“เจ้าว่ามา จะให้ทำอะไร”

“เมื่อวานข้านอนไม่ค่อยหลับ อีกประเดี๋ยวข้าจะงีบหลับสักครู่ ท่านห้ามลงโทษข้านะเจ้าคะ”

“ได้สิ ไม่มีปัญหา”

ตาเฒ่าผู้นี้เป็นคนตรงไปตรงมา คงไม่ได้คิดจะเล่นแง่อะไรกระมัง

นางมองอาจารย์ซั่งกวนที่อยู่ตรงหน้าอีกครั้ง แม้ว่าภายนอกเขาจะดูสงบและอบอุ่นละมุนราวกับสายลม แต่นางรู้ว่าลมหายใจของซั่งกวนฉู่กระชั้นถี่ขึ้น ดูเหมือนเขาเองก็อยากจะฟังบทสุดท้ายของกวีบทนี้ด้วยเช่นกัน

เอาเถิดน่ะ เพื่อหนุ่มรูปงาม ท่องก็ท่อง

“ทุ่งท้องข้าวฟ่าง เมล็ดฟ่างละลานตา ราบช้าเป็นทิวแถว แนวกลางราวฟ้าครึ้ม คนรู้จักข้า กล่าวว่าข้าเป็นทุกข์ คนไม่รู้จักข้ากล่าวว่าข้ากำลังแสวงหา สวรรค์ช่างกว้างใหญ่! ใครหนอที่สรรค์สร้าง”

“เยี่ยม… ยอดเยี่ยมเหลือเกิน… กวีบทนี้ใช้สำนวนโวหารซ้ำกัน สะท้อนให้เห็นถึงความรู้สึกทอดถอนใจที่แตกต่างกันทั้งสามอย่างของตัวเอกหลังจากการล่มสลายของราชวงศ์โจว”

“ท่านอาจารย์ เช่นนั้นข้าหลับได้แล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”

“เจ้ารู้กวีบทนี้ได้อย่างไรรึ”

“เอ่อ… ก็แค่อ่านเจอจากตำราโบราณโดยบังเอิญน่ะเจ้าค่ะ” นางไม่ใช่คนโง่ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะบอกว่าตนเองเคยท่องบทกวีทั้งหมดนี้มาก่อน

“ตำราโบราณเล่มไหนรึ ไปเจอมาจากที่แห่งใด งานเขียนเมื่อสมัยก่อนสูญหายไปหมดแล้วมิใช่หรือ”

“มันผ่านมานานจนลืมไปแล้วเจ้าค่ะว่าอ่านมาจากที่ไหน แต่นี่ไม่ใช่งานเขียนสมัยก่อนนะเจ้าคะ เป็นงานเขียนที่มีคนแปลเอาไว้”

แล้วทุกคนก็เข้าใจขึ้นมาในฉับพลัน

พวกเขาก็แค่ประหลาดใจ งานเขียนก่อนหน้านั้นหายสาบสูญไปนานแล้ว คนสมองขี้เลื่อยอย่างนางจะไปอ่านเข้าใจได้อย่างไร

แต่กู้ชูหน่วนก็โชคดีมากจริงๆ ที่เคยท่องบทกวีที่สูญหายไปแล้วอย่างบทกวีสู่หลีได้ทุกบท

ณ ที่แห่งนี้มีเพียงดวงตาที่ลึกล้ำราวกับบึงน้ำของซั่งกวนฉู่เท่านั้นที่ฉายแววแห่งความสงสัย ราวกับไม่เชื่อคำพูดของนาง

กู้ชูหน่วนถามอีกครั้งว่า “ท่านอาจารย์ ข้าไปนอนได้แล้วใช่หรือไม่”

“เลิกเรียนได้” อาจารย์สวีตะโกนเสียงดัง

รอยยิ้มบนใบหน้าของกู้ชูหน่วนหยุดชะงัก “เลิกเรียน?”

“เที่ยงแล้ว ไม่เลิกเรียนแล้วจะทำอะไรรึ หรือว่าจะไม่กินข้าวกลางวัน”

“แล้วที่ข้าท่องไปเมื่อครู่มันไม่สูญเปล่าหรอกหรือ”

กู้ชูหน่วนรีบคว้าแขนเสื้อของอาจารย์สวีไว้แล้วยิ้มแหยๆ “ท่านอาจารย์ ในเมื่อตอนนี้เลิกเรียนแล้ว เช่นนั้นก็ขอให้ข้าเลื่อนไปหลับช่วงบ่ายได้หรือไม่เจ้าคะ”

“ตอนบ่ายเป็นชั้นเรียนของอาจารย์ซั่งกวน ถ้าเขาเห็นด้วยข้าก็ไม่ว่าอะไร”

“……”

มันอะไรกันเนี่ย…

นางเสียรู้ให้เขางั้นรึ

เมื่อหันไปมองอาจารย์ซั่งกวนอีกครั้งนางก็เห็นรอยยิ้มเล็กๆ ปรากฏอยู่บนใบหน้าที่สุภาพเรียบร้อยของเขา ดูประดุจสายลมแห่งวสันตฤดูที่ชวนให้ลุ่มหลง เขาถือหนังสือไว้ด้วยมือทั้งสองข้างขณะที่เดินออกจากห้องเรียน เหลือไว้ให้เห็นเพียงแค่แผ่นหลังที่สง่าผ่าเผย

กู้ชูหน่วนนิ่งงัน

ผู้ชายที่งดงามขนาดนี้ ถ้าเอากลับไปที่เรือนได้คงจะเป็นบุญตายิ่งนัก

“นี่ กู้ชูหน่วน อย่าคิดว่ารู้บทกวีสู่หลีแค่สองสามบทแล้วจะเหยียดผู้อื่นได้นะ ข้าจะบอกให้ว่าท่านอาจารย์ซั่งกวนเป็นของข้า ถ้าเจ้ากล้ามองเขาอีกละก็ ระวังไว้เถิด ข้าจะควักลูกตาของเจ้าออกมา”

กู้ชูหน่วนจงใจเพิ่มเสียง ตะโกนออกไปว่า “ท่านอาจารย์ซั่งกวน มีคนบอกว่าท่านเป็นคนของเขาน่ะเจ้าค่ะ”

“กู้ชูหน่วน เจ้า… เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน ท่านอาจารย์ซั่งกวน ท่านอย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของนางนะ”

“ท่านอาจารย์ซั่งกวน องค์หญิงตรัสว่าที่ข้าพูดไปเมื่อครู่เป็นเรื่องไร้สาระ องค์หญิงไม่ชอบท่านแน่ะ”

องค์หญิงตังตังโกรธจนใบหน้าเล็กๆ บิดเบี้ยว

นางบอกว่านางชอบอาจารย์ซั่งกวนตั้งแต่เมื่อใดกัน

นางไม่มีเวลามาสั่งสอนกู้ชูหน่วนและรีบตามซั่งกวนฉู่ไปเพื่ออธิบายทุกอย่างให้เขาฟัง

“แม่สาวอัปลักษณ์อย่างเจ้าก็พอมีฝีมือนี่นา คิดไม่ถึงว่าจะท่องหนูไป(สู่หลี)ได้” เซี่ยวอวี่เซวียนหัวเราะหึหึ ทิ้งตำราในมือเอาไว้และเดินตามกู้ชูหน่วนออกไปจากห้องเรียน

กู้ชูหน่วนกลอกตา “มันคือสู่หลี”

“โธ่ จะไปสนอะไรว่าหนูหรือไม่หนู ว่าแต่ทำไมช่วงหลังของทั้งสามบทถึงเหมือนกันอย่างนั้นหรือ ช่วงแรกของกลอนก็คล้ายกันมาก”

“เจ้าไม่ได้ยินที่อาจารย์พูดว่ามันคือสำนวนโวหารซ้ำกันหรือ”

“สำนวนโวหารซ้ำคืออะไร”

“……”

กู้ชูหน่วนคิดว่านางเป็นคนที่ไม่รู้หนังสือแล้วนะ แต่พอมาเจอกับเซี่ยวอวี่เซวียน นางถึงได้รู้ว่าตนเองเก่งแค่ไหน

“แม่สาวอัปลักษณ์ คนรู้จักข้า กล่าวว่าข้าเป็นทุกข์ คนไม่รู้จักข้า กล่าวว่าข้ากำลังแสวงหา มันหมายความว่าอย่างไรหรือ”

“พ้องความหมายกับคำว่าศีรษะขาวเหมือนใหม่ ลาดคลุมลงมาเหมือนเก่า”

“แม่สาวอัปลักษณ์ เจ้าพูดภาษามนุษย์ได้หรือไม่ ข้าฟังแล้วไม่เห็นจะเข้าใจ”

กู้ชูหน่วนหยุดชะงัก อธิบายอย่างตุปัดตุป่องว่า “คนบางคนรู้จักกันมาตลอดชีวิต แต่กลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าอีกฝ่ายเป็นคนเช่นไร บางคนพบกันเพียงครั้งเดียวกลับเหมือนรู้จักกันมาตลอดชีวิต คนที่ไม่เข้าใจเจ้าจะมาทำไม คนที่เข้าใจเจ้าย่อมรู้สุขทุกข์ของเจ้าเป็นธรรมดา”

เซี่ยวอวี่เซวียนเข้าใจขึ้นมาทันที “อ้อ… เราเป็นความสัมพันธ์อย่างหลังสินะ”

“ผิด อย่างแรกต่างหาก”

รอยยิ้มของเซี่ยวอวี่เซวียนชะงักไป

หรือว่าพวกเขาจะไม่ถูกชะตากันมากพอ?

บางคนที่ยังอยู่ในโรงเรียนได้ยินสิ่งที่กู้ชูหน่วนพูด

เจ๋ออ๋องมองนางอย่างไม่แน่ใจนัก

ไม่ได้เจอกันเพียงไม่นาน เหตุใดนางจึงเปลี่ยนไปราวกับเป็นคนละคน

คนสมองขี้เลื่อยน่ะหรือจะท่องประโยคศีรษะขาวเหมือนใหม่ ลาดคลุมลงมาเหมือนเก่าออกมาได้?

กู้ชูอวิ๋นประหลาดใจเล็กน้อยกับการเปลี่ยนแปลงของกู้ชูหน่วน นี่คือคุณหนูสามของภรรยาเอกที่นางรู้จักจริงๆ หรือ

กู้ชูหลานกัดฟันกรอดอย่างเกลียดชัง

ไม่รู้เลยว่านางเรียนบทกวีเหล่านี้มาจากที่ไหน นึกไม่ถึงว่าจะกลายเป็นที่โจษจั่นไปทั้งชั้นเรียนเช่นนี้

ที่นอกชั้นเรียน ชิวเอ๋อร์ถลันเข้ามาหาอย่างดีอกดีใจ “คุณหนู… ในที่สุดท่านก็เลิกเรียนเสียที ท่านอาจารย์ทำให้ท่านลำบากใจหรือไม่เจ้าคะ”

ตุ้บ

ชิวเอ๋อร์ชนกับองค์หญิงตังตังที่ถลันเข้ามาด้วยความโกรธและเจ็บจนต้องร้องครวญครางออกมา

ยังไม่ทันที่นางจะตอบโต้อะไร ที่เหนือศีรษะก็มีเสียงตำหนิด้วยความโกรธดังขึ้นมา

“บ่าวชั้นต่ำที่ไหนกัน นึกไม่ถึงว่าจะกล้ามาขวางทางองค์หญิง ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรืออย่างไรกัน”

ว่าแล้วองค์หญิงตังตังก็เงื้อมือขึ้นมาและสะบัดออกไปทันที

ชิวเอ๋อร์หลับตาปี๋รอฝ่ามือที่กำลังจะตกลงมา ทว่ารออยู่นานก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่กลับได้ยินเสียงตกใจขององค์หญิง

นางลืมตาขึ้นมาอย่างกังวลและเห็นว่าคุณหนูของตนคว้ามือขององค์หญิงเอาไว้ตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่รู้ แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยประกายแห่งความเฉียบคม รังสีที่แผ่ออกมาทำให้องค์หญิงตังตังถึงกับตัวลีบเป็นกาก

“กู้ชูหน่วน องค์หญิงจะสั่งสอนบ่าวชั้นต่ำ เจ้ากล้ามาขัดขวางองค์หญิงอย่างข้ารึ”

“ตีสุนัขยังต้องดูเจ้าของ ชิวเอ๋อร์เป็นคนที่ท่านคิดจะรังแกก็รังแกได้งั้นรึ”

“ในสายตาองค์หญิงอย่างข้า นางก็เป็นแค่บ่าวชั้นต่ำเท่านั้น”

เผียะ

เสียงฝ่ามือดังกังวานใส

ทุกคนในโรงเรียนต่างตกอกตกใจ

พวกเขาเห็นอะไรน่ะ…

คุณหนูสามแห่งตระกูลกู้กล้าตบองค์หญิงงั้นหรือ

พระเจ้าช่วย นางบ้าไปแล้วหรืออย่างไร ตอนนี้องค์หญิงตังตังเป็นถึงพี่น้องร่วมมารดากับฝ่าบาท เป็นพระขนิษฐาผู้เป็นที่รักที่สุดเลยนะ

เมื่อหันไปมองกู้ชูหน่วนอีกครั้งก็เห็นว่านางกำลังนวดถูมือของตนเอง จากนั้นก็พูดอะไรบางอย่างที่ทำให้พวกเขาแทบจะปั่นป่วน

“ตบเสียจนเจ็บมือเลยทีเดียว…”

ตะลึง…

ทุกคนในโรงเรียนต่างตกตะลึง

แม้แต่เจ๋ออ๋องก็ยังงงงัน

กู้ชูหน่วนไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือ นางตบองค์หญิงแล้วยังจะพูดว่าเจ็บมืออย่างไม่กระดากปาก

ใบหน้าขององค์หญิงตังตังเจ็บจนแสบร้อน นางใช้เวลาอยู่นานกว่าจะได้สติกลับคืน

นางเป็นถึงองค์หญิงผู้สง่างาม นึกไม่ถึงว่าจะถูกพวกสมองขี้เลื่อยคนหนึ่ง… ตบ…

“กู้ชูหน่วน เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร เจ้ากล้าตบข้า ข้าจะฆ่าเจ้า”

เผียะ

เสียงฝ่ามือใสๆ ดังกังวานขึ้นอีกครั้ง

คราวนี้คนที่ถูกทำร้ายไม่ใช่กู้ชูหน่วน แต่ยังคงเป็นองค์หญิงตังตังที่ถูกกู้ชูหน่วนตบเหมือนเดิม

ใบหน้าขององค์หญิงตังตังบวมแดงทั้งซ้ายทั้งขวา