บทที่ 125 ก็แค่เกลียด

คู่ชะตาบันดาลรัก

หมิงเวยมองอย่างละเอียด แผนผังของเรือนนั้นธรรมดาไม่ได้โดดเด่นอะไร มีโถงเล็กๆ ตรงกลาง ห้องนอนด้านขวา ห้องหนังสือด้านซ้าย

ในโถงเล็กมีกระดานหมากรุก และชุดน้ำชาวางอยู่ ในห้องนอนไม่มีอะไรเลยนอกจากตู้เสื้อผ้าและเตียง ในห้องหนังสือมีหนังสือมากมายทั้งบันทึกประวัติศาสตร์ หนังสือกวี บันทึกการเดินทาง

น่าเสียดายไม่พบกระดาษแม้แต่แผ่นเดียว บนโต๊ะมีพู่กัน แท่งหมึก กระดาษและที่ฝนหมึก เป็นไปไม่ได้ที่เวลาสิบปีมานี้นายท่านสามจะไม่เขียนอะไรเลยแม้แต่ตัวเดียวเห็นได้ชัดว่าเขาวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว

มีห้องลับอยู่ใต้ห้องหนังสือ หมิงเวยเดินลงบันไดหินแคบๆ

“มีเพียงของใช้จิปาถะบางอย่างเท่านั้นขอรับ” เหลยหงพูดกับนาง “ท่านลองดูว่าของพวกนี้มีประโยชน์หรือไม่”

หมิงเวยพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปดู

“ของพวกนี้ล้วนแล้วแต่เป็นของใช้สำหรับฝึกวิชา” ไม่นานนางก็ผิดหวัง “ดูเหมือนของสำคัญจะถูกเขาจัดการไปหมดแล้ว”

เหลยหงเลิกคิ้วก่อนพูดว่า “เขามันจิ้งจอกเฒ่าจริงๆ !”

หมิงเวยพลิกดูหนังสือสำหรับฝึกฝนวิชาและยันต์ “หากเขาไม่สับปลับจะแกล้งตายมาเป็นสิบปีโดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ได้อย่างไร”

ใช่! เหลยหงพยักหน้าเงียบๆ เขาเพิ่งทราบเมื่อเช้าว่านายท่านสามยังไม่ตาย เขาตกใจจนพูดไม่ออกเลยเมื่อเห็นนายท่านสามที่ถูกองครักษ์จับกุมตัวมา

คนที่ตายต่อหน้าพวกเขายังมีชีวิตอยู่! เขาปฏิบัติหน้าที่มาเจ็ดแปดปี แต่ไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน หากไม่ใช่เพราะคุณหนูเจ็ดระมัดระวังตัว นายท่านสามคงได้หนีลอยนวลไปแล้ว

“คุณหนูเจ็ด พวกเราขึ้นไปดีหรือไม่”

“เดี๋ยวก่อน” หมิงเวยพลิกหนังสือเล่มนั้นไปที่หน้าสุดท้ายแล้วพลิกไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

เหลยหงมองแต่ไม่เข้าใจ มีการวาดวงกลมเล็กๆ ที่ดูผิดปกติซึ่งมองอย่างไรก็ไม่เห็นความเกี่ยวข้องกัน

“เป็นเคล็ดวิชาอะไรหรือขอรับ”

หมิงเวยส่ายหน้า “ไม่ใช่เคล็ดวิชาหรอก”

เหลยหงไม่เข้าใจ

“เพราะไม่ใช่เคล็ดวิชาถึงได้แปลก” หมิงเวยอธิบาย “หนังสือเล่มนี้สิ่งที่วาดลงไปล้วนเป็นอักษรยันต์ เหตุใดหน้านี้ถึงได้แตกต่างออกไปกัน”

หมิงเวยครุ่นคิดแล้วนางก็หยิบกระดาษสีขาวมาวาดวงกลมเล็กๆ แล้วส่งหนังสือคืนให้กับเหลยหง “ข้าขอเอากลับไปคิดเสียหน่อย”

เหลยหงไม่ขัดข้อง เขาชินกับการคิดว่าหมิงเวยเป็นคนของตนเองไปแล้ว…

หลังจากทำการเก็บของจิปาถะพวกนี้ทั้งหมดเหลยหงก็เดินออกมาจากห้องลับ

“ฮูหยินสอง” เหลยหงประสานมือคารวะ “พวกเราจำเป็นต้องตรวจสอบทรัพย์สินของนายท่านสองขอรับ” ฮูหยินสองเองได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว ตระกูลหมิงกับจวนอ๋องมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันจึงจำเป็นต้องตรวจสอบทรัพย์สินด้วย

หรือก็คือนี่เป็นกุญแจสู่การตัดสินโทษของตระกูลหมิงนั่นเอง

………….

“แม่นม ทานข้าวต้มสักหน่อยเถอะ” ซู่เจี๋ยโน้มน้าวให้นางทานมากขึ้น

“ข้าจัดการเอง” เมื่อได้ยินเสียงซู่เจี๋ยก็เห็นว่าหมิงเวยเดินเข้ามา

“คุณหนู” นางลุกขึ้นยืน หมิงเวยรับชามข้าวต้มจากนางแล้วไปนั่งข้างเตียง

“จะรบกวนคุณหนูได้อย่างไรเจ้าคะ” แม่นมพูดเสียงเบา “ให้สาวใช้จัดการดีกว่าเจ้าค่ะ” หมิงเวยส่ายหน้า นางตักข้าวต้มขึ้นแล้วยื่นเข้าไปใกล้ปากของอีกฝ่าย

แม่นมถงเลยจำเป็นต้องอ้าปากทานเข้าไป เมื่อทานข้าวต้มเสร็จตามด้วยล้างปาก หมิงเวยจึงพูดกับนางว่า “แม่นม ท่านแม่จากไปหลายวันแล้วท่านยังปล่อยวางไม่ได้หรือ”

แววตาของแม่นมถงเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “บ่าวรู้สึกผิดต่อฮูหยินเห็นท่านทุกข์ทรมานมาหลายปี บ่าวทำอะไรไม่ได้เลยนอกจากปลอบฮูหยินให้อดทน จนในที่สุด ฮูหยิน…”

หมิงเวยเข้าใจความรู้สึกนี้ เดิมทีคิดว่าสักวันหนึ่งจะผ่านพ้นไปได้ ผู้ใดจะคิดว่าฮูหยินสามจะตายอย่างไม่ยุติธรรมเช่นนี้กัน ที่อดทนมาหลายปีเพียงนี้จะมีความหมายอะไรกัน

แม่นมถงเสียใจมากจนล้มป่วย หมิงเวยเงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “สิ่งที่แม่นมถงเกลียดที่สุดคือยังไม่สามารถล้างแค้นให้ท่านแม่ได้ใช่หรือไม่”

แม่นมถงเบนหน้ามามอง ดวงตาของนางคลอไปด้วยน้ำตา “บ่าวเป็นแค่สาวใช้ ไม่สามารถทำอะไรให้ฮูหยินได้ยิ่งคำว่าแก้แค้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลยเจ้าค่ะ”

หมิงเวยหันหน้าไปสั่ง “ซู่เจี๋ย เจ้าออกไปเฝ้าประตูอย่าให้ผู้ใดเข้ามาใกล้”

ซู่เจี๋ยรับคำแล้วเดินออกไป

หมิงเวยจับมือแม่นมถงแล้วกระซิบเสียงเบา “แม่นมอยากพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะ อย่าเก็บให้ว้าวุ่นใจเลย สำหรับข้านอกจากท่านแม่แล้วก็มีแม่นมที่ใกล้ชิดมากที่สุด ไม่มีความแตกต่างระหว่างเจ้านายกับบ่าวรับใช้ และไม่มีสิ่งใดที่ไม่สามารถพูดออกมาได้”

หลังจากได้ยินคำพูดเหล่านี้ท้ายที่สุดแล้วแม่นมถงก็ร้องไห้ออกมาไม่หยุด

“คุณหนู!”

หมิงเวยจับไหล่นางฟังนางร้องไห้ด้วยความเจ็บปวด ทำได้เพียงอยู่เป็นเพื่อนเงียบๆ

แม่นมถงร้องไห้ไปสักพักในที่สุดอารมณ์ของนางก็ค่อยๆ สงบลง ความเกลียดชังที่ไม่ปิดบังก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของนาง “พวกเขาควรตายทั้งหมด!”

ลมในเดือนสี่ร้อนขึ้นเสียงของแม่นมถงดังก้องไปทั่วห้อง

“หลายปีมานี้กว่าฮูหยินจะผ่านไปได้แต่ละวัน! ต้องพบเจอบุรุษคนแล้วคนเล่า หญิงคณิกาผู้ต่ำต้อยที่สุดหากไม่อยากพบยังสามารถไม่พบได้แล้วฮูหยินเล่า”

“มีผู้ใดในตระกูลนี้ที่มือขาวสะอาดไม่รู้เรื่องราวบ้าง สัตว์เดรัจฉานอย่างนายท่านสองและนายท่านหก แล้วผู้อื่นล่ะ พวกเขาไม่รู้เรื่องจริงๆ งั้นหรือ”

“นายท่านสี่คอยจับผิดฮูหยิน จะบอกว่าท่านไม่ทราบเรื่องราวภายในเลยหรือ”

“ฮูหยินผู้เฒ่าปฏิบัติต่อฮูหยินแบบขอไปที ท่านมองออกว่านายท่านหกมีใจให้ฮูหยิน แต่ท่านก็เลือกที่จะอยู่ข้างนายท่านหก ไม่แน่ในใจนางอาจโทษฮูหยินว่าเป็นผู้ดึงดูดความสนใจของนายท่านหกเอง”

“ยังมีฮูหยินสอง ปกตินางจะรักใคร่กลมเกลียวกับฮูหยิน แต่พอเกิดเรื่องนางกลับมองดูอย่างเงียบๆ”

“ฮูหยินสี่ต่อหน้าทำตัวไม่มีช่องโหว่ แต่ความจริงแล้วจำกัดเขตคุณหนูแปดกับคุณชายเก้า ไม่ให้พวกเขามาที่สวนอวี๋ฟาง”

“ฮูหยินหกก็เหมือนกันในใจนางเกลียดฮูหยินจนอยากให้ฮูหยินตายเสียด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่มาพบฮูหยินหากไม่จำเป็นต้องคุยกันก็ไม่คุยเลย”

“ผู้ใดไม่รู้เรื่องงั้นหรือ พวกเขาทุกคนล้วนเป็นผู้ผลักให้ฮูหยินต้องมาพบเจอเรื่องนี้!”

“พวกเขาทุกคนล้วนต้องมาขอขมาต่อหน้าฮูหยิน!”

หมิงเวยลูบหลังแม่นมถงเบาๆ ฟังนางระบายด้วยความเกลียดชัง ถึงแม้บางเรื่องจะไม่ถูกต้องทั้งหมด แต่ความเกลียดชังของนางก็มีเหตุผล

นายท่านสี่รักฮูหยินสามจากใจจริงแล้วอย่างไร ในเมื่อการเฝ้าดูอย่างนิ่งดูดายมาสิบปีนั้นเป็นเรื่องจริง

ส่วนคนที่เหลือถึงจะไม่รู้เรื่องราวภายใน แต่มีเหตุผลอะไรมาเกลียดชังฮูหยินสามกัน นางเป็นเหยื่อ เป็นเหยื่อโดยสมบูรณ์ เหตุใดต้องมาถูกคนเกลียด ถูกคนตำหนิด้วย ต่อให้ทำผิดหลายหมื่นครั้ง อย่างไรเหยื่อก็ไม่ผิด

“บ่าวเกลียดตัวเองที่ทำอะไรไม่ได้!” แม่นมถงน้ำตาไหลพราก

ท่ามกลางเสียงร้องหมิงเวยพูดออกมาเบาๆ “ข้าทำได้แล้ว”

“คุณหนู…” แม่นมถงมองนางด้วยสายตาว่างเปล่า

หมิงเวยยิ้มและเช็ดน้ำตาให้นาง “จนกว่าจะถึงวันนั้น แม่นมต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ ข้าสาบาน ไม่ต้องรอนานแม่นมได้เห็นวันนั้นแน่นอน!”

…………

หมิงเวยกลับไปยังห้องของตนเองแล้วเห็นวิญญาณของคุณหนูเจ็ดนั่งเงียบๆ ตรงมุมห้อง หลังตามหาสองจิตสี่วิญญาณที่หายไปเจอแล้ว ไอวิญญาณของนางมีชีวิตชีวาขึ้นมาก

“ท่านไม่พอใจงั้นหรือ” หมิงเวยพูดเบาๆ “ตายไปหลายวันแล้วยังคงรักษาจิตวิญญาณเอาไว้ได้ ใครๆ ต่างก็บอกว่าท่านโง่เขลา แต่ใครบอกหรือว่าคนโง่ไม่มีหัวใจกัน”

คุณหนูเจ็ดยังคงเฉยชาไร้ความรู้สึก นางไม่ขยับไปไหน

“ไม่ต้องกังวลไป เสวียนหนี่เหนียงเหนียงจะกำจัดความชั่วร้าย ความปรารถนาของพวกท่านกำลังจะเป็นจริงแล้ว”

นางลูบเครื่องรางที่ทำมาจากไม้สีดำในมือช้าๆ…

………………………………………….