ตอนที่ 117 อดีตของท่านแม่

แม่ครัวยอดเซียน

“ใครเป็นคนเจอเจ้า” เมื่อหลงซินเยว่ได้ยินว่าคนบ้านสกุลหลงเจอหลิวหลี นางก็ตัวสั่นเล็กน้อย

“ท่านลุงสามเจ้าค่ะ”

“เขารู้ได้อย่างไร” ทั้งๆที่นางเตรียมการไว้ให้ลูกของนางอยู่ห่างจากบ้านสกุลหลง ทำไมถึงไปเจอได้

“ฮ่าฮ่า เรื่องนี้ให้ข้าเป็นคนเล่าแทนละกัน” เอ๋าเลี่ยที่อยู่ข้างๆพูดขึ้นเบาๆ

“ท่านคือ” หลงซินเยว่มองเอ๋าเลี่ยด้วยความสงสัยแล้วถามขึ้น

“ท่านแม่ เขาคือคู่พันธสัญญาของข้าเอ๋าเลี่ย จากเผ่ามังกร” หลิวหลีจำเป็นต้องแนะนำอีกรอบ เมื่อครู่แม่ของนางได้ฟังที่นางพูดไหม

“เรื่องเป็นอย่างนี้ ตอนนั้นพลังบำเพ็ญเพียรของข้าไม่ก้าวหน้าอยากเริ่มต้นบำเพ็ญใหม่ แต่บังเอิญได้ไปเจอกับหลิวหลีสมัยยังเด็ก ข้าถูกเด็กคนนี้เหยียบเข้าที่จุดตาย แน่นอนล่ะว่า มันไม่โดน แค่เฉียดไป แล้วก็บังเอิญได้ทำพันธสัญญากับลูกสาวของท่าน ข้าก็เห็นว่าตอนทำพันธสัญญาเหมือนตอนทำกับบ้านสกุลหลง ก็เลยสงสัยว่าจะมีลูกหลานบ้านสกุลหลงที่อยู่ข้างนอกรึเปล่า แต่เมื่อส่งข้อความกลับไปที่เผ่า จึงรู้แค่ว่าโคมวิญญาณของท่านได้ดับลงแล้วเท่านั้น ประจวบเหมาะกับอายุของหลิวหลีก็สอดคล้องกันพอดี คิดไม่ถึงว่าบ้านสกุลหลงก็มีคนสงสัย จึงสืบหาเบาะแสจนตามมาเจอหลิวหลี” เอ๋าเลี่ยพูดอธิบาย

ตอนนี้หลิวหลีเพิ่งจะเข้าใจว่า ท่านลุงสามหาตัวเองเจอได้อย่างไร

“เป็นอย่างนี้นี่เอง ท่านคือเทพแห่งสงครามเอ๋าเลี่ยของเผ่ามังกรใช่หรือไม่ การที่ได้ท่านมาเป็นคู่พันธสัญญา ถือเป็นความโชคดีของลูกสาวข้า” หลงซินเยว่รู้สึกว่าลูกสาวเป็นคนที่โชคดีมาก

“อะไรกัน การที่อาเลี่ยมาเจอข้าถือเป็นเกียรติของเขาต่างหาก” หลิวหลีแสดงความไม่พอใจ ทั้งๆ ที่นางออกแรงมากกว่าเห็น ๆ

“ใช่แล้ว การได้เจอนังหนูถือเป็นเกียรติของข้า” สำหรับจุดนี้ เอ๋าเลี่ยเห็นด้วยอย่างมาก ไม่เคยเจอใครที่มีพรสวรรค์โดดเด่นเท่ากับหลิวหลีมาก่อน

“ฮูหยิน ท่านรู้ไหมว่าลูกสาวของท่านจะได้มีรายชื่ออยู่ในการจัดอันดับผู้ถูกเลือก อีกทั้งอยู่ในอันดับที่ไม่แย่ด้วย” เอ๋าเลี่ยภูมิใจเรื่องนี้มาก

“การจัดอันดับผู้ถูกเลือก หลิวหลี” หลงซินเยว่นึกไม่ถึงว่าลูกสาวของตัวเองจะมีพรสวรรค์ที่โดดเด่นขนาดนี้

“ฮูหยิน ท่านมองพลังบำเพ็ญเพียรของนังหนูออกหรือไม่” เอ๋าเลี่ยถามต่อ

หลงซินเยว่เพิ่งจะเริ่มสังเกตลูกสาวตัวเองโดยละเอียด ก่อนที่นางจะกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา พลังบำเพ็ญของนางอยู่ในช่วงปราณก่อนกำเนิด เมื่อให้กำเนิดหลิวหลีเสร็จบวกกับสลบไป ตอนนี้พลังบำเพ็ญเพียรของนางอยู่ในช่วงอมตะเท่านั้น แต่สายตาของนางยังดีอยู่ นางกลับมองไม่เห็นพลังบำเพ็ญเพียรของลูกสาวตัวเอง นี่มันผ่านไปกี่ปีแล้วกันแน่

“มองไม่ออกใช่หรือไม่ ตอนนี้ลูกสาวของท่านอายุไม่ถึง 50 ปี กลับมีพลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในช่วงแยกจิตระยะปลาย เป็นผู้ถูกเลือกที่มีความสามารถโดดเด่นอย่างเห็นได้ชัด” เอ๋าเลี่ยพูดด้วยความภาคภูมิใจ

“ไม่ถึง 50 ปี ข้าอยากถามมาตลอดว่าที่นี่คือที่ไหน ทั้งๆที่ข้าไม่มีทางรอดเหลืออยู่แล้วชัดๆ” หลงซินเยว่ถามอย่งประหลาดใจ

“ท่านแม่ ที่นี่คือมิติในป้ายหยกที่ท่านทิ้งไว้ให้ข้าในตอนนั้น”

“ป้ายหยกที่ข้าทิ้งไว้ให้ในตอนนั้น? ข้าไม่ได้ทิ้งป้ายหยกไว้ให้เจ้า ป้ายหยกเดียวที่ข้ามี ท่านปรมาจารย์อาสิงอวิ๋นเป็นคนมอบให้แก่ข้า” หลงซินเยว่สับสน นางจำไม่ได้จริงๆ ว่านางทิ้งป้ายหยกไว้ให้ลูกสาวของตัวเอง

“เรื่องนี้จะพูดอย่างไรดีล่ะ ท่านแม่ ตอนที่ข้าอายุ 6 ขวบ พ่อตัวปลอมที่เป็นพ่อค้าขายผ้าในโลกมนุษย์เพิ่งจะรู้ว่ามีข้าเป็นลูกสาว ตอนนั้นข้ามีวาสนาเซียนหลังจากนั้น 3 วันต้องไปสำนักเมฆาคล้อย ข้าก็เลยบอกกับเขาว่าข้าอยากจะทำความสะอาดสุสานให้ท่าน เขาอมอนุญาต ข้าคำนับให้ท่าน 3 ครั้ง หลุมศพท่านก็มีแสงปรากฏขึ้น ข้าเก็บป้ายหยกรูปมังกรได้ ตอนแรกคิดว่าเป็นหยกเก็บของที่มีขนาดใหญ่ จนกระทั่งข้าเก็บหินเวทมนตร์ได้ รวมรวบวิญญาณทั้ง 5 ธาตุ สร้างสวนสมุนไพรเล็กๆ ขึ้นแล้วก็ถูกมิติในป้ายหยกรูปมังกรดูดกลืนเข้าไป จึงพบว่าท่านแม่อยู่ในนั้นเช่นกัน” หลิวหลีอธิบายคร่าว ๆ

หลงซินเยว่เชื่อแล้วว่าลูกสาวของตัวเองเป็นคนที่โชคดี ป้ายหยกชิ้นนี้ถ่ายทอดให้กับคนบ้านสกุลหลงมาแล้วไม่รู้กี่รุ่น แต่กลับไม่มีใครรู้ว่าข้างในมีมิติที่สมบูรณ์แบบนี้อยู่ ลูกสาวของนางกลับเป็นคนหาเจอ

“แต่ว่า ท่านแม่ ท่านอย่าขอป้ายหยกคืนไปได้หรือไม่ ตั้งแต่ข้าปลุกมิติให้ตื่นขึ้น มันก็กลายเป็นรอยสักบนร่างกายของข้าไปแล้ว” หลิวหลีทำหน้าลำบากใจ จะให้นางกรีดเนื้อตัวเองคืนบ้านสกุลหลงก็คงไม่ได้

“นายท่าน ไม่จำเป็นเลย มิติได้รวมอยู่ในร่างของท่านแล้ว ป้ายหยกก่อนหน้านี้ ข้าคิดว่าท่านไม่ใช้แล้ว ก็เลยทิ้งไว้อยู่ข้างๆ” โม่หรานกล่าว

“แล้วนี่ใครอีก” หลงซินเยว่อย่างสงสัย ไม่เหมือนเด็กผู้หญิงเลย

หลิวหลีกัดฟัน ทำไมไม่บอกตั้งแต่แรก ทำนางรู้สึกผิดจนต้องมอบยาศักดิ์สิทธิ์ให้กับบ้านสกุลหลงไปตั้งมากมาย

“เป็นภูตอาวุธของมิติแห่งนี้” เอ๋าเลี่ยตอบ ทำไมเขาถึงมองไม่ออกว่าหลิวหลีไม่ได้คิดที่จะจัดการกับภูติวิญญาณตนนี้ให้เป็นจริงเป็นจัง

“ภูตอาวุธหรือ? ถ้าอย่างนั้นอย่างน้อยก็ต้องเป็นอาวุธเซียน หรืออาจจะเป็นอาวุธเทพ”

“อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องนี้เลย ท่านแม่ ตอนนั้นดวงจิตส่วนหนึ่งที่ท่านทิ้งไว้บอกว่าคนสกุลจ้านทำร้ายท่าน ท่านแม่บอกได้หรือไม่ ว่าคนผู้นั้นคือใคร ข้าจะไปจัดการมัน” หลิวหลีค่อนข้างสนใจเรื่องนี้ คิดไม่ถึงว่าจะทำให้นางกับแม่ของนางไม่ได้เจอกันนานขนาดนี้ แล้วยังต้องไปพึ่งอาจารย์ให้ทำยาคืนวิญญาณให้อีก

“ลูกแม่ เจ้าได้ยินข้อความที่แม่ทิ้งไว้ให้ด้วยหรือ” สีหน้าหลงซินเยว่ไม่สู้ดีนัก

“ใช่สิท่านแม่ ท่านบอกมาเถอะว่ามันผู้นั้นคือใคร ข้าจะเผามัน” หลิวหลีพูดจบ เพลิงอัคคีทั้ง 5 สีก็ปรากฏขึ้นมาอยู่บนมือ

“เพลิงอัคคี มี 5 ชนิด” หลงซินเยว่มองดูเพลิงอัคคีบนมือของหลิวหลีด้วยความประหลาดใจ

“ไม่ได้มีอะไรมากมาย ต่อไปข้าจะมีเพลิงอัคคีมากกว่านี้อีก” หลิวหลีไม่ได้สนใจ นางต้องใช้เพลิงอัคคีในการบรรลุช่วงพลัง

“ในเมื่อลูกแม่รู้แล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเคยเจอกับคนบ้านสกุลจ้านแล้วใช่หรือไม่” หลงซินเยว่พูดพลางถอนหายใจ

“เจ้าค่ะ แต่ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง หญิงบ้าชื่อว่า จ้านเฟิงจวินถูกเอ๋าเลี่ยตัดแขนทั้งสองข้าง ตอนนี้ได้ยินมาว่าถูกลงโทษให้นั่งสำนึกผิดอยู่ในศาลบรรพชนของสกุล” หลิวหลีย่อมจำคำพูดในตอนนั้นของจ้านเฟิงจวิน นางไม่ปฏิเสธ นางจงใจหยั่งเชิงถามมารดาของนาง อย่างไรเสียนางเองก็ไม่เข้าใจเรื่องราวความเป็นมาในตอนนั้นชัดเจนนัก

“จ้านเฟิงจวินถูกเจ้าจัดการแล้วหรือ” หลงซินเยว่รู้สึกประหลาดใจ นึกไม่ถึงว่าจ้านเฟิงจวินที่ทำตัวกร่างขนาดนั้นก็จะมีวันนี้เช่นกัน

“ถูกอาเลี่ยจัดการไปแล้ว อีกอย่างท่านแม่ ข้ายังทำพันธสัญญากับกิเลน เพราะฉะนั้นข้ามีสิทธิ์ที่จะได้รู้ความจริงกระมัง” หลิวหลีกระตุ้นตราพันธสัญญา ภาพลายมังกรที่หูซ้ายกับภาพลายกิเลนที่หูขวาก็เปล่งแสงออกมา

“นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าก็ได้สืบทอดสายเลือดของเขามาด้วย สามารถทำพันธสัญญาคู่ได้” เมื่อเห็นภาพลายกิเลน หลงซินเยว่รู้สึกขึ้นมาว่านางอยากจะปิดบังก็คงจะปิดไม่มิดแล้ว

“ข้าได้เจอกับพ่อของเจ้าโดยบังเอิญ ข้าไม่รู้ว่าเขาเป็นคนบ้านสกุลจ้านเผ่ากิเลน นึกว่าเป็นคนธรรมดาทั่วไป หลังจากนั้นพวกเราก็รักกัน เป็นเพราะพ่อกับพี่ชายต่างก็รักข้ามาก ข้าก็เลยคิดว่าถึงแม้ข้าจะแต่งงานกับคนธรรมดา พวกเขาก็คงจะไม่ว่าอะไร แต่ข้ากลับคิดไม่ถึงว่าเขาคือจ้านเฟิงหลิง บ้านสกุลจ้าน เป็นน้องชายของผู้นำสกุลจ้านคนปัจจุบัน อีกทั้งเขาก็ยังมีคู่หมั้นแล้ว คู่หมั้นของเขาก็คือจ้านเฟิงจวิน” พูดดจบหลงซินเยว่ก็หยุดไปครู่หนึ่ง

“ด้วยความที่พ่อข้ารักข้ามาก คงจะไม่ยินยอมให้ข้าไปเป็นอนุภรรยาแน่ แล้วเขาก็ให้สัญญากับข้าว่าจะมาสู่ขออย่างถูกต้องตามธรรมเนียม ข้าคิดว่าพวกเราคือรักแท้ก็เลยไม่ได้คิดอะไรมาก” พอพูดมาถึงตรงนี้ หลงซินเยว่ก็อยากจะหัวเราะ ตอนนั้นเพราะความรักที่พ่อและพี่ชายมีต่อนาง จนทำให้นางกลายเป็นคนไร้เดียงสา

“อยู่มาวันหนึ่ง จ้านเฟิงหลิงนัดให้ข้าไปหาที่บ้านสกุลจ้าน ข้าไปโดยไม่คิดอะไร สรุปคือไม่ใช่จ้านเฟิงหลิงที่เป็นคนเรียกข้าไป แต่เป็นจ้านเฟิงจวิน ตอนนั้นข้าใสซื่อเกินไป จึงดื่มชาของจ้านเฟิงจวินโดยไม่ทันระวังตัว ทำให้สติของข้าเลือนลาง แต่ข้าก็ได้ป้องกันนางไว้อยู่บ้าง แต่นึกไม่ถึงว่านางคิดจะทำลายข้า ชาศักดิ์สิทธิ์ที่ข้าดื่มเข้าไปมีส่วนผสมของฮวาโหลว ยาปลุกกำหนัดสำหรับนักบำเพ็ญหญิง ไม่มีวิธีแก้ แล้วข้าก็บังเอิญไปเจอกับจ้านเฟิงหลิงที่หมดสติอยู่ ที่แท้จ้านเฟิงจวินใช้ชื่อของข้าเรียกจ้านเฟิงหลิงให้มาพบ จากนั้นก็ทำให้เขาหมดสติ ข้าก็เลยมีความสัมพันธ์กับเขาในตอนนั้น นึกไม่ถึงว่าจ้านเฟิงจวินที่ตอนนั้นมีเรื่องต้องไปจัดการกลับมา พบว่าข้ากับจ้านเฟิงหลิงได้เสียกันแล้ว ก็โมโหเป็นอย่างมาก เดิมข้าก็เป็นคนธาตุหยิน บวกกับยาที่ยังไม่หมดฤทธิ์ คู่พันธสัญญาของข้าเพื่อที่จะให้ความช่วยเหลือข้า ก็ฝืนฉีกมิติออกมา ทำให้ตัวเองต้องตายเพื่อปกป้องข้า” หลงซินเยว่เมื่อนึกถึงความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในตอนนั้น นางยอมตายเสียดีกว่า การตายของคู่พันธสัญญาก็ส่งผลกระทบต่อนางไม่น้อย

“หลังจากผ่านไปสักพัก ข้าจึงเพิ่งรู้ว่าคือโลกมนุษย์ ข้าก็อาศัยอยู่ในโลกมนุษย์ด้วยความสับสนไปหลายเดือน ข้าจึงเพิ่งมารู้ว่ามีเจ้า  ข้าใช้พลังเฮือกสุดท้ายพบว่าในเขตลี้ลับของโลกมนุษย์จะมีผู้บำเพ็ญระดับล่างปรากฏตัวขึ้น แล้วก็รู้อีกว่าพ่อค้าขายผ้าหลี่หลินมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้อง ข้าจึงวางแผนแต่งงานกับเขาเพื่อเจ้า เรื่องหลังจากนั้นเจ้าก็น่าจะรู้อยู่แล้ว” หลงซินเยว่พูดจบ นางก็ปิดตาลงเหมือนกับใช้พลังไปจนหมดสิ้น

“มิน่า ตอนนั้นถึงได้รู้สึกแปลกระหว่างผู้ทำพันธสัญญาทั้งสองไม่ได้จากไปพร้อมกัน” เอ๋าเลี่ยเข้าใจแจ่มแจ้ง

“ท่านแม่ ผู้ชายคนนั้น ผู้ชายคนที่ชื่อจ้านเฟิงหลิง ท่านยังชอบเขาอยู่หรือไม่” หลิวหลีสงบนิ่งมากเป็นพิเศษ สงบนิ่งเสียจนไม่เหมือนปกติ เอ๋าเลี่ยกลับสัมผัสได้ว่าหลิวหลีกำลังจะระเบิดอารมณ์อยู่รอมร่อ

“ข้าก็ไม่แน่ใจ” หลงซินเยว่ก็บอกไม่ได้ว่าตอนนี้นางรู้สึกอย่างไร

“ถ้าอย่างนั้นจ้านเฟิงจวินล่ะ” หลิวหลีถามต่อด้วยท่าทีที่สงบนิ่ง

“แค้น แค้นจนอยากจะถลกหนังควักเนื้อ” เมื่อพูดถึงจ้านเฟิงจวิน หลงซินเยว่แสดงปฏิกิริยาที่เห็นได้อย่างชัดเจน

“รู้แล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่ ท่านพักผ่อนเถอะ” หลิวหลีพยักหน้า แสดงออกมาว่าเข้าใจ

หลงซินเยว่ใช้เวลาอยู่กับหลิวหลีค่อนข้างน้อย แน่นอนว่าไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของหลิวหลี นอนพักผ่อนอย่างสบายใจอย่างว่าง่ายตามคำพูดจองลูกสาว  หลิวหลีปิดประตูให้มารดา เดินออกมาด้วยสีหน้าบึ้งตึง

“นังหนู เจ้าคิดจะทำอะไร” ตาขวาของเอ๋าเลี่ยกระตุกไม่หยุด รู้สึกสังหรณ์ใจ

“ทำอะไรน่ะหรือ ก็จะไปนั่งเล่นที่บ้านสกุลจ้านเสียหน่อย พูดคุยเรื่องเก่า แล้วก็เก็บดอกเบี้ยเล็กๆน้อยๆ” หลิวหลีนิ่งจนน่ากลัว

“นังหนู เจ้ารอให้แม่ของเจ้าแข็งแรงแล้วพาเจ้าไปด้วยกันไม่ดีกว่าหรือ” เอ๋าเลี่ยกล่าวเตือน นังหนูโมโหแล้ว บ้านสกุลจ้านคงจะเดือดร้อนแน่

“ไม่จำเป็น ให้ท่านแม่เห็นผลของมันก็พอ”

“นังหนู” เอ๋าเลี่ยยังอยากจะพูดอะไรต่อ หลิวหลีก็พูดต่อ

“อาเลี่ย เจ้าก็รู้ว่าหลังจากที่ข้าฟังเรื่องราวจากแม่ของข้าแล้วข้ารู้สึกอย่างไร ข้าเกิดมาจากความไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้เกิดมาจากคำอำนวยพร การเกิดมาของข้าทำให้เกิดความยุ่งยากมากมาย ทำลายแม่ของข้าแล้ว คิดว่าหลบอยู่ในศาลบรรพชนแล้วจะไม่เป็นอะไรหรือ ข้ารู้สึกเสียใจจริงๆ ตอนนั้นน่าจะลงมือให้หนักกว่านี้” หลิวหลีกัดฟันพูด

“นังหนู ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนี้ อย่างน้อยแม่ของเจ้าก็รักเจ้านะ” เอ๋าเลี่ยนึกไม่ถึงว่าความจริงที่ปรากฏขึ้นจะทำร้ายหลิวหลีได้มากขนาดนี้

“ไม่ใช่หรือ จะให้คิดอย่างไรได้ อาเลี่ย ให้ข้าปล่อยความแค้นนี้ออกมาเถอะ ถ้าข้าเก็บเอาไว้ข้าเกรงว่าอาจจะมีใจมารเกิดขึ้น อาจจะเป็นอุปสรรคต่อการบำเพ็ญของข้าในอนาคต”

“ได้ นังหนู ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไร ข้าก็จะสนับสนุนเจ้า” นังหนูพูดขนาดนี้แล้ว เขาก็คงทำได้เพียงลุยไปกับนังหนูเท่านั้น

………………….………………….……