ตอนที่ 223 ลูกศิษย์รับพิเศษ + ตอนที่ 224 ม้าอ้วนท้วนนัก!

เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า

ตอนที่ 223 ลูกศิษย์รับพิเศษ

เมื่อกลิ่นอายพลังวิญญาณบนร่างเฟิ่งจิ่วพุ่งเพิ่มขึ้นอีก พลังวิญญาณพลันปะทุออกมา บริเวณรอบตัวก็มีกลิ่นอายพลังวิญญาณอันแข็งแกร่งก่อตัวขึ้น

ในเวลาต่อมา เธอกักเก็บพลังวิญญาณที่กำลังพรั่งพรูทั้งหมดเข้าสู่ร่างกาย ตามเวลาที่ผ่านไป กลิ่นอายพลังวิญญาณบนร่างจึงค่อยๆ สงบลง พลังวิญญาณสลายไป เหมือนภาพก่อนหน้านั้นไม่เคยเกิดขึ้น

แต่ระดับพลังวิญญาณของเธอ เพียงชั่วครู่กลับทะยานไปถึงระดับยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณช่วงที่สามแล้ว!

เฟิ่งจิ่วถอนหายใจ ลืมตาทั้งสองขึ้นช้าๆ นัยน์ตามีประกายยินดีเอ่อล้นอยู่ ในช่วงเวลานี้ เธอเพียงรู้สึกว่าสรรพสิ่งที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าล้วนแตกต่างกัน หนำซ้ำข้างหูยังได้ยินชัดเจนแม้แต่เสียงแมลงเล็กๆ ทั่วร่างคล้ายมีกลิ่นอายพลังวิญญาณที่กระแสคงที่หมุนวนเวียนอยู่ในร่างกาย สบายตัวยิ่งนัก

สายตาเธอมองไปยังผู้อาวุโสสี่คนที่นั่งอยู่ทั้งสี่ทิศทาง เห็นพวกเขาแต่ละคนมองด้วยท่าทางนิ่งอึ้ง จึงผุดรอยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้

เธอสะบัดเสื้อคลุม ลุกขึ้นจากพื้น ประสานมือคารวะทั้งสี่คน และเอ่ยเสียงดังว่า “ขอบคุณท่านผู้อาวุโสทั้งสี่มากที่คอยเป็นผู้พิทักษ์ให้ข้าน้อย”

หากไม่มีผู้พิทักษ์ทั้งสี่ท่าน ภายในเวลาสามวันสามคืนนี้จะพบเจอเรื่องอะไรบ้างก็ไม่อาจคาดการณ์ได้เลย สุดท้ายแล้ว หากขั้นตอนการบรรลุขั้นพลังโดนรบกวน ผลที่ตามมาย่อมเลวร้ายเกินคาดคิด!

ได้ยินคำพูดนี้ ทั้งสี่คคนพลันคืนสติ ผุดลุกขึ้นมาก้าวเดินไปทางเฟิ่งจิ่วทันที “เจ้าหนุ่ม เจ้าสนใจเข้าสำนักหวนเอกาของข้าหรือไม่?”

“ผู้เยาว์ มาสำนักบุปผาหยกข้าดีกว่า!”

“สำนักเมืองมรกตของข้าดีกว่า!”

“มาสำนักศึกษาหมอกดาราดีที่สุด! ข้าให้เจ้าเป็นลูกศิษย์รับพิเศษได้”

ผู้อาวุโสทั้งสี่ต่างยื้อแย่งกันพูดกลัวจะน้อยหน้า เกรงแต่ว่าหากชักช้าเล็กน้อยจะถูกคนอื่นแย่งไปก่อน

ส่วนเฟิ่งจิ่วที่ได้ยินคำพูดพวกเขาก็อึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นจึงยิ้ม “ขอบคุณผู้อาวุโสทั้งหลายที่เห็นค่า แต่ข้าน้อยยังมีธุระ ตอนนี้จึงไม่มีความคิดจะเข้าร่วมสำนักใดขอรับ”

เมื่อเห็นทั้งสี่คนขมวดคิ้วน้อยๆ ดวงตาเธอเป็นประกายจางๆ กล่าวอีกว่า “แต่ว่า ข้าน้อยตั้งใจจะเข้าไปฝึกฝนวิชาในสำนักศึกษาหมอกดารานานแล้ว แค่รอถึงเวลาที่สำนักศึกษาหมอกดารารับศิษย์ก็จะเข้าไปสมัครขอรับ”

ได้ยินคำพูดนี้ สามคนที่เหลืออดผิดหวังไม่ได้ แต่ก็รู้ดีว่าหมอกดาราเป็นสำนักศึกษาที่มีชื่อเสียงในแคว้นเหินเวหา ต่อให้สำนักพวกเขาอยากเปรียบก็ไม่อาจเทียบเคียงได้ ลูกศิษย์ผู้ฝึกตนไม่น้อยจากแต่ละที่ต่างหวังว่าจะได้เข้าสำนักศึกษาหมอกดารา หนุ่มน้อยจะเลือกสำนักศึกษานี้ก็เป็นเรื่องปกติ

“ฮ่าๆๆๆ! ได้ๆๆ เจ้าคิดเช่นนี้ดีที่สุดแล้ว” ผู้อาวุโสสำนักศึกษาหัวเราะลั่น สายตาที่มองเฟิ่งจิ่วยิ่งฉายความพอใจ

จากนั้นเขาหยิบแผ่นป้ายออกมาจากในแขนเสื้อยื่นให้เฟิ่งจิ่ว บอกว่า “นี่เป็นป้ายดาราของสำนักศึกษาหมอกดาราข้า เจ้าเก็บมันไว้ สักวันค่อยมาสมัครที่สำนักศึกษาพร้อมป้ายตรานี้ หากมีมันอยู่ในมือ ไม่ต้องผ่านการประเมินก็เข้าไปด้านในได้ทันที และจะกลายเป็นศิษย์ของสำนักศึกษาหมอกดารา”

เฟิ่งจิ่วรับแผ่นป้ายมามองๆ ก่อนจะยิ้มพลางเก็บมันไป เอ่ยด้วยว่า “ขอบคุณผู้อาวุโสมาก ผู้เยาว์เฟิ่งจิ่ว ยังไม่ได้ถามไถ่ชื่อเสียงเรียงนามผู้อาวุโสเลย?”

“ฮ่าๆๆ! เฟิ่งจิ่วรึ? ดี ข้าจะจำชื่อนี้ไว้ กลับสำนักศึกษาจะต้องรายงานให้ลงบันทึกไว้แน่นอน ข้าแซ่กวน ทุกคนเรียกกวนเหล่า เป็นรองเจ้าสำนักศึกษาหมอกดารา”

ได้ยินเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วแปลกใจอยู่บ้าง ก่อนคารวะด้วยความเคารพทันที “คารวะรองเจ้าสำนักกวน ผู้เยาว์จดจำไว้แล้วขอรับ” นึกไม่ถึงว่าอาจารย์ที่นำคณะสำนักศึกษาหมอกดารามาจะเป็นรองเจ้าสำนักเลยทีเดียว

ผู้อาวุโสสามคนข้างๆ เห็นแล้วผิดหวังยิ่งนัก ไม่นึกเลยว่าต้นกล้าดีๆ เช่นนี้จะโดนสำนักศึกษาหมอกดาราชิงไป เฮ้อ!

“เฟิ่งจิ่วใช่ไหม? หากเจ้าเปลี่ยนใจ จะมาสำนักหวนเอกาเราก็ได้ หากเข้ามาสำนักข้าจะยกให้เจ้าเป็นลูกศิษย์หัวกะทิแน่!”

ได้ยินการเรียกร้องความสนใจอย่างเปิดเผยเช่นนี้ กวนเหล่าหันไปชำเลืองมองสามคนนั้น กล่าวว่า “พวกเจ้าอย่าคิดให้เปล่าประโยชน์เลย อย่างเขาน่ะ พวกเจ้าไม่มีโอกาสหรอก”

………………………………………………….

ตอนที่ 224 ม้าอ้วนท้วนนัก!

ทว่า ผู้อาวุโสสองท่านที่เหลือก็ไม่เกรงใจกวนเหล่า ปริปากทิ้งคำพูดไว้เหมือนๆ กัน เพื่อให้คำมั่นสัญญา

เฟิ่งจิ่วเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มๆ ประสานมือกล่าวว่า “น้อมรับความเอ็นดูจากท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย คำพูดพวกท่านข้าน้อยจะจำเอาไว้ แต่เพราะมีธุระ จึงไม่อาจอยู่ที่นี่ได้นานนัก ท่านผู้อาวุโสทั้งสาม รองหัวหน้ากวน ข้าน้อยขอลาก่อน”

“ได้ๆๆ เจ้าไปเถอะ!” กวนเหล่าโบกๆ มือหรี่ดวงตาลงยิ้ม กลัวว่าหากเขาอยู่ที่นี่ต่อ ไม่รู้ว่าสามคนนั้นจะใช้กลอุบายอะไรมาแย่งตัว จึงให้เขาไปเสียก่อน

เห็นแบบนี้ เฟิ่งจิ่วก็ไม่อ้อมค้อม สับเท้าวิ่งจากไปทันที

จนกระทั่งเงาร่างสีแดงนั้นหายลับจากในสายตาพวกเขา หนึ่งในนั้นพลันตบหน้าขาร้องลั่น “อ๊ะ! พวกเจ้าดูสิ กลับลืมเรื่องสำคัญกันหมด! พวกเรายังไม่ทันถามให้ชัดเจนเลยว่าเขาเข้าป่าฝึกวิชาไปได้เช่นไรก็ปล่อยไปเสียแล้ว!”

ได้ยินคำพูดนี้ คนอื่นๆ ถึงจะนึกขึ้นมา ได้แต่ถอนใจที่พวกเขาต่างตกใจกับการบรรลุขั้นของหนุ่มน้อยชุดแดงผู้นั้น จึงลืมเลือนเรื่องนี้ ตอนนี้คนไปแล้ว จะถามอีกก็เปล่าประโยชน์

มีเพียงกวนเหล่าของสำนักศึกษาที่ลูบเคราจ้องมองยังทิศทางที่เฟิ่งจิ่วจากไปอย่างมีความนัย แอบคิดว่า ‘ทำไมรู้สึกเหมือนถูกหนุ่มน้อยนั่นหลอก? เขาจะมาเข้าสำนักศึกษาหมอกดาราพวกเขาจริงๆ ใช่หรือไม่?’

ส่วนอีกด้านหนึ่ง เฟิ่งจิ่วที่มาถึงถนนบนเขาถอนหายใจเบาๆ เผยรอยยิ้มกว้าง “โชคดีที่หนีเร็ว ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าจะถอนตัวออกมาได้ยังไงเลยจริงๆ!”

เธอมองไปตามถนนบนเขา คล้ายจะยาวไกลไม่มีที่สิ้นสุด เห็นเช่นนี้ ก็กระซิบอย่างอดไม่ได้ “พวกเซียนจะควบคุมกระบี่ได้ต้องบรรลุระดับสร้างรากฐาน พลังเร้นลับมีเพียงบรรพชนนักรบที่ควบคุมกระบี่ให้เหาะเหินได้ ร่างข้ามีทั้งพลังเร้นลับและพลังวิญญาณ ตอนนี้กลับทำไม่ได้แม้แต่ควบคุมกระบี่เหาะเหิน หากสามารถสร้างอาวุธเหาะเหินสักชิ้น คงใช้เดินทางได้บ้าง”

ด้วยเหตุนี้ เธอทำได้เพียงเดินหน้าต่อไปตลอดทาง บางครั้งก็แสดงฝีเท้าตามเมฆโผบินผ่านไป…

จนกระทั่ง มาเห็นภาพแปลกๆ บนถนนกลางเขาตรงหน้า

ม้าสีขาวที่อ้วนพีเสียจนเหมือนหมูกำลังก้าวเดินถอยหลังเชื่องช้า ชายหนุ่มชุดฟ้าที่นั่งขี่อยู่บนหลังม้าใช้สองขาหนีบท้องม้าไว้เป็นครั้งคราว คุมเชือกจูงม้าพลางโต้เถียงกับม้าตัวนั้น

“เหล่าไป๋ เดินไปข้างหน้าสิ! รอถึงหมู่บ้านข้างหน้า อย่างมากสุดข้าจะเตรียมอาหารมื้อใหญ่ไว้ให้เจ้าไม่ดีรึ?”

“ฮี้!”

ม้าตัวนั้นหันหัวพ่นลมหายใจออกมาจากจมูกสองครั้ง และเพราะมันหันหน้ามา เฟิ่งจิ่วที่กำลังเดินเข้ามาด้านหลังจึงเห็น ว่ามันไม่ใช่ม้าธรรมดา เพราะบนหัวมันมีสองเขาที่คล้ายกับต้นกล้าอ่อนงอกอยู่

“เหล่าไป๋ ข้าบอกเจ้าได้เลย หากไม่เชื่อฟังเช่นนี้ ข้าจะตีเจ้าแล้วนะ!”

ชายหนุ่มพูดขู่หน้าบึ้ง ดึงแส้เส้นบางจากข้างเอว ทำท่าจะสะบัดลง ทว่า เพียงวาดแส้ขึ้นส่งเสียงดังกลางอากาศ ยังไม่ทันแตะม้า ก็เห็นม้าตัวนั้นเตะขาหลัง สะบัดชายหนุ่มบนม้าลงมาเสียดื้อๆ

“อ๊ะ!”

ชายหนุ่มคิดจะหนีบท้องม้าไว้ด้วยความตื่นตระหนก กลับล้มลงบนพื้นเพราะแรงสะบัดอันแข็งแรงนั้น “ซี๊ด!”

“เหล่าไป๋! นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะกล้าเหวี่ยงข้า? เจ้า เจ้ารอก่อนเถอะ! รอไปถึงในหมู่บ้าน ข้าจะขายเจ้าแน่!” ชาหนุ่มลุกขึ้นยืนโกรธปึงปัง เพียงรู้สึกว่าฝ่ามือถูกหินทรายครูดข่วน เสียจนแสบร้อนผ่าวๆ

เฟิ่งจิ่วเห็นภาพนี้ ก็ยิ้มอย่างอดไม่ได้ เดินไปด้านหน้า ตบบั้นท้ายม้า “เป็นม้าที่อ้วนท้วนนัก ยังรู้จักเดินถอยหลังด้วย? น่าแปลกจริงๆ”

เมื่อชายหนุ่มเห็นเฟิ่งจิ่ว สะดุ้งตกใจเล็กน้อยสักพัก “เจ้าเป็นใครกัน?” ดึงเชือกจูงม้าเอ่ยถามอย่างระแวดระวัง

ทว่าในเวลานี้เอง ม้าตัวนั้นกลับหันหัวไป ถลึงมองเฟิ่งจิ่วด้วยดวงตาเป็นประกาย พุ่งเข้าไปหาเฟิ่งจิ่ว แลบลิ้นออกจะมาเลียหน้า เธอตกใจเสียจนรีบร้อนถอยหลัง

“เจ้าบ้านี่! ลูบเจ้านิดหน่อยต้องลวนลามกลับเลยรึ!”

………………………………………………….