืน กลางวันไปกับพวกเธอได้”
วิชาเรียนไม่เยอะอีกทั้งไม่ใช่ช่วงที่ต้องประชุม ประธานเชี่ยนค่อนข้างมีอิสระ
“ฉันตื่นเต้นจัง ประธานเชี่ยน ฉันจะต้องแต่งงานแล้วจริงๆเหรอ?”
“เธอแต่งไปนานละ ตอนนี้เพิ่งจะมาคิดทำตัวเป็นสาวน้อย?” เสี่ยวเชี่ยนแฉเพื่อนอย่างไร้ความปราณี
สืออวี้ส่ายหน้า “ไม่ใช่นะ ฉันกังวลมากจริงๆ ช่วงหลายวันนี้ฉันไปเตรียมงานแต่ง แล้วก็หาเวลาไปดูบ้านที่กำลังตกแต่ง อยู่ๆก็เกิดความรู้สึกไม่มั่นใจ ฉันต้องไปใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับเขาแล้วจริงๆเหรอ?”
สิ้นสุดวัยเรียน เริ่มต้นชีวิตครอบครัว จากขั้นหนึ่งก้าวหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง สืออวี้เกิดความรู้สึกลังเลและไม่มั่นใจแบบที่ผู้หญิงทุกคนต่างมี แต่ก็ยังแอบรู้สึกรอคอยเล็กๆ
“เสียใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว เพราะตามกฎหมายพวกเธอเป็นสามีภรรยากันแล้วนะ ถ้าตอนนี้เธอหนีงานแต่งต่อไปก็เป็นการแต่งงานครั้งที่สองแล้ว”
สืออวี้ถามเสี่ยวเชี่ยนด้วยความวิตกกังวล “ประธานเชี่ยน เธอว่าฉันเป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงานหรือเปล่า? คุณพระช่วย ฉันเป็นโรคจิตเวชหรือเปล่าเนี่ย?”
ตอนที่เสี่ยวเชี่ยนได้ยินคำว่าโรคหวาดกลัวการแต่งงาน เหมือนในสมองมีบางสิ่งแวบเข้ามา
เธอลุกขึ้นนั่ง มองสืออวี้ด้วยสีหน้าจริงจัง
สืออวี้เอาผ้าห่มห่อตัวอย่างอายๆ จีบนิ้วติดกันทำท่ากระมิดกระเมี้ยน
“บ้าจัง ทำไมต้องมองฉันอย่างเร่าร้อนแบบนั้นด้วย คิดจะทำอะไรเค้าน่ะตัว คนผีทะเล~”
“พอได้แล้ว—เมื่อกี้เธอว่าอะไรนะ?”
“ฉันว่าเธอเป็นคนผีทะเล”
“ไม่ใช่อันนั้น เธอพูดว่าโรคหวาดกลัวการแต่งงานเหรอ?”
“นี่ ประธานเชี่ยนอย่าทำฉันตกใจนะ นี่ฉันเป็นโรคจิตเวชจริงๆเหรอ?” สืออวี้เห็นเสี่ยวเชี่ยนทำหน้าจริงจังจึงลุกขึ้นมานั่งด้วย
เสี่ยวเชี่ยนส่ายหน้า
“ไม่ใช่…ผู้หญิงตอนที่เตรียมตัวมีชีวิตคู่ มากน้อยย่อมวิตกกังวลเป็นธรรมดา เพราะชีวิตคู่เกี่ยวพันกับโชคชะตาตลอดชีวิต แต่ละคนมีปฏิกิริยาที่ต่างกัน อย่างเธอน่ะถือว่าปกติแล้ว”
สืออวี้เอามือตบหน้าอก “ตกใจหมดเลย ฉันคิดว่าตัวเองเป็นโรคซะแล้ว ไม่สิประธานเชี่ยน เธอว่าฉันไม่เป็นไรแล้วใครล่ะเป็น?”
เสี่ยวเชี่ยนนวดขมับ “นอนเถอะ”
เมื่อชาติก่อนเสี่ยวเชี่ยนหนีไปหลังจากที่อวี๋หมิงหลางเตรียมแต่งงานเรียบร้อยแล้ว เธอคิดว่านั่นเป็นโรคหวาดกลัวการแต่งงาน แต่ชาตินี้เธอกับอวี๋หมิงหลางเข้ากันได้ดี เขาดูแลเธออย่างดีมาตลอด แล้วทำไมเธอถึงยังรู้สึกกดดันขนาดนี้ล่ะ
จนถึงตอนนี้เสี่ยวเชี่ยนไม่คิดว่าการที่ตัวเองฝันเป็นประเภทหนึ่งของโรคหวาดกลัวการแต่งงาน เพราะอวี๋หมิงหลางยังไม่ได้ขอเธอแต่งงาน อาจเพราะช่วงนี้งานเธอยุ่งบวกกับคิดถึงเสี่ยวเฉียงถึงได้เป็นแบบนี้แหละมั้ง
ไอ้บ้าอวี๋เสี่ยวเฉียงหายไปนานมากแล้วนะ ควรจะกลับมาได้แล้ว อย่างน้อยๆก็น่าจะโทรมาบ้าง
เสี่ยวเชี่ยนตัดสินใจแล้วว่าพรุ่งนี้ระหว่างทำรายการเธอจะวาดหมาฮัสกี้เหยียบเปลือกแตงโมหงายหลังขาชี้ฟ้า นี่ไม่ใช่เพราะเธอไม่พอใจเลยนะ ไม่ใช่