ตอนที่ 137 : เรื่องราวในอดีต
สามนาทีต่อมา หวังเย่าก็ยิงธนูออกไปถึง 36 ดอก ประสิทธิภาพของอัญมณีความทรงจำแต่ละก้อนนั้นสามารถใช้ได้นานถึง 3 นาที ซึ่งถือว่าเพียงพอสำหรับการฝึกซ้อม
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้เร่งความเร็วในการยิงออกไป เขาวางท่าให้ถูกต้องก่อนจะทำการยิง
ตราบใดที่ท่ายิงถูกต้อง ประสิทธิภาพของอัญมณีความทรงจำก็จะมากขึ้นไปด้วย เมื่อท่าถูกต้องก็ยิ่งทำให้กล้ามเนื้อจดจำท่าทางได้ดีขึ้น ทำให้ความเข้าใจและประสิทธิภาพในการยิงธนูนั้นเพิ่มมากขึ้นไปด้วย
หวังเย่าใช้อัญมณีไปแค่ก้อนเดียว แต่ได้รับประโยชน์กลับมามากมาย เขาค่อย ๆ ทำความเข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงของท่าทางต่าง ๆ…
30 นาทีต่อมา หวังเย่าได้ใช้อัญมณีไป 3 ก้อน ทักษะการยิงธนูของเขาพัฒนาขึ้นมาเล็กน้อย ตอนนี้เขาสามารถยิงเข้าเป้าได้เกือบ 100 เปอร์เซนต์ พลังของธนูเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย
เขามั่นใจว่าตอนนี้เขาแทบจะทัดเทียมกับครูที่เคยสอนเขายิงธนูแล้ว หากได้พบสัตว์อสูรเลเวล 20-30 ตราบใดที่มันอยู่ในระยะ 1 กิโลเมตร เขาก็สามารถสังหารมันได้ด้วยธนูเพียงดอกเดียว
ต่อมา หวังเย่าก็เรียกอสูรทั้งสามของเขาออกมา การ์ฟิลด์ ระดับสวรรค์เลเวล 50, หงอคง ระดับทองเลเวล 46 และตือโป๊ยก่าย ระดับสวรรค์เลเวล 36
แม้ว่าระดับสายพันธุ์ของการ์ฟิลด์จะต่ำที่สุด แต่มันก็อยู่กับหวังเย่ามานานที่สุด หวังเย่าจึงดูแลมันเป็นอย่างดี ส่วนหงองคงนั้นเป็นลิงหิน มันกินแต่ผักไม่กินเนื้อ จึงทำให้การ์ฟิลด์กินแก่นไข่สัตว์อสูรระดับศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด ส่งผลให้ค่าประสบการณ์ของการ์ฟิลด์เพิ่มขึ้นมาอย่างมากและพัฒนามาถึงระดับสวรรค์ได้
ส่วนตือโป๊ยก่ายนั้นพิเศษ ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อสูรในโลกหรือมิติลับต่าง ๆ ก็ยังหาตัวไหนที่พิเศษเท่ากับมันได้ยาก
รายละเอียดแบบเจาะลึกนั้นหวังเย่าอาจจะไม่ทราบ แต่ในฐานะที่เป็นสัตว์อสูรเพียงตัวเดียวในมิติลับเล็ก ๆ นั่น ก็สามารถกล่าวได้ว่ามันอาจจะเป็นจิตของมิติลับแห่งนั้น บวกกับคุณสมบัติที่พิเศษและสูงส่ง จึงทำให้ขีดจำกัดของมันไม่อาจจะคาดเดาได้
หากเทียบกันในสามตัวนี้ แน่นอนว่าหวังเย่าชอบหงอคงที่สุด
อย่างแรกเขาคิดว่ามันคล้ายกับซุนหงอคง มันทำให้เขาพอใจกับมันมาก
อย่างที่สองคือหงอคงมาจากภูเขาผลไม้ ซึ่งภูเขาผลไม้เป็นสถานที่ที่พิเศษ และมักจะมีสัตว์อสูรแปลก ๆ กำเนิดจากที่นั่น รวมไปถึงสมุนไพรหรือยาที่ล้ำค่า
ระดับของหงอคงนั้นถึงจะไม่สูงมากนัก แต่มันก็ไม่ใช่สัตว์อสูรทั่วไป หากเทียบกับสัตว์อสูรนับไม่ถ้วนในโลกแล้ว หงอคงนั้นเหนือกว่า
แต่หงอคงเป็นอสูรของเขาแล้ว การที่มันระดับต่ำแบบนี้ก็ทำให้เขารู้สึกผิดกับมัน
“แกต้องทะลวงผ่านระดับ ถ้าฉันได้แร่ไฟมา ฉันจะให้แกดูดซับมัน” หวังเย่าพูดขึ้น
อสูรทั้งสามตัวเชื่อมต่อกับจิตใจของเขา จึงเป็นปกติที่จะรับรู้ความคิดของเขาได้ พวกมันรีบเดินมาอยู่ข้างเขาก่อนจะทำท่าประจบทันที
“ถ้ามีโอกาส ฉันจะไปที่ภูเขาผลไม้ หงอคงไม่กินเนื้อจึงทำให้ค่าประสบการณ์นั้นเพิ่มช้า ฉันต้องไปที่นั่นเพื่อหาผลไม้หรือยาล้ำค่าให้มัน จะได้เพิ่มค่าประสบการณ์และวิวัฒนาการให้กับมัน”
ตลอดหลายวันมานี้ หวังเย่ายุ่งอยู่กับการฝึกซ้อมและเตรียมการต่าง ๆ ข่าวเรื่องแร่ไฟเองก็ถูกเผยแพร่ออกไปจนทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นมา
2 วันต่อมา หวังเย่าได้ไปที่สนามบินเพื่อไปรับหลี่ว่านเฟิง
เนื่องจากหลี่ว่านเฟิงได้ส่งข่าวให้กับหวังเย่าว่าเขามีที่พักที่นี่ ดังนั้นหวังเย่าจึงไม่จำเป็นต้องจัดหาที่พักให้ หวังเย่าแค่ต้องรับเขาไปกินข้าว, ประชุมและพูดคุยเรื่องต่าง ๆ ทั้งสองคนดูสนิทสนมกัน หลี่ว่านเฟิงฟังเรื่องราวของหวังเย่าด้วยความพึงพอใจ
“หวังเย่า ไม่คิดเลยว่านายจะเติบโตได้ถึงขนาดนี้ นายโตเร็วจริงๆ ผ่านไปแค่พริบตาเดียว จากเด็กน้อยที่ไร้เดียงสาและต้องการคนดูแล ก็กลายมาเป็นหนุ่มน้อยที่ประสบความสำเร็จ นายผ่านเรื่องยากลำบากมาด้วยตัวคนเดียว ถ้าพ่อแม่นายรู้ พวกเขาคงพอใจมากแน่ ๆ ” หลี่ว่านเฟิงพูดขึ้นมา แต่สายตาของเขากลับแสดงความเจ็บปวด
หวังเย่าเห็นแบบนั้นก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดยังไง อันที่จริงแล้ว ตอนที่เขาทะลุมิติมาที่นี่ พ่อแม่ของร่างนี้ก็จากไปกว่าครึ่งปีแล้ว ร่างพวกเขาถูกสัตว์อสูรกลืนลงท้อง อยู่ไม่เห็นคน ตายไม่เห็นศพ[1]
“ลุงหลี่ ขอถามได้ไหมว่าลุงเกี่ยวข้องยังไงกับพ่อแม่ผม ? ”
นี่คือคำถามที่หวังเย่าอยากรู้มากที่สุด ก่อนหน้านี้หลี่ว่านเฟิงคิดจะคุยกับเขาในเรื่องนี้ แต่เขาไม่อยากจะฟัง
แต่ตอนนี้เป็นเพราะหวังเย่าได้เติบโตขึ้นและรู้จักกับหลี่ว่านเฟิงมากขึ้น จึงทำให้เขารู้สึกสนิทสนมกับหลี่ว่านเฟิง เขาจึงอดไม่ได้ที่จะถามคำถามนี้ออกมา
หลี่ว่านเฟิงนึกถึงอดีต หลังจากที่เงียบไปชั่วครู่เขาก็พูดขึ้นมา “หวังเย่า ฉันกับหว่านเอ๋อร์…แม่ของนายเป็นเพื่อนบ้านกันมาตั้งแต่เล็ก ๆ พวกเราอาศัยอยู่ชั้นเดียวกันและอยู่ห้องตรงข้ามกัน ครอบครัวทั้งสองต่างก็มีสถานะที่ทัดเทียมกัน อีกทั้งฉันกับหว่านเอ๋อร์ก็มีอายุเท่ากัน ดังนั้นพวกเราจึงเล่นด้วยกันมาตั้งแต่อายุ 3-4 ขวบ พวกผู้ใหญ่จึงอยากจะจับคู่พวกเรา”
หลี่ว่านเฟิงเผยสีหน้าซับซ้อนออกมา ไม่รู้ว่าเขาโศกเศร้าหรือเสียดายกันแน่ จากนั้นเขาได้พูดขึ้นมาต่อ “ฉันกับหว่านเอ๋อร์ถือว่าเป็นคู่ที่เหมาะสมกันเหมือนกิ่งทองกับใบหยก อีกทั้งพวกเราก็รู้สึกดีต่อกัน แต่เมื่อฉันขึ้นมัธยม ฉันกับเธอก็อยู่คนละห้องกัน และในตอนนั้นก็มีลูกสาวจากตระกูลร่ำรวยคนหนึ่งมาชอบฉัน บวกกับฉันอยากจะแข็งแกร่งขึ้น และเธอก็สามารถที่จะช่วยฉันได้”
“ดังนั้นฉันจึงคบกับผู้หญิงคนนั้น ทำให้แม่ของนายเสียใจมาก ต่อมา ฉันก็สร้างปาฏิหาริย์ด้วยการทำสัญญากับสัตว์อสูรระดับสวรรค์ได้ ความแข็งแกร่งของฉันพัฒนาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สุดท้ายฉันก็ไม่พอใจกับความคิดและความทะเยอทะยานก่อนหน้านี้ ฉันอยากจะปีนขึ้นไปให้สูงกว่านี้ ฉันอยากจะแข็งแกร่งกว่านี้ ในขณะเดียวกันฉันก็คิดถึงหว่านเอ๋อร์ ดังนั้นฉันจึงทิ้งลูกสาวของตระกูลร่ำรวยคนนั้น เพื่อกลับไปหาหว่านเอ๋อร์”
“ผลลัพธ์เป็นยังไง ? ” หวังเย่าถามขึ้นมา
“เธอปฏิเสธฉัน เธอบอกว่าไม่อยากเป็นตัวถ่วงของฉัน” เมื่อหลี่ว่านเฟิงพูดถึงจุดนี้ เขาก็รู้สึกปวดใจขึ้นมา สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวไป ผ่านไปสักพักเขาก็พูดขึ้นต่อ “ตอนนั้นฉันโกรธมาก ฉันบอกเธอว่าถึงแม้ว่าฉันอยากจะแข็งแกร่งขึ้นสักแค่ไหนแต่ก็อยากมีเธออยู่ด้วย ที่ฉันอยากแข็งแกร่งก็เพราะคนแข็งแกร่งจะทำทุกอย่างที่ต้องการได้และได้ของที่คนอื่นไม่อาจจะคว้ามาครองได้มาเป็นของตัวเองอย่างง่ายดาย เหตุผลที่ฉันทิ้งเธอไปก็เพราะความทะเยอทะยาน ตอนนี้ฉันแข็งแกร่งและคิดถึงเธอ แต่กลับไม่มีสิทธิ์จะได้เธอกลับมา ไม่รู้ว่าทำไมเธอถึงทำกับฉันแบบนี้ ? เธอไม่รู้รึไงว่าฉันเจ็บปวดแค่ไหน ? ”
ถึงหลี่ว่านเฟิงจะพูดแบบนั้น แต่เขาก็ยังแสดงสีหน้าเยือกเย็นออกมาเพราะสุดท้ายเขาก็ได้สติ
หวังเย่าเดาไม่ผิด สุดท้ายหลี่ว่านเฟิงก็ถอนหายใจออกมา “หลังจากนั้นฉันก็เข้าใจว่าฉันได้ทิ้งอะไรไปเพื่อความแข็งแกร่ง เราเหมือนอยู่กันคนละโลก สุดท้ายก็ต้องแยกทางกัน ยังไงซะเราก็ไม่ใช่คนแบบเดียวกัน การปรากฏตัวของลูกสาวตระกูลร่ำรวยในวันนั้น ทำให้โลกของเราต้องแยกออกจากกันจนถึงทุกวันนี้”
เมื่อเห็นสีหน้าที่โดดเดี่ยวของอีกฝ่าย หวังเย่าก็เข้าใจทันทีว่าหลี่ว่านเฟิงเกี่ยวข้องกับพ่อแม่เขายังไง
แม่เขาเป็นแฟนเก่าของหลี่ว่านเฟิง ดังนั้นหลี่ว่านเฟิงจึงมาดูแลเขา ยังไงซะในตัวเขาก็มีเงาของหว่านเอ๋อร์อยู่
หวังเย่าไม่เพียงแต่จะรู้สึกสะเทือนใจ แต่ยังคิดว่าเรื่องนี้ถือว่าเป็นบทเรียนหนึ่งที่เขาควรตระหนัก
ไม่งั้นแล้วเขาจะกลายเป็นเหมือนหลี่ว่านเฟิง เขาต้องแยกจากคนรัก บอกได้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่เขาอยากให้เกิดขึ้นเลย
[1] อยู่ไม่เห็นคน ตายไม่เห็นศพ[1] หมายถึง หายสาบสูญแบบไร้ร่องรอย