บทที่ 146
กับดัก
ณ ท้องพระโรง ขุนนางทั้งฝั่งซ้ายและฝั่งขวาต่างก็พากันตื่นตระหนกเพราะการหายตัวไปของเยี่ยจุนเจี๋ย โดยเฉพาะเหล่าขุนนางฝ่ายกองทัพที่พากันก้มหน้า
ในหลายปีมานี้ประเทศนั้นเต็มไปด้วยความสงบสุขและผู้คนต่างก็อยู่ในสันติ พวกเขาจึงต่างก็เสพสุขกับวันที่แสนสบายและลาภยศสรรเสริญ แต่ในเวลานี้พวกเขากลับไม่กล้าที่จะออกหน้าและไม่คิดที่จะออกมาปกป้องชื่อเสียงและตำแหน่งของตัวเองกันเลย
แม่ทัพเฒ่าเจิ้นกว๋อที่นั่งอยู่ที่รถเข็นก็ได้เฝ้ามองดูเหตุการณ์นี้อย่างเงียบๆ ยิ่งมองดูก็ยิ่งผิดหวัง รัฐเจียงในเวลานี้เสื่อมโทรมลงเรื่อยๆ ถ้าหาปล่อยไว้แบบนี้ต่อไปประเทศคงถูกทำลายสักวันหนึ่งแน่
“ฮ่องเต้เสด็จแล้ว”
เสียงที่แหลมสูงดังขึ้นมา ทำให้เหล่าขุนนางรีบกลับมาเข้าประจำตำแหน่งของตัวเองแล้วหมอบก้มลงไปและรอฟังคำสั่ง
ฮ่องเต้เจียงก็ได้ขึ้นนั่งประจำที่ของตัวเองแล้วยกมือขึ้นมาอย่างช้าๆ “ทุกคนลุกขึ้น”
“ขอทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่นๆปี”
ด้วยเสียงที่ดังฟังชัดนี้ช่างต่างจากสภาพเมื่อสักครู่นี้นัก ซึ่งเป็นความสามารถพิเศษของพวกเขาในการกลบเกลื่อนสายตาของฮ่องเต้
“พวกท่านคงจะรู้ถึงสถานการณ์ของอำเภอจ้าวกันแล้ว ในวันนี้พวกท่านพอจะมีข้อเสนอดีๆกันบ้างไหม?” ฮ่องเต้เจียงก็ได้หรี่สายตาของเขาลงแล้วมองกวาดสายตาไปทีละคน
แล้วสุดท้ายเขาก็ได้หันมาหยุดมองที่มหาเสนาบดี หลิน “ไม่ทราบว่าท่านหลินมีความคิดเห็นเช่นใดบ้าง?”
มหาเสนาบดีหลินที่ถูกเอ่ยนามโดยฮ่องเต้นั้นก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วกล่าว “ฝ่าบาทควรจะส่งใครสักคนไปเพิ่มเพื่อช่วยเหลือท่านแม่ทัพเยี่ยและกำจัดพวกโจรนะพ่ะย่ะค่ะ”
“กำลังทหารที่สั่งสมเอาไว้เมื่อถึงเวลาก็ต้องเอามาใช้สินะ แล้วมีใครอาสาที่จะไปไหม?”
เสียงที่ทุ้มต่ำและน่าเกรงขามได้กระจายออกไปทั่วท้องพระโรง แต่ก็ไม่มีใครตอบกลับมา ฮ่องเต้เจียงจึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา “นี่ประเทศที่ยิ่งใหญ่แท้ๆ แต่กลับไม่มีใครเลยที่คิดจะออกไปกำจัดกองโจรเล็กๆเลยอย่างนั้นเหรอ?”
แล้วเหล่าขุนนางน้อยใหญ่ต่างก็พากันก้มหน้า และต่างพากันมองจมูกของกันและกัน แล้วปล่อยผ่านให้คำพูดของ ฮ่องเต้เจียงนั้นผ่านหูของพวกเขาไปเหมือนสายลม ราวกับว่าคำพูดเหล่านั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับพวกเขาเลย
“แม้กระทั่งท่านแม่ทัพเฉิงก็ยังไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลยงั้นเหรอ?” แล้วสายตาของฮ่องเต้ก็ได้จับจ้องไปที่แม่ทัพเฉิง ที่เขาแต่งตั้งขึ้นมาเอง ซึ่งเขาก็พอที่จะรู้ดีอยู่แก่ใจ
แม่ทัพเฉิงจึงได้ลุกขึ้นยืนแล้วรู้ดีในใจของตัวเองว่าฮ่องเต้จะต้องคิดบางอย่างอยู่เป็นแน่ เขาจึงได้กล่าวออกไปด้วยเสียงที่หนักแน่น “หากฝ่าบาทรับสั่งมา หม่อมฉันก็จะไปโดยไม่ลังเลพ่ะย่ะค่ะ”
แล้วเรื่องนี้ก็ได้ถูกจัดการจนเสร็จสิ้น โดยที่ฮ่องเต้เจียงนั้นไม่ได้ถามความเห็นจากแม่ทัพเจิ้นกว๋อเลยตลอดการประชุม
ซึ่งแม่ทัพเฒ่าเจิ้นกว๋อเองก็รู้ดีว่าฮ่องเต้เจียงนั้นคิดที่จะอาศัยโอกาสนี้จัดการกวาดล้างจวนแม่ทัพเจิ้นกว๋อเป็นแน่ เขาจึงได้คิ้วขมวดและคิดที่จะส่งคนไปที่อำเภอจ้าวเพื่อตามหาเยี่ยจุนเจี๋ย
อย่างไรเสียนั่นก็เป็นถึงหลานชายคนโตของเขา เขาจะต้องไม่เป็นอันตรายใดๆและยังจำเป็นต้องหยุดแผนการร้ายของฮ่องเต้ด้วย ไม่เพียงแต่จะต้องให้เยี่ยจุนเจี๋ยปลอดภัยแล้ว แต่เขาจะต้องได้รับชัยชนะครั้งใหญ่กลับมาด้วย
ณ บ้านหลังหนึ่งไม่ไกลจากอำเภอจ้าว เจียงหวายเย่ที่หมดสติไปพักใหญ่ๆ ในที่สุดก็ได้ฟื้นคืนสติขึ้นมา
ในชั่วขณะที่เขาลืมตาขึ้นมาเขาก็ไม่พบหลินซีเหยียนแล้ว อันอี้ที่ทำหน้าที่ดูแลเขาอยู่ไม่ไกลก็ได้รีบเข้ามาหาและรายงานเรื่องของเชียนฉีให้ฟัง
เจียงหวายเย่ก็ได้เลียริมฝีปากที่แตกของเขาเมื่อได้ยินรายงาน แล้วจากนั้นก็ได้ถามด้วยเสียงที่แหบแห้ง “เสี่ยวเหยียนเอ๋อออกไปแล้วเหรอ?”
ความแม่นยำของข่าวนี้ยังไม่ได้รับการยืนยัน จึงอาจจะเป็นไปได้ที่จะเป็นกลลวงของศัตรู
อันอี้จึงได้ลงไปคุกเข่าที่ข้างเตียงด้วยความรู้สึกผิด “มันเป็นความเลินเล่อของข้าน้อยเองที่ไม่ทันได้รู้ตัวถึงการจากไปของพระชายาขอรับ”
เจียงหวายเย่ก็ได้โบกมือราวกับอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก่อนที่เขาจะพูดอะไรออกมาเขาก็ได้ไออย่างรุนแรง เขาจึงได้ปิดปากของเขาแล้วพยายามฝืนเอาไว้
“องค์ชายดื่มน้ำชาก่อนขอรับ” อันอี้ก็ได้รีบเดินไปที่โต๊ะแล้วกลับมาพร้อมกับแก้วชา แล้วยื่นให้กับเจียงหวายเย่
เจียงหวายเย่ก็ได้ยื่นมือของเขาไปรับมาดื่ม แต่ก็พบว่าในมือของเขานั้นมีเลือดสีแดงฉานเปรอะเต็มมือ
แล้วตามมาด้วยอาการเจ็บปวดเสียงแทงหัวใจในอกของเขา แล้วเลือดก็ได้ไหลออกมาจากมุมปากของเขาไม่หยุด
เจียงหวายเย่ที่พยายามฝืนลุกขึ้นนั่งก็ได้พูดออกมาอย่างติดๆขัดๆ “ไป…ตาม..หาเสี่ยวเหยียนเอ๋อ และคอยปกป้องนางเอาไว้”
จากนั้นเจียงหวายเย่ก็ได้หมดสติไปท่ามกลางความตื่นตระหนกของอันอี้ ในเวลานี้เขาไม่รู้ว่าหลินซีเหยียนนั้นอยู่ไหน จึงได้ตัดสินใจวานคนให้ไปตามหาเฉิงรุ่ยเหยียน
ทางด้านของหลินซีเหยียน หลังจากที่นางทราบข่าวนางก็ได้จากมาอย่างเงียบๆ ถึงแม้ว่านางจะรู้สึกผิดต่อเจียงหวายเย่ แต่หลินซีเหยียนก็ได้ตัดสินใจที่จะออกมาเพื่อตามหาเยี่ยจุนเจี๋ยที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
นางนั้นไม่รู้ว่าเจียงหวายเย่นั้นจะอารมณ์เสียมากแค่ไหนเมื่อเขาตื่นมาและรู้ว่านางจากไปแล้ว นางรู้เพียงแค่ว่านางนั้นไม่อาจจะปล่อยให้เยี่ยจุนเจี๋ยตายได้
ภูเขาอูอวิ๋นที่เป็นเป้าหมายใหญ่ของอู๋จื้อเฟิงและเหล่าสมุนของเขานั้น มีคนมากมายได้ถูกส่งออกไปจัดการที่นั่น ในช่วงเวลานั้นหลินซีเหยียนนั้นไม่อาจที่จะหาโอกาสลอบเข้าไปได้เลย
“ข้าได้ยินมาว่าเพราะกองทัพเกราะดำที่ถูกพวกเราล้อมนั้นได้เข้ามากบดานในภูเขาลูกนี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเปล่านะ?” โจรคู่หนึ่งที่ออกสำรวจด้วยกันก็ได้เริ่มพากันพูดคุย
“อย่างพวกเราจะไปรู้ได้อย่างไรล่ะ อย่างไรเสียพวกเราก็ได้แต่ต้องทำตามที่ลูกพี่ใหญ่สั่งเท่านั้นแหละ
“ก็นั่นสินะ” โจรผู้น้อยก็ได้ถูมือของเขาแล้วจากนั้นก็พูดอย่างเบื่อๆ “มันเป็นเรื่องยากจริงๆเลยนะที่จะอยู่ที่นี่ทั้งวันได้
“อดทนเอาหน่อยละกัน อีกเดี๋ยวก็น่าจะมีคนมาเปลี่ยนกะกับพวกเราแล้วล่ะ”
หลินซีเหยียนที่ฟังทั้งสองคนนั้นคุยกัน ก็ได้ตัดสินใจที่จะรอเวลาเปลี่ยนกะของพวกเขาอย่างเงียบๆ
ไม่นานนักก็มีกลุ่มคนกะใหม่เดินมาจากที่ไกลๆ หลินซีเหยียนก็ได้อาศัยช่องว่างช่วงที่พวกเขาเปลี่ยนกะกันลอบเข้าไปในภูเขาอูอวิ๋น หลังจากที่นางเข้าไปในภูเขาแล้วนางก็ได้มองดูรอบๆและหาที่ซ่อนตัว ด้วยความกลัวว่านางอาจจะถูกจับได้ก่อนที่จะเจอเยี่ยจุนเจี๋ยก็ได้
ภูเขาอูอวิ๋นนั้นกว้างใหญ่มาก ซึ่งหลินซีเหยียนก็ได้หมดแรงเสียก่อนโดยที่เพิ่งปีนขึ้นมาได้แค่กลางเขา ในระหว่างทางมานี้นางก็หลบเลี่ยงการค้นหาของศัตรูอยู่ตลอด แต่มันก็ทำให้นางมั่นใจมากขึ้นว่าเยี่ยจุนเจี๋ยนั้นจะต้องอยู่ในภูเขาลูกนี้แน่
โดยที่ไม่รู้ตัวหลินซีเหยียนก็ได้เดินมาใกล้ๆลำธาร ซึ่งเป็นที่ที่นางพบกับร่องรอยของกองไฟ จึงทำให้นางรู้สึกใจชื้นขึ้นมา เป็นไปได้ว่าพี่เยี่ยกับพรรคพวกน่าจะอยู่แถวๆนี้?
หลินซีเหยียนก็พลันรู้สึกเหมือนมีเรี่ยวแรงขึ้นมาและเริ่มออกค้นหาโดยรอบทันที
แล้วนางก็พบกับถ้ำลึกลับแห่งหนึ่ง นางจึงได้แอบเข้าไปอย่างระมัดระวังแล้วเงี่ยหูฟังดูเพื่อเป็นการไม่รบกวนคนที่อยู่ข้างใน
“องค์ชายสอง ท่านลงเรือลำเดียวกันกับโจรอย่างพวกข้าแล้วนะ ท่านลองคิดดูให้ดีๆ” เสียงของอู๋จื้อเฟิงนั้นยังคงเหมือนกับเมื่อก่อน
“อู๋จื้อเฟิงเจ้าจะมากไปแล้วนะ ข้ากับเจ้าก็ตกลงกันอย่างชัดเจนแล้วไงว่า 7 ต่อ 3 น่ะ แต่เจ้าไม่เพียงแต่จะผิดข้อตกลงของพวกเราแล้วยังคิดจะขู่ข้าอีกเหรอ?”
องค์ชายสองเจียงไป๋ฮ่าวก็มีสีหน้าซีดด้วยความโมโห เขาทำอะไรไม่ได้นอกจากชี้ไปที่อู๋จื้อเฟิงแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงที่รุนแรง “เจ้าไม่กลัวจะเป็นอย่างงูตะกละกลืนกินช้างบ้างรึยังไง?”
อู๋จื้อเฟิงก็ได้โยนทองในมือของเขาเล่นแล้วเอามาลองกัดดู แล้วจากนั้นก็กล่าวด้วยความยินดี “ไม่มีใครบ้างจะไม่ชอบเงินทอง ต่อให้ต้องเสี่ยงก็ยังคุ้มค่า”
ดวงตาของหลินซีเหยียนก็ได้เบิกกว้างขึ้นมาเมื่อได้ยินบทสนทนาข้างใน องค์ชายสองมีความสัมพันธ์กับอู๋จื้อเฟิงอย่างนั้นเหรอ ข่าวที่ชวนน่าตกใจนี้ทำเอาหลินซีเหยียนนั้นถึงกับตะลึงไปชั่วขณะ
ในขณะที่นางกำลังจะออกไปเพื่อเอาไปบอกให้ เจียงหวายเย่ทราบนั้น นางก็ดันไปเผลอเตะก้อนหินก่อนหนึ่งที่อยู่ใต้เท้าของนางเข้า
“ใครกันที่อยู่ข้างนอก? มีเสียงที่เย็นยะเยือกดังมาจากข้างในถ้ำ แล้วองค์ชายสองกับอู๋จื้อเฟิงก็ได้เดินออกมา
สีหน้าขององค์ชายสองก็ได้มืดดำมากขึ้นเรื่อยๆ “ที่เจ้าบอกว่าจะเอา 6 ต่อ 4 นั้น ข้าจะยอมตกลงก็ได้ แต่เจ้าจะต้องไปตามหาคนที่แอบลอบฟังเมื่อสักครู่ให้ได้แล้วจัดการให้เรียบร้อยด้วยล่ะ