เล่มที่ 5 บทที่ 150 ข้าจะไม่ทำให้เจ้าเสียใจ

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

เซี่ยยวี่หลัวยื่นซีโหยวจี้เล่มสองที่ตัวเองเขียนเสร็จให้หลิ่วสวินเหมี่ยว “ระยะนี้สหายของข้ามีเวลาว่าง จึงเขียนเล่มสองเสร็จแล้ว”

เมื่อหลิ่วสวินเหมี่ยวเห็นตัวอักษร ‘ซีโหยวจี้’ สามตัวที่เขียนด้วยลายมืองามสง่าประหนึ่งมังกรบินเหินหงส์ร่ายรำ แทบจะเห็นเป็นของล้ำค่า

ใช้มือของตนเองที่สะอาดอยู่แล้ว เช็ดบนเสื้อครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความตื่นเต้น ด้วยเกรงว่าบนมือตัวเองจะมีคราบอะไร ทำให้หนังสือดีต้องเปรอะเปื้อน

หลังจากรับไป หลิ่วสวินเหมี่ยวไม่มีแก่ใจจะกล่าวอะไรอีก อ่านนิทานทั้งเล่มจนจบในคราเดียว

อ่านจบแล้วยังคงรู้สึกไม่หนำใจ

หากได้อ่านนิทานเรื่องนี้จนจบ ชีวิตนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว

หลิ่วสวินเหมี่ยวนำต้นฉบับเล่มสองไปเก็บและใส่กุญแจไว้ แล้วจึงนำสมุดบัญชีออกมา ยื่นส่งให้เซี่ยยวี่หลัวดูด้วยความเคารพ

สมุดบัญชีในยุคโบราณ จดบันทึกรายละเอียดปลีกย่อยไว้มากมาย ช่วงแรกที่เซี่ยยวี่หลัวดูยังต้องใช้ความพยายามอยู่บ้าง ในภายหลังจึงคุ้นชิน หลังจากดูทั้งหมดแล้วจึงบอกตัวเลขหนึ่งให้หลิ่วสวินเหมี่ยว

“เดือนสี่ขายซีโหยวจี้เล่มหนึ่งได้ทั้งหมด สามพันสามร้อยเล่ม เล่มละห้าสิบอีแปะ เดิมทีพิมพ์หนึ่งเล่มต้องเสียสี่สิบอีแปะ แต่เพราะหนังสือของเราพิมพ์เป็นปริมาณมาก เถ้าแก่ร้านเหยียนหรูยวี่จึงคิดราคาต่ำสุดให้พวกเรา เป็นเล่มละยี่สิบอีแปะ…”

“ในเดือนสี่ เมื่อหักลบต้นทุนแล้ว ก็มีกำไรสุทธิเก้าสิบเก้าตำลึง! ” เซี่ยยวี่หลัวมองดูตัวเลข กล่าวตอบออกมาอย่างรวดเร็ว

หลิ่วสวินเหมี่ยวถือลูกคิด เพิ่งคิดคำนวณตัวเลขออกมาได้ ก็ได้ยินเซี่ยยวี่หลัวบอกตัวเลขเดียวกันกับที่ตัวเองคำนวณออกมาได้ไม่มีผิดเพี้ยน ถึงกับผงะไป “คุณชายทำบัญชีเป็นด้วยงั้นหรือ? ”

ไม่ใช่แค่ทำเป็น แต่ยังคำนวณได้เร็วเหลือเกิน!

หากไม่ใช่เพราะตัวเลขเหล่านี้อยู่ที่เขามาตลอด หลิ่วสวินเหมี่ยวคงสงสัยว่าเซี่ยยวี่หลัวคำนวณไว้ล่วงหน้าแล้วหรือไม่!

เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว “ทำบ่อยๆ จึงช่ำชองเท่านั้นเอง”

ทำบ่อยจนช่ำชองจริงๆ !

หลิ่วสวินเหมี่ยวนึกว่าครอบครัวของนางทำการค้า จึงไม่ได้กล่าวอะไร นำเงินห้าสิบตำลึงออกมาให้เซี่ยยวี่หลัว

เซี่ยยวี่หลัวรับไว้ด้วยความปลาบปลื้มยินดี

ใครบ้างไม่ชอบเงิน คิ้วงามของนางโก่งโค้ง เบิกบานใจเสียยิ่งกว่าอะไร

อีกคนที่ดีใจเหมือนกันคือหลิ่วสวินเหมี่ยว นี่คือผลกำไรจากเดือนสี่ ยังไม่รวมของเดือนห้าเลย

ช่วงปลายเดือนสี่จนถึงวันสุดท้ายของเดือนสี่ เป็นเวลาทั้งหมดแค่เจ็ดถึงแปดวัน เขาก็ได้กำไรมาถึงห้าสิบตำลึง นี่ถือเป็นดาวนำโชคที่สวรรค์ประทานให้เขา!

ยังดีที่เขาปักหลักที่เมืองโยวหลัน ไม่อย่างนั้นเรื่องดีเช่นนี้ ต่อให้ค้นหาทั้งชีวิตก็คงหาได้ยากนัก

หลิ่วสวินเหมี่ยวตื่นเต้นเสียยิ่งกว่ากระไร ในขณะนี้เอง เสียงกระดิ่งไพเราะเสนาะหูดังขึ้นจากด้านหลัง หลิ่วสวินเหมี่ยวรีบวางสมุดบัญชีลงบนโต๊ะ ก่อนกล่าวกับเซี่ยยวี่หลัว “คุณชายโปรดรอก่อน ภรรยาของข้ากำลังหาข้าอยู่! ”

เซี่ยยวี่หลัวพยักหน้า หลิ่วสวินเหมี่ยวพุ่งพรวดออกจากห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว

ผ่านไปเพียงครู่เดียว หลิ่วสวินเหมี่ยวก็พยุงสตรีที่ตั้งครรภ์ประมาณห้าเดือนเดินเข้ามา สตรีผู้นั้นรูปร่างบอบบาง ถึงแม้จะสวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่ายธรรมดา แต่ก็ไม่อาจปกปิดบุคลิกท่าทางสูงศักดิ์ของนางได้

หันกลับมามองหลิ่วสวินเหมี่ยวที่อยู่ข้างๆ มีบุคลิกสง่างามเยี่ยงบัณฑิต เทียบกับสตรีผู้นั้น…

ภพก่อนเซี่ยยวี่หลัวได้ติดตามท่านพ่อท่านแม่ ท่านปู่ท่านย่า เข้าออกงานสังคมรูปแบบต่างๆ มาตั้งแต่เด็ก ระหว่างติดตามพวกท่านก็ถือว่าพบเจอผู้คนมานับไม่ถ้วน บางครั้งเพียงแค่มองกิริยาท่าทางและการพูดการจาของผู้อื่น ก็สามารถแยกแยะฐานะของคนผู้นั้นได้แล้ว

เซี่ยยวี่หลัวมีสายตาเฉียบแหลม ดูออกทันทีว่าสตรีผู้นี้และบุรุษผู้นั้น ไม่ใช่คนจากสังคมเดียวกัน

เพียงแต่พวกเขามีลูกด้วยกันแล้ว ดูท่าว่าน่าจะเป็นรักแท้อย่างไม่ต้องสงสัย

เมื่อโม่หยุนโหรวเห็นเซี่ยยวี่หลัว ก็เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง

ไม่เพียงแค่เพราะรูปลักษณ์หน้าตาของเซี่ยยวี่หลัว ใบหน้าที่ดูดีมีเสน่ห์ยิ่งกว่าสตรี หากเป็นสตรี หญิงงามอันดับหนึ่งในเมืองซ่างจิงก็ยังไม่งามเท่านาง นอกจากรูปลักษณ์หน้าตาแล้ว สิ่งที่ทำให้โม่หยุนโหรวรู้สึกตกตะลึงยิ่งกว่าคือบุคลิกท่าทางของเซี่ยยวี่หลัว

ยืนอย่างสง่าประหนึ่งต้นหยกงาม เพียงยิ้มก็เหมือนได้โอบดวงจันทรา

บุคลิกท่าทางของคุณชายผู้นี้ แค่ได้เห็นก็ไม่อาจละสายตาได้เลย

นึกถึงเรื่องที่ครั้งก่อนสามีของนางเคยกล่าวไว้ ว่าคุณชายผู้นี้มีรูปลักษณ์ดีเลิศ โม่หยุนโหรวก็คิดมาตลอดว่าเพียงแค่รูปลักษณ์หน้าตา พอวันนี้ได้เห็น ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์เท่านั้น ที่สำคัญยิ่งกว่าคือบุคลิกท่าทาง

เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้น ก็ดูสูงส่งบริสุทธิ์ประหนึ่งต้นหยกงาม ยามแย้มรอยยิ้มก็เหมือนสายลมเย็นเคล้าจันทรากระจ่าง เห็นครั้งเดียวก็ยากจะลืมเลือน

รูปลักษณ์หน้าตาและบุคลิกท่าทางที่เห็นแล้วต้องตกตะลึงเช่นนี้ หากให้ไปหาในเมืองซ่างจิง ในบรรดาตระกูลใหญ่และสูงศักดิ์ เกรงว่าคงหาคนโดดเด่นที่จะเทียบเขาได้ยากนัก

โม่หยุนโหรวรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก

ในพื้นที่ชนบทเช่นนี้ เหตุใดถึงมีบุคคลที่มีบุคลิกโดดเด่นเช่นนี้ได้

หลิ่วสวินเหมี่ยวรีบแนะนำ “คุณชายเซี่ย ผู้นี้คือภรรยาของข้า”

เซี่ยยวี่หลัวกล่าวทักทาย “คารวะฮูหยิน”

โม่หยุนโหรวอุ้มท้องอยู่ เคลื่อนไหวไม่สะดวก พยักหน้าเล็กน้อยเป็นการทักทาย “ได้ยินท่านพี่กล่าวถึงคุณชายเซี่ยมาตลอด วันนี้ได้พบ สมคำร่ำลือจริงๆ ! ”

เซี่ยยวี่หลัวประสานมือคำนับ “ฮูหยินกล่าวเกินไปแล้ว! ”

การเคลื่อนไหวของนางดูลื่นไหลประหนึ่งเมฆาล่องสายน้ำไหล ดูแล้วเหมือนคนจากตระกูลสูงศักดิ์

เพียงแต่เสื้อผ้าที่สวมใส่บนกาย…

กลับดูไม่เหมือนคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์

ก่อนจะกลับไป เซี่ยยวี่หลัวรับเงินเพียงสามสิบตำลึง ที่เหลืออีกยี่สิบตำลึงถือเป็นต้นทุนในการพิมพ์ของเดือนต่อไป

หลิ่วสวินเหมี่ยวย่อมรู้ว่าเพราะอีกฝ่ายเห็นภรรยาตนเองกำลังตั้งท้อง จึงรู้สึกขอบคุณเซี่ยยวี่หลัว บันทึกเงินยี่สิบตำลึงที่เซี่ยยวี่หลัวมอบให้ลงในสมุดบัญชีของห้องหนังสือซานเว่ย

เวลานี้ห้องหนังสือซานเว่ยมีเจ้าของร่วมแค่สองคน นอกจากตัวเขา หุ้นส่วนรายใหญ่ที่สุดก็คือคุณชายเซี่ยผู้นั้น เขารับเงินจำนวนนี้ไว้ก่อน ถือเป็นเงินทุนของห้องหนังสือซานเว่ย รอให้ได้กำไรมา เขาจะคืนกลับไปทั้งต้นและดอก!

โม่หยุนโหรวอ่านซีโหยวจี้เล่มสองจบแล้ว ถือต้นฉบับด้วยแววตาฉายประกายประหลาดใจ “สวินเหมี่ยว เจ้าว่าคุณชายหลัวยวี่ที่เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นคนอย่างไร? ”

เหตุใดถึงมีคนที่สามารถใช้ตัวอักษรงดงามเช่นนี้ เขียนเรื่องราวที่น่าตื่นตาตื่นใจได้ถึงเพียงนี้!

ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก!

หลิ่วสวินเหมี่ยวปิดประตู รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวคุณชายหลัวยวี่เช่นกัน “ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร แต่ข้าเดาว่า เขาต้องเป็นผู้มีความสามารถน่าตกตะลึงเป็นแน่ เกรงว่าทั้งต้าเยว่ ยังหาบุคคลที่สองที่จะเทียบเคียงกับเขาได้ยากนัก”

เขาหยิบซีโหยวจี้ขึ้นมา หลังจากอ่านจบ ก็กล่าวด้วยความตื่นเต้นจนน้ำเสียงสั่นเทิ่ม “หยุนโหรว หนังสือนี่ต้องเลื่องชื่อไปชั่วกาลแน่! ”

โม่หยุนโหรวก็พยักหน้าด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “สวินเหมี่ยว เมืองโยวหลันเป็นสถานที่นำโชคของพวกเรา คุณชายหลัวยวี่ผู้นั้น ก็เป็นดาวนำโชคของเรา บางทีอาศัยคุณชายหลัวยวี่ผู้นั้น เจ้าอาจทำเรื่องที่เจ้าอยากทำให้ลุล่วงได้…”

ขอเพียงเขาทำเรื่องที่เขาอยากทำให้ลุล่วงได้ เช่นนั้นความรักของพวกเขา ก็จะไม่มีคนคัดค้านมากมายขนาดนั้นอีก และจะไม่มีคนขัดขวางมากขนาดนั้นอีก!

หลิ่วสวินเหมี่ยวโอบกอดสตรีที่อยู่ในอ้อมอกไว้แน่น เหมือนจะกล่าวพึมพำ แต่ก็เหมือนกำลังให้คำมั่น “หยุนโหรว เจ้าวางใจได้ ชั่วชีวิตนี้ ข้าจะไม่ให้เจ้าเสียใจกับการตัดสินใจในครั้งนั้น ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นสตรีที่มีความสุขที่สุดในโลก! ”

โม่หยุนโหรวไม่ได้กล่าวอะไร พักพิงในอ้อมอกหลิ่วสวินเหมี่ยวอย่างมีความสุข คลำท้องที่นูนขึ้นเล็กน้อยอย่างเบามือ แววตาเต็มไปด้วยความหวังและตั้งตารอคอยต่ออนาคตที่จะมาถึง