ตอนที่ 211 ภาพลวงตา
จิ่งเป่ยเฉินกลอกตามองไปที่เธอ ก่อนจะพูดขึ้นว่า “เข้ามาสิ”
เมื่อประตูห้องทำงานถูกเปิดออกจากด้านนอก อันโหรวก็เห็นหลินจือเซี๋ยวที่ไม่ได้เจอหน้ากันมานานหลายวันกำลังเดินเข้ามาด้วยความรู้สึกที่เป็นกังวล มองดูแล้วยากที่จะเข้าใจ
เมื่อเห็นเธออยู่ในห้องทำงาน หลินจือเซี๋ยวก็ดูโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด ความรู้สึกตรงหน้ามันไม่ใช่ภาพลวงตาจริง ๆ
“ประธานจิ่ง มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?” ทันทีที่หลินจือเซี๋ยวเอ่ยถามเสร็จก็นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เธอไม่ได้คล้องป้ายแดงมา บิ๊กบอสจะรู้ไหมว่าเธอคือใคร?
ความจริงแล้วนั้น ถึงแม้ว่าจิ่งเป่ยเฉินจะมีสภาวะจดจำใบหน้าผู้หญิงไม่ค่อยได้ แต่ไอคิวสมองของเขานั้นก็เฉียบแหลมพอสมควร เมื่อครู่ที่เขาเรียกหลินจือเซี๋ยวนั้นก็เห็นโหรวโหรวกับเธอยิ้มให้กัน ตัวตนของผู้หญิงที่อยู่เบื้องหน้าเขานั้นดูแล้วโจ่งแจ้งพอสมควร
จิ่งเป่ยเฉินโน้มตัวไปด้านหน้า สายตาเหลือบมองไปยังอันโหรวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม “ฝ่ายบุคคลคิดจะทำอะไร?”
เธอที่เป็นผู้จัดการแผนกตัวเล็ก ๆ น้อย ๆ ตั้งแต่ตอนไหนกันที่เธอต้องรายงานบิ๊กบอสเรื่องแผนการทำงานด้วย?
หรือว่าเรื่องเมื่อเช้าของวันนี้ตอนที่มาสายจะถูกพบเข้าให้แล้ว?
จริง ๆ เรื่องนี้จะโทษเธอก็ไม่ได้นะ! บิ๊กบอสเล่นมอบหมายสถานที่พักของเธอให้อยู่ไกลจากบริษัทเองนี่
แต่เธอก็ไม่กล้าที่จะบ่นกับบิ๊กบอสเท่าไรนัก เพราะเพื่อนรักของตนนั้นอยู่ที่นี่ด้วย อีกทั้งยังเป็นภรรยาของบิ๊กบอสอีก บิ๊กบอสน่าจะไม่ทำอะไรให้เธอลำบากใจหรอก……มั้ง?
“ดีจริง ๆ” เมื่อเทียบกับกองงานที่หนักหนาของหัวหน้าเลขาแล้ว หัวหน้าแผนกฝ่ายบุคคลงานมันไม่ได้หนักหนาสาหัสสำหรับเธอเท่าไรนัก
แม้จิ่งเป่ยเฉินถามหลินจือเซี๋ยวไม่กี่คำ แต่เขากลับมองอันโหรวจากด้านข้างที่เหมือนกำลังหาความหมายในการกระทำของเขาอยู่!
เขาพิจารณาคำแนะนำของเธอมาสักพักหนึ่งแล้ว เรื่องที่ชี้แนะให้เขาหาเลขาเพิ่ม!
เสียงจิ่งเป่ยเฉินพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมท่ามกลางห้องทำงานที่เงียบสงบ “ห้องทำงานด้านข้างของฉีเซิงเทียนที่ว่างอยู่ หลังจากนี้ห้องนั้นคือห้องทำงานของเธอ”
หลินจือเซี๋ยวนิ่งไปสักพักหนึ่ง ก่อนจะรีบตอบสนองอย่างรวดเร็วและเอ่ยถามอย่างระมัดระวังในคำพูดว่า “ประธานจิ่งที่คุณพูดแบบนี้ หมายความว่าจะให้ฉันกลับมาทำงานเป็นเลขาต่อเหรอคะ?”
จิ่งเป่ยเฉินเลิกคิ้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ได้คาดหวังที่จะให้หลินจือเซี๋ยวเอ่ยถามเขาแบบนี้ “คุณไม่เต็มใจ?”
“เปล่าค่ะ เปล่าค่ะ ฉันจะรีบไปเก็บข้าวของทันทีเลยค่ะ” เธอพูดจบก็หมุนตัวกลับไป ทั้งสองสบตากันเล็กน้อย ก่อนจะหันหน้าเหลือบไปมองอันโหรวที่อยู่อีกด้านและใช้สายตาเอ่ยถามเพื่อนของตนไป ‘บิ๊กบอสเป็นอะไรไปเนี่ย?’
อันโหรวตอบกลับด้วยการขยับปาก ‘มือถือ’ สองคำเท่านั้น เธอก็ออกไปเสียแล้ว
หลังจากที่หลินจือเซี๋ยวออกไปแล้ว ภายในห้องทำงานก็เปลี่ยนเป็นเงียบสงบมากขึ้น บรรยากาศที่เงียบงันดูแล้วเหมือนจะได้ยินแค่เสียงของจิ่งเป่ยเฉินพลิกดูเอกสารเท่านั้น เธอจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาพิมพ์ข้อความลงบนหน้าจออย่างระมัดระวัง ไม่คิดอยากจะรบกวนเขาเท่าไรนัก
พลันนึกถึงใบหน้าของหลินจือเซี๋ยวที่มีแต่คำถาม เขาจึงเอ่ยขึ้นอย่างเรียบ ๆ ว่า “ช่วงนี้ที่บริษัทค่อนข้างวุ่น อาจทำให้เธอเหนื่อยหน่อยนะ”
ทันทีที่เธอส่งเสร็จก็เงยหน้ามองจิ่งเป่ยเฉิน ก่อนจะกัดริมฝีปากตัวเองเล็กน้อย
เธอไม่สามารถพูดได้ว่านี่จะช่วยเธอนั้นแบ่งเบาภาระจากการทำงานเท่าไรนักหรอก!
แม้จะเป็นความจริงก็ตาม
ไม่นานนักเธอก็ได้รับการตอบกลับจากหลินจือเซี๋ยว ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาและคำพูดที่ไม่เต็มใจที่ชัดเจน ‘บิ๊กบอสทำแบบนี้ได้ยังไง ฉันเพิ่งจะพักได้ไม่กี่วัน ฉันคิดว่าเขาทนไม่ได้ที่เห็นเธอเหนื่อยมากกว่า ปกป้องภรรยาอย่างบ้าคลั่งจริง ๆ !!!’
เธอส่งเครื่องหมายอัศเจรีย์มาถึงสามครั้ง อันโหรวเข้าใจถึงอารมณ์ของหลินจือเซี๋ยวดี
นิ้วของเธอสั่นอยู่บนหน้าจอ แต่ในที่สุดก็ตอบกลับเพียงแค่คำเดียวว่า ‘อืม’
ครั้งนี้ไม่ได้รับการตอบกลับข้อความจากหลินจือเซี๋ยวอีก เธอเองก็ไม่ได้สนใจเท่าไรนัก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์และเปิดอินเทอร์เน็ตเข้าสู่โลกออนไลน์อีกครั้งหนึ่ง
หลินจือเซี๋ยวเมื่อเห็นอันโหรวตอบกลับ ภายในใจเธอนั้นก็รู้สึกเจ็บปวดอยู่เล็กน้อย เพียงแต่เธอก็ยังดีใจ ดีใจที่เห็นบิ๊กบอสกับโหรวโหรวของเธอเข้ากันได้ดีแบบนี้ ภายในใจเธอนั้นรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก
แต่ทันใดนั้นเสียงฝีเท้าก็แว่วเข้ามาในหูของเธอ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นและเห็นฉีเซิงเทียนกำลังเดินเข้ามาข้างใน
ฉีเซิงเทียนมองเห็นการเคลื่อนไหวของเธอ ก่อนจะมองไปรอบ ๆ ห้องทำงานที่ไม่ได้ใหญ่และไม่ได้เล็ก แต่กลับอยู่ข้าง ๆ ห้องทำงานของเขา และพูดขึ้นว่า “หลินจือเซี๋ยว เธอทำอะไรอยู่?”
เมื่อครู่เขาเพิ่งจะถูกจิ่งเป่ยเฉินผลักไสออกมา ทั้งยังต้องเดินลงบันไดไปตั้งหนึ่งรอบ สุดท้ายก็พบเห็นว่ามีคนอยู่ที่นี่ด้วย
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาจึงแวะเข้ามาดูเสียหน่อย คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นหลินจือเซี๋ยวที่กำลังส่งข้อความตอบกลับพร้อมกับใส่อารมณ์ไปแบบนั้น!
เธอมองเขาก่อนจะก้มหน้าลง พลางตอบกลับพร้อมกับหยิบของบางอย่าง “ทำงาน”
เขาเองก็ไม่ใช่คนโง่ แน่นอนว่าเขารู้ว่าเธอทำงานอยู่ จึงเอ่ยไปว่า “หลินจือเซี๋ยว เธอที่ลางานได้ไม่กี่วัน ใครสอนให้เธอเรียนรู้พูดคำสั้น ๆ พวกนี้กัน?”
“ก็รู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่ผู้จัดการฉีอย่างคุณหรอก” เธอแค่ไม่เคยงานยุ่งมาก ๆ หลังจากที่เธอเพิ่งกลับมาจากการพักผ่อนไม่กี่วัน
รู้สึกไม่สบายเล็กน้อยเท่านั้นเอง
ฉีเซิงเทียนหัวเราะเบา ๆ “เธอกับอันอีหานดูเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนะ สามีเก่าของเธอคือใครกัน?”
เขารู้สึกว่าต้องตรวจสอบแทนพี่ชายของเขาให้ชัดเจน รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้งต้องชนะร้อยครั้ง
หากอดีตสามีเสียชีวิตจะได้เตรียมความพร้อมด้านจิตใจหรือกำจัดคู่แข่งที่อาจจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า
หลินจือเซี๋ยวหยิบแก้วน้ำขึ้นมาและมองไปที่ฉีเซิงเทียน “ฉันไม่ทราบค่ะ”
เธอไม่เคยมีสามีเก่า เธอจะหาสามีเก่าจากที่ไหนมาตอบคำถามของเขา
“เธอไม่รู้ได้ยังไง เป็นเพื่อนสนิทกันไม่ใช่เหรอ?” ฉีเซิงเทียนส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ เขานั้นเริ่มรู้สึกงงขึ้นมา
“หลินจือเซี๋ยวสารภาพมาเถอะ เธอยังไม่ได้หย่าใช่ไหม?” เขาเห็นเธอสวมแหวนแต่งงานอยู่เมื่อไม่กี่วันมานี้ แต่จู่ ๆ ก็ถอดออกเสียแล้ว
มันช่างดูแปลกเกินไปจริง ๆ!
“ผู้จัดการฉี ฉันคิดว่าถ้าหากว่าคุณอยากรู้เรื่องนี้จริง ๆ ละก็ คุณไปถามเลขาอันจะดีกว่านะคะ ยังไงซะเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องส่วนตัวของเธอ” เธอวางผ้าคลุมที่อยู่ในมือลง ก่อนจะเดินไปหยิบของด้านนอกต่อ
เธอเหลือบไปมองฉีเซิงเทียนที่ยืนอยู่ตรงนั้นประมาณหนึ่งนาที ก่อนจะเดินจากไป
ทันทีที่เขาเดินไป เธอก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาบอกอันโหรวเกี่ยวกับคำถามที่เพิ่งถูกถาม และเธอก็ได้รับคำตอบอย่างรวดเร็ว
‘ครั้งหน้าให้เขาถามจิ่งเป่ยเฉินเอง’
เธอมองไปที่คำตอบกลับ ก่อนจะเบ้ปากเล็กน้อยและวางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะและนั่งลงอย่างสบาย ๆ
ยังคงเป็นโหรวโหรวผู้เฉียบแหลมเช่นเคย!
ภายในห้องทำงานท่านประธานจิ่ง อันโหรวมองไปที่นาฬิกาเป็นเวลาสิบเอ็ดโมงครึ่งแล้ว
ข่าวซุบซิบอื้อฉาวของเขาทั้งสองในโลกโซเชียลที่แพร่กระจายไปทั่วอินเทอร์เน็ตยังคงมีการคาดเดาเกี่ยวกับตัวตนของเธอ โดยเฉพาะพ่อของลูกเธอว่าเป็นใครกันแน่
“หิวแล้วเหรอ?”
เขาที่อยู่ตรงหน้าจู่ ๆ ก็พูดขึ้น เธอเงยหน้าขึ้นไปมองเขา “ยังค่ะ คุณทำงานต่อได้เลย”
“ไปกันเถอะ! ไปกินข้าวกัน!” จิ่งเป่ยเฉินลุกขึ้นเดินตรงมาหาเธอ
นี่เขาได้ยินที่เธอพูดหรือเปล่า เธอพูดว่ายังไม่หิวสักหน่อย
แต่เธอก็ลุกขึ้นและเดินออกไปกับเขาอยู่ดี
หลังจากที่ทั้งสองคนกินข้าวเสร็จก็เดินไปตรงเวทีประกาศแถลงข่าวของการเข้าสู่วงการอุตสาหกรรมหยกของบริษัทสกุลจิ่ง เหอเฉ่าที่แต่งหน้าเสร็จแล้วกำลังยืนรออยู่
นี่คือผลิตภัณฑ์หยก สินค้าหลักของบริษัทจิ่ง ดังนั้นจิ่งเป่ยเฉินจึงให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก จิ่งเป่ยเฉินเองก็ต้องเข้าร่วมงานแถลงข่าวครั้งนี้ด้วยเช่นกัน
เธอและจิ่งเป่ยเฉินนั่งพักอยู่ในห้องรับรองวีไอพี ภายในห้องรับรองขนาดใหญ่ที่พวกเขาสองคนนั่งอยู่ เธอนั่งลงข้าง ๆ เขาโดยมีใครบางคนบีบมือด้วยความกังวล
เธอยกถ้วยกาแฟขึ้นมาดื่มโดยไม่ได้ทันสังเกตมือที่โอบเอวเธออย่างกะทันหัน ตอนที่เธอกำลังยกถ้วยกาแฟขึ้น มือที่อยู่บนเอวเธอก็ขยับอย่างไม่ตั้งใจ เธอสูดลมหายใจเข้าก่อนจะมองไปที่เขาด้วยใบหน้าที่จริงจัง “ประธานจิ่ง ถึงแม้ว่าข่าวฉาวจะเผยเพร่ไปทั่ว และตอนนี้ก็มีแค่เราสองคน แต่อีกเดี๋ยวก็มีคนเข้ามาในห้อง รบกวนประธานจิ่งเอามือออกจากตัวฉันทีจะได้ไหมคะ?”
จิ่งเป่ยเฉินมองไปที่คิ้วที่สวยงามของเธอ “ไม่ได้”
“ประธานจิ่ง เดี๋ยวอีกสักพักฉันไม่ได้ขึ้นเวทีด้วยนะคะ” กาแฟที่ยังไม่ได้ดื่มเข้าร่างกาย เธอขยับไปด้านข้างเล็กน้อยอย่างใจเย็น ก่อนจะให้เหตุผลว่า “มันจะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์บริษัทสกุลจิ่ง และอาจทำให้มูลค่าใบหน้าดูตกต่ำลง”