บทที่ 147
ถูกตามล่า
เมื่อเขาบรรลุเป้าหมายที่ต้องการแล้ว อู๋จื้อเฟิงก็ได้ยิ้มกริ่มแล้วกล่าวตกปากรับคำ “ไม่ต้องกังวลองค์ชายสอง ข้าจะจัดให้เรียบร้อยอย่างแน่นอน”
องค์ชายสองก็ได้มองดูอู๋จื้อเฟิงที่ทำตัวเหนือกว่าเขาแล้ว เขาก็ได้สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินจากไปอย่างโมโห เมื่อเขาออกมาจากอำเภอจ้าวแล้ว เขาก็ได้ก่นด่าด้วยเสียงเบาๆ “ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลของท่านแม่ตกต่ำ เราก็คงไม่ต้องมาทำอะไรเสี่ยงๆเช่นนี้หรอก”
แต่พอนึกถึงองค์ชายสี่เจียงซ่างเฉินที่ชอบทำตัวเหนือกว่าเขาอยู่เสมอเวลาเจอหน้าแล้ว ที่มุมปากของเขาก็ได้ยิ้มขึ้นมาอย่างช้าๆอย่างชั่วร้ายแล้วยิ้มอย่างกระหายเลือด “เอาเถอะ เพื่อที่จะเอาชนะแล้วเสี่ยงแค่นี้ก็ถือว่าคุ้ม”
ในขณะที่องค์ชายสองยิ้มแล้วเดินจากไปนั้น คนคนหนึ่งที่แอบอยู่ในพงหญ้าก็ได้จากไป
ณ บ้านที่เงียบสงบหลังหนึ่งที่ไม่ไกลจากที่นี่ เจียงหวายเย่ก็ได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งอย่างอ่อนแรง “เจ้ามาทำอะไรที่นี่?”
เฉิงรุ่ยเหยียนก็ได้บิดริมฝีปากของเขาแล้วกล่าวอย่างไม่พอใจ “นี่ท่านพูดกับคนที่ช่วยชีวิตของท่านแบบนี้เหรอ? จะพูดขอบคุณสักคำก็ไม่มี ช่างน่ารังเกียจจริงๆ”
เจียงหวายเย่มองดูเฉิงรุ่ยเหยียนที่มีสีหน้าไม่ดีแล้ว ก็ได้จ้องไปที่หน้าของเขา
“ในครั้งนี้อาการของท่านสาหัสมากนัก ถ้าไม่ใช่ว่าข้าบังเอิญอยู่แถวนี้พอดี ท่านก็คงได้ไปเยี่ยมยมบาลแล้ว” เฉิงรุ่ยเหยียนก็ได้กล่าวเกินจริงด้วยสีหน้าที่ไม่แดงและหัวใจก็ไม่ได้เต้นเร็ว
ถึงแม้ว่าเขาจะมาไม่ทัน เจียงหวายเย่ก็จะแค่หมดสติไปหรือจมพิษไข้เท่านั้น และจะยังไม่ตายแต่อย่างใด
“ท่านมีเลือดคั่งอยู่ในปอด ซึ่งจะไม่ออกอาการใดๆในยามที่ท่านหมดสติ แต่ในยามที่ท่านตื่นท่านก็จะกลับมามีอาการไออย่างแรงและไอออกมาเป็นเลือดอีกครั้ง
เจียงหวายเย่ก็ได้มองไปที่อันอี้ แน่นอนว่าเขานั้นไม่อยากที่จะได้ยินแต่ก็ยังถามออกไปด้วยสีหน้าที่กังวล “เจ้าพบ เสี่ยวเหยียนเอ๋อหรือยัง?”
อันอี้ก็ได้ส่ายหัว “จากหน่วยเชียนที่กลับมา พระชายาน่าจะเข้าไปในภูเขาอูอวิ๋นเพื่อตามหาท่านแม่ทันเยี่ย และมีอีกคนที่พบองค์ชายสองปรากฏตัวในภูเขาอูอวิ๋นด้วยขอรับ”
เจียงไป๋ฮ่าว?”
อันอี้ผงกหัว
ทำไมเขาถึงไปอยู่ที่นั่นได้? หรือว่ากองโจรที่มาสร้างความปั่นป่วนในอำเภอจ้าวนั้นจะเกี่ยวข้องกับเจียงไป๋ฮ่าว ดวงตาของเจียงหวายเย่ก็ได้มืดดำมากขึ้นเรื่อยๆแล้วสุดท้ายเขาก็ได้สั่งการออกไป “ส่งใครสักคนให้คอยสะกดรอยตามเจียงไป๋ฮ่าว”
“ท่านประมุขหอ ในเวลานี้ท่านจำเป็นต้องพักผ่อนนะ” เฉิงรุ่ยเหยียนก็ได้ผลักเขานอนด้วยสีหน้าที่เย้ยหยัน และกล่าวแนะนำด้วยน้ำเสียงที่จริงจังและจริงใจ “ร่างกายของท่านนั้นยังไม่สู้ดีนัก”
เจียงหวายเย่ก็ได้ผงกหัว “ร่างกายของปิ่นหวาง เปิ่นหวางรู้ดีอยู่แก่ใจ แต่เรื่องของเยี่ยจุนเจี๋ยที่อยู่ในภูเขาอูอวิ๋นนี่สิ ซึ่งข่าวนี้อาจจะเป็นข่าวลวงก็ได้ และถ้าเป็นเช่นนั้น เสี่ยวเหยียนเอ๋อก็จะตกอยู่ในอันตราย”
ต่อให้มีความเป็นไปได้เพียงน้อยนิด แต่เขาก็ไม่ยอมให้มันเกิดขึ้นเด็ดขาด แล้วเขาก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วแต่งตัว “อันอี้เจ้าลอบเข้าไปในภูเขาอูอวิ๋นพร้อมกับเปิ่นหวาง”
ดวงตาของอันอี้นั้นบ่งบอกถึงความยุ่งยากใจ แต่นี่เป็นคำสั่งของเจ้านายถือเป็นคำขาดและไม่สามารถขัดได้ นั่นคือสิ่งที่พวกเขายึดถือมาโดยตลอด อันอี้จึงทำได้แค่ยืนอยู่ด้านหลังของเจียงหวายเย่อย่างเงียบๆ
“เดี๋ยวก่อน” เฉิงรุ่ยเหยียนก็ได้หยุดเจียงหวายเย่แล้วหยิบเอาขวดหยกให้ “ยานี้จะช่วยบรรเทาอาการปวดในอกของท่านได้ แต่ท่านห้ามทานมากเกินไป ท่านทานได้ไม่เกินสามเม็ดต่อวันเท่านั้น”
“ขอบใจมาก”
เจียงหวายเย่ก็ได้รับเอายาขวดนั้นมาแล้วจากไปโดยไม่เหลียวหันกลับมามอง มีเพียงเฉิงรุ่ยเหยียนที่จ้องไปที่เขาด้านหลังของพวกเขาอย่างกระวนกระวายใจ
ในภูเขาอูอวิ๋น อู๋จื้อเฟิงก็ไม่ได้อยู่เฉยๆหลังจากที่องค์ชายสองจากไป กลับกันเขาได้ออกคำสั่งให้คนของเขาทำการค้นหาทั่วทั้งภูเขา อย่างไรเสียเรื่องของความสัมพันธ์ของเขากับองค์ชายสองนั้นถือเป็นเรื่องที่ร้ายแรงมากจะปล่อยให้มีบุคคลที่สามรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด
แล้วเหล่าโจรในอำเภอจ้าวก็ได้ตั้งทีมเล็กๆประกอบด้วยคน 3 ถึง 5 คนขึ้นมาหลายทีม แล้วกระจายกำลังออกไปเหมือนตาข่ายขนาดใหญ่แล้วสำรวจอย่างระแวดระวังและเข้มงวด ออกทำการค้นหาศัตรูที่ซ่อนเร้นอยู่ในภูเขาลูกนี้อย่างต่อเนื่อง
ถึงแม้ว่าหลินซีเหยียนนั้นจะไม่มีวิชาตัวเบา แต่นางก็อาศัยร่างกายที่คล่องแคล่วของนางปีนป่ายได้อย่างรวดเร็ว แล้วอาศัยพุ่มไม้หนาๆและใบไม้ซ่อนตัวของนางแล้วหลบเลี่ยงการค้นหาของพวกโจร
“ได้ข่าวอะไรบ้างไหม?”
การค้นหาก็ได้ดำเนินไปเป็นเวลานาน เดิมทีอู๋จื้อเฟิงนั้นก็ร้อนรนแต่แรกอยู่แล้ว ถ้าหากปล่อยให้คนที่แอบดักฟังนั้นหนีรอดไปได้ จะไม่ใช่แค่กองทัพเกราะดำมาล้อมเขา แต่จะเป็นกองทัพหลายพันคนมาล้อมแทนแน่
ลูกน้องที่ได้ยินคำถามนี้ก็ได้ตอบกลับมาอย่างลังเล “ยังไม่พบอะไรเลย แต่ขอให้ลูกพี่ใหญ่วางใจได้เลย การที่พวกเราจะหาตัวพบได้นั้นขึ้นอยู่กับเวลาอย่างเดียวแล้ว”
แต่อู๋จื้อเฟิงก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี เขาจึงได้ตัดสินใจนำคนออกไปค้นหาพร้อมกับเขา
ในเวลานี้หลินซีเหยียนนั้นกำลังนั่งอยู่บนต้นไม้ต้นหนึ่ง และมองคนที่ผ่านไปผ่านมาใต้ต้นไม้ต้นนั้นอย่างเบื่อหน่าย นางนั้นดันไปบังเอิญได้ยินเรื่องที่ไม่ควรได้ยินเข้าให้แล้ว ฝ่ายตรงข้ามจึงได้ออกค้นหาตัวนางเป็นการใหญ่เช่นนี้
อย่างไรก็ตามตัวนางแค่คนเดียวยังพอหลบซ่อนได้ แต่เป็นเรื่องยากสำหรับเยี่ยจุนเจี๋ยที่พากองทัพเกราะดำมาด้วย ดูเหมือนว่าพวกเขาจะต้องลำบากเพราะนางเสียแล้ว
ในขณะที่หลินซีเหยียนกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่นั้น ก็มีบริเวณหนึ่งที่มีเสียงเอะอะวุ่นวายขึ้นมา หลินซีเหยียนจึงคิดว่าเยี่ยจุนเจี๋ยกับพรรคพวกนั้นคงถูกพบตัวเข้าแล้ว นางจึงได้ลงจากต้นไม้แล้วแอบลอยเข้าไป
แต่น่าเสียดายที่นางนั้นไม่พบเยี่ยจุนเจี๋ย แต่ว่าเป็นทหารนายหนึ่งของกองทัพเกราะดำ เมื่อเห็นว่าทหารคนนั้นกำลังจะตกอยู่ในมือของฝ่ายตรงข้ามแล้ว หลินซีเหยียนจึงได้ตัดสินใจลงมือ
ซึ่งมีเหล่าโจรหลายคนที่เคยพบหลินซีเหยียนมาแล้ว
“มันเป็นเจ้านั้นเอง? รีบกลับไปรายงานลูกพี่ใหญ่เร็วเข้า ว่าพบคนที่หนีไปแล้ว”
ดวงตาของหลินซีเหยียนก็ได้มืดดำขึ้นมา ถึงแม้ว่าวรยุทธ์ของอู๋จื้อเฟิงนั้นจะไม่ได้ดีเท่ากับของเจียงหวายเย่ แต่นางก็ไม่อาจที่จะเอาชนะวรยุทธ์ของเขาได้ นางจึงจำเป็นที่จะต้องสะสางปัญหานี้ให้ได้ก่อนที่เขาจะมา
โดยไม่ปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามได้ทันตั้งตัว หลินซีเหยียนก็ได้เข้าโจมตีอย่างกะทันหัน แล้วทำการซัดเข้าที่จุดตายในส่วนที่เปราะบางของฝ่ายตรงข้าม
เมื่ออีกฝ่ายกำลังอยู่ในภาวะตื่นตระหนก หลินซีเหยียนก็ได้คว้ามือชายคนนั้นแล้วหนีไปทันที หลังจากที่หนีมายังที่ที่ปลอดภัยได้แล้วหลินซีเหยียนจึงได้หยุดวิ่ง
“ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือของน้องชายมาก” ชายที่ถูกช่วยก็ได้ก้มหัวให้กับหลินซีเหยียน เนื่องจากหลินซีเหยียนนั้นยังสวมชุดของโจรที่ขโมยมาก่อนหน้าอยู่ ในเวลานี้นางจึงเหมือนกับชายหนุ่มหน้าสวย
หลินซีเหยียนก็ได้โบกมือของเขาแล้วจากนั้นก็ได้มองไปที่เขาแล้วยักคิ้วพร้อมกับถาม “เยี่ยจุนเจี๋ยอยู่ที่ไหน?”
แล้วสายตาของทหารเกราะดำคนนั้นก็ได้ระแวดระวังขึ้นมาทันที “ข้ายังไม่รู้จักท่านดี ข้าไม่อาจที่จะบอกท่านได้”
“ท่านเข้าใจผิดแล้ว ข้าชื่อหลินอวิ๋นเซวียนเป็นหลานชายของท่านแม่ทัพเจิ้นกว๋อ”
หลินซีเหยียนได้พยายามอย่างเต็มที่เพื่อที่จะยืนยันตัวตนของนาง แต่อีกฝ่ายก็เหมือนจะตัดสินใจไว้แล้วว่าจะไม่พูดอะไรออกไป ในช่วงเวลานั้นสถานการณ์ของหลินซีเหยียนกับเขาจึงได้ตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
“ดูเหมือนความเข้าใจผิดนี้จะแก้ไขได้ด้วยการพบแม่ทัพเยี่ยอย่างเดียวเท่านั้น” หลินซีเหยียนก็ได้ยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ แล้วนางก็ได้บอกทหารคนนั้นให้รู้ถึงวิธีหลบเลี่ยงการค้นหาแล้วจากนั้นก็เตรียมที่จะแยกทางออกไป
แต่ทหารคนนั้นกลับตามหลินซีเหยียนตลอดเวลา ไม่ว่าหลินซีเหยียนจะพูดอย่างไรเขาก็ไม่ยอมจากไป หลินซีเหยียนจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องพาเขาไปด้วย
แล้วทั้งสองคนก็ได้เดินทางอย่างสะเปะสะปะไร้จุดหมายในภูเขาอูอวิ๋น
นางไม่รู้ว่าเป็นเพราะโชคหรืออย่างไร ตั้งแต่ที่นางพบเขาแล้ว ไม่ว่านางจะหลบซ่อนตัวดีเพียงไหน แต่ไม่นานนักคนพวกนั้นก็ตามหาตัวนางพบ
ครั้งแรกเป็นอุบัติเหตุ, ครั้งที่สองเป็นเรื่องบังเอิญ พอครั้งที่สามนี่มันชักจะแปลกๆแล้ว
ทันทีที่สายตาสงสัยของหลินซีเหยียนมองไปยังทหารคนนั้น ทหารคนนั้นก็มองหลินซีเหยียนอย่างระแวดระวังกว่าเดิมราวกับว่าหลินซีเหยียนนั้นเป็นคนไม่ดี