ตอนที่ 136 : แร่ไฟ
“ใช่ แร่ไฟทั้งหมดเป็นของฉัน มันมีอย่างน้อยหลายพันล้านกิโลกรัม มันมีพลังไฟเป็นจำนวนมาก แค่ครึ่งกิโลกรัมก็ใช้ได้ทั้งคืนแล้ว แต่นี่เรามีกว่าพันล้านกิโลกรัม ฉะนั้นมันมีค่าอย่างมาก” หวังเย่าไม่ได้ปิดบังอะไร “แต่ฉันไม่คิดจะให้พวกนายขนมันมาที่เมือง เราต้องติดต่อองค์กรในเมืองเพื่อประมูลมัน”
“งั้นลูกพี่ก็อยากให้เราหาคนซื้อสินะ ? ” หลงปู้หยู๋พูดขึ้น
หวังเย่าพยักหน้าด้วยความชื่นชมและพูดขึ้น “ถึงแร่เหล่านี้จะเป็นของฉัน และแม้ว่าฉันจะเป็นทูตระหว่างมนุษย์กับกิเลนไฟ แต่ด้วยฐานะและความแข็งแกร่งของฉัน จะให้ยึดแร่ทั้งหมดนี้เอาไว้ก็คงจะยาก มันอาจจะมีข่าวรั่วไหลออกไป ฉันจึงมาปรึกษาพวกนายเพราะพวกนายสาบานว่าจะติดตามฉัน พวกนายคือคนที่ฉันเชื่อใจได้ ฉันเชื่อว่าพวกนายก็คงคิดแบบนั้น”
ทั้งสี่คนต่างก็พากันพยักหน้า
เพื่อทำให้ทั้งสี่คนยอมรับมากกว่าเดิม เขาจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา
“สวัสดี ผมคือผู้ช่วยของหลี่ว่านเฟิง ผมมีสิทธิ์รับเรื่องแทนเขาได้” ปลายสายพูดขึ้น
หวังเย่าพูดขึ้น “สวัสดี ช่วยผมติดต่อลุงหลี่ที ผม หวังเย่า”
“หวังเย่าหรือ ? ” อีกฝ่ายนึกไม่ออกว่าหวังเย่าเป็นใคร แต่ไม่นานเขาก็พูดขึ้นมา “ได้ ฉันจะโอนสายให้คุณหลี่”
หลังจากนั้นไม่นานก็โอนสายสำเร็จ
“หวังเย่า ที่มหาลัยเป็นยังไงบ้าง ? ” หลี่ว่านเฟิงพูดด้วยน้ำเสียงราวกับตื่นเต้น
“ลุงหลี่ ที่นี่ก็ดีอยู่ ลุงสบายใจได้” หวังเย่าหัวเราะออกมา
“แล้วนายโทรหาฉันทำไม ? ”
“ลุงหลี่ ผมอยากขอให้ลุงมาที่เมืองหัวเซี่ยและช่วยอะไรผมหน่อย” หวังเย่าบอกไปตามตรง
“มีอะไรเกิดขึ้นงั้นหรือ ? ” หลี่ว่านเฟิงพึมพำออกมา
หวังเย่าตอบกลับ “ลุงหลี่ ตอนที่ผมไปสำรวจมิติเทือกเขาหินโม่ ผมไม่คิดว่าจะได้แร่ไฟเป็นจำนวนมากมา แร่ไฟนี้มีพลังไฟที่แข็งแกร่ง มันสามารถใช้เป็นแหล่งพลังงานใหม่ได้ แร่ก้อนเล็ก ๆ ก้อนหนึ่งสามารถใช้ได้ทั้งคืนแล้ว เจ้าของแร่คือกิเลนไฟสวรรค์ ผมได้ตกลงกับมัน ลุงหลี่ ผมน่ะเป็นผู้ดูแลและยังระดับก็สูงอีกด้วย กิเลนไฟมีลูก 3 ตัว มันอยากให้ผมวิวัฒนาการลูกของมันจากระดับสวรรค์เป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ ถ้าเป็นผู้ดูแลทั่วไปคงทำสำเร็จได้ยาก แต่สำหรับผมแล้วมันเป็นเรื่องง่าย ๆ สำหรับข้อแลกเปลี่ยนแล้ว กิเลนไฟจึงได้ยกแร่ไฟทั้งหมดให้กับผม”
หลี่ว่านเฟิงฟังอยู่เงียบ ๆ จากนั้นเขาก็ยักคิ้วด้วยสีหน้าตกตะลึง เขาอดไม่ได้ที่จะถามกลับทันที “กิเลนไฟสวรรค์งั้นหรือ ? นายวิวัฒนาการสัตว์อสูรให้ไปถึงระดับต่อไปได้ง่าย ๆ งั้นหรือ ? ”
คำพูดของหวังเย่าราวกับฟ้าผ่าเข้าที่หัว เขาอึ้งไปสักพักและไม่คิดจะเชื่อ ก่อนจะกลืนน้ำลายและถามขึ้นมา “งั้นนายอยากให้ฉันช่วยจัดการเรื่องนี้แทนนายสินะ ? ”
“ใช่ ผมหวังว่าลุงหลี่จะช่วยผม” หวังเย่าตอบกลับ
“ก็ได้แต่ฉันยุ่งอยู่ ฉันไปอยู่ที่นั่นนานไม่ได้ นายรอฉันก่อน ฉันจะลองถามเลขาฉันดูว่ามีเวลาไหนว่างบ้าง”
จากนั้นก็มีเสียงของหลี่ว่านเฟิงพูดคุยกับลูกน้องอยู่สักพัก ไม่นานเขาก็ตอบกลับ “ฉันพอจัดตารางได้แล้ว ฉันจะว่างอีกทีช่วงครึ่งเดือนหน้า ถ้าไปช่วงนั้นพอจะได้รึเปล่า ? ”
หวังเย่าพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “แน่นอน ดีเลย ลุงหลี่ ลุงรีบมาให้เร็วที่สุดนะ”
หลี่ว่านเฟิงตกลง ก่อนจะวางสายไป
หลังจากที่หลี่ว่านเฟิงวางสายไป หวังเย่าก็พบว่าลูกน้องทั้งสี่พากันมองมาที่เขาด้วยความสงสัย ชัดแล้วว่าพวกนี้สงสัยว่าหลี่ว่านเฟิงเป็นใคร
หวังเย่ายิ้มออกมาและพูดขึ้น “ลุงหลี่ที่ฉันเพิ่งคุยด้วยคือหลี่ว่านเฟิง เขาเป็นผู้ตรวจสอบ 4 ดาวแห่งเมืองอรุณ ฉันกับเขามีความเกี่ยวข้องกัน”
หวังเย่าไม่ได้บอกว่าเกี่ยวข้องกันยังไงเพราะมันไม่จำเป็น เขาไม่อยากให้คนอื่นรู้ว่าพ่อแม่เขาตายไปแล้ว และหลี่ว่านเฟิงได้กลายเป็นผู้ปกครองเขา เขาโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว หลี่ว่านเฟิงไม่จำเป็นต้องมาดูแลเขาอีก
เหตุผลที่ว่าทำไมเขาถึงได้โทรหาหลี่ว่านเฟิง ก็เพื่อขอให้อีกฝ่ายช่วยและอีกอย่างคือหลี่ว่านเฟิงเป็นคนที่มีอำนาจ เขาจะได้มีตัวแทนคอยเจรจาให้ ถ้าเป็นไปได้หวังเย่าก็อยากให้อีกฝ่ายมาทำงานให้เขา
ตลอดหลายวันมานี้ด้วยความรู้ที่เพิ่มขึ้นมาก็ทำให้หวังเย่าเข้าใจเหตุผลว่าทำไมมนุษย์ถึงได้จับกลุ่มกันเป็นประเทศรึองค์กร เพราะยิ่งผู้คนแข็งแกร่งขึ้นเท่าไหร่ มันก็ยิ่งได้ประโยชน์มากเท่านั้น
แม้ว่าหวังเย่าจะมีระบบวิวัฒนาการเทพอสูร แต่เขาก็ไม่อาจจะพึ่งแต่ตัวเองได้ เขาต้องสร้างกองกำลังของเขาขึ้นมาก่อนที่เขาจะทำอะไรก็ได้ตามใจต้องการร
ไม่งั้นแล้วหากตัวคนเดียว ถึงจะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่จะจัดการกับอันตรายคนเดียวได้ยังไง ? อย่างกิเลนไฟสวรรค์ ถ้ามันโจมตีเขาจริง ๆ เขาคนเดียวจะรับมือยังไง ?
แน่นอนเมื่อได้ยินคำพูดของหวังเย่า ทั้งสี่คนก็ตาเป็นประกายขึ้นมาพร้อมแสดงสีหน้าทึ่ง
ผู้ตรวจสอบ 4 ดาวนั้นไม่ธรรมดา นี่คือตำแหน่งที่สูง ในแต่ละเมืองนั้นมีคนหลายสิบล้านคนแต่มีผู้ตรวจสอบ 4 ดาวแค่ไม่กี่คน ฐานะนั้นสูงส่งไม่ใช่น้อย หากหวังเย่ามีผู้ตรวจตสอบ 4 ดาวคอยหนุนหลัง งั้นอนาคตของเขาคงสดใสเป็นแน่แท้
ตอนนั้นประตูก็ถูกเปิดออกพร้อมกับพนักงานที่ยกอาหารเข้ามาเสิร์ฟรวมไปถึงเหล้าที่ถูกยกเข้ามาด้วย
ไม่นานอาหารก็พร้อมทาน มันมีอาหารกว่า 12 อย่าง อาหารทุกอย่างล้วนดูน่าทานจนทำให้ทุกคนน้ำลายสอ
“กินไปด้วยคุยไปด้วยก็แล้วกัน” หวังเย่าพูดขึ้นพร้อมกับหยิบตะเกียบขึ้นมา
พวกเขากินข้าวกันกว่า 2 ชั่วโมงด้วยความพอใจ
สำหรับอาหารมื้อนี้ หวังเย่าพอใจอย่างมาก เขาได้กินข้าวกับลูกน้องที่ราวกับเป็นพี่น้องเขา ความรู้สึกที่ว่าเป็นคนนอกของโลกนี้เริ่มหายไป
“สุดท้ายฉันจะพูดซ้ำอีกรอบ แร่พวกนี้มีค่าอย่างมาก ฉันอยากให้ทหารรับจ้าง 2 กลุ่มดูแลให้กับฉัน เรื่องนี้คงต้องฝากพวกนาย 3 คนช่วยติดต่อที สำหรับการประมูล…มันขึ้นอยู่กับนาย” หวังเย่ามองไปที่หลงปู้หยู๋ ก่อนจะส่งกระเป๋ามิติให้แล้วพูดขึ้น “ในกระเป๋ามิตินี้มีตัวอย่างแร่ไฟขั้นต้น, กลางและสูงอยู่ สำหรับว่ามันทำอะไรได้บ้าง นายคงข้าใจดี”
หลงปู้หยู๋ไม่พูดอะไร เขาตรวจสอบในกระเป๋ามิติก่อนจะพบแร่สามชนิด สีแดง, แดงเข้มและแดงทอง
หลังจากที่ตรวจสอบเสร็จ หลงปู้หยู๋ก็พยักหน้าและพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ลูกพี่ ฉันจะไม่ทำให้นายผิดหวัง”
คนที่เหลือต่างก็พากันรีบพูดขึ้นมา “ลูกพี่ เราจะทำให้สำเร็จ คุณสบายใจได้ “
หวังเย่าพยักหน้าด้วยความพอใจก่อนจะบอกลาทั้งสี่คนแล้วมุ่งหน้ากลับไปที่โรงแรม
4 วันผ่านไป เหลือเวลาอีก 10 วัน ก่อนที่หวังเย่าจะเดินทางไปที่มิติเทือกเขาหินโม่อีกครั้ง
อันที่จริงเขาต้องเดินทางไปก่อนวันที่นัดกันสัก 1-2 วัน เพราะยังไงซะเขาก็เป็นเจ้าของแร่พวกนั้น มันยังมีหลายอย่างที่เขาต้องไปจัดการด้วยตัวเอง
แม้หวังเย่าจะไม่รู้ว่าจะขายแร่ไฟนี้ได้เงินเท่าไหร่ แต่การที่เขามีแร่ไฟจำนวนมากนี้ แน่นอนว่าจะต้องทำเงินได้ก้อนโตมหาศาล
เมื่อคิดแบบนั้น หวังเย่าจึงใช้เวลาก่อนหน้านี้ในการเตรียมตัว เขาได้เช่าห้องซ้อมยิงธนูของมหาวิทยาลัยและตัดสินใจจะใช้อัญมณีความทรงจำกับการฝึกธนู
ด้วยทักษะมีดลมหายใจมังกรที่ยกระดับขึ้นมาแล้ว ทักษะต่อสู้ระยะประชิดของหวังเย่าก็พัฒนาขึ้นไปอีก ตอนนี้เขาอยู่ห่างจากระดับ A ไม่มากนัก
นักสู้ระดับ A นั้นสามารถสู้กับอสูรเลเวล 50 ได้โดยไม่ต้องใช้สกิลของสัตว์อสูร ส่วนนักสู้ระดับ B นั้นสู้กับอสูรเลเวล 50 โดยที่ยังใช้สกิลของสัตว์อสูรอยู่บ้าง
หวังเย่ายังไม่ได้ทดสอบความแข็งแกร่งของตัวเอง เขาคงอยู่ขั้นกลาง ๆ ของระดับ B เขายังเด็กอยู่ ตราบใดที่เขายังฝึกฝนตัวเองต่อไปแบบนี้ การขึ้นไปถึงระดับ A ก็ไม่ใช่เรื่องยาก
เขากรีดมือตัวเองก่อนจะวางอัญมณีความทรงจำลงไป จากนั้นก็มีพลังลึกลับไหลเข้ามาในตัวเขากระจายไปทั่วร่าง ตัวเขาชาอยู่ชั่วครู่ จากนั้นหวังเย่าก็รีบตั้งท่าและทำการฝึกซ้อมทันที