เซี่ยยวี่หลัวยื่นซีโหยวจี้เล่มสองที่ตัวเองเขียนเสร็จให้หลิ่วสวินเหมี่ยว “ระยะนี้สหายของข้ามีเวลาว่าง จึงเขียนเล่มสองเสร็จแล้ว”
เมื่อหลิ่วสวินเหมี่ยวเห็นตัวอักษร ‘ซีโหยวจี้’ สามตัวที่เขียนด้วยลายมืองามสง่าประหนึ่งมังกรบินเหินหงส์ร่ายรำ แทบจะเห็นเป็นของล้ำค่า
ใช้มือของตนเองที่สะอาดอยู่แล้ว เช็ดบนเสื้อครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความตื่นเต้น ด้วยเกรงว่าบนมือตัวเองจะมีคราบอะไร ทำให้หนังสือดีต้องเปรอะเปื้อน
หลังจากรับไป หลิ่วสวินเหมี่ยวไม่มีแก่ใจจะกล่าวอะไรอีก อ่านนิทานทั้งเล่มจนจบในคราเดียว
อ่านจบแล้วยังคงรู้สึกไม่หนำใจ
หากได้อ่านนิทานเรื่องนี้จนจบ ชีวิตนี้ก็ถือว่าคุ้มค่าแล้ว
หลิ่วสวินเหมี่ยวนำต้นฉบับเล่มสองไปเก็บและใส่กุญแจไว้ แล้วจึงนำสมุดบัญชีออกมา ยื่นส่งให้เซี่ยยวี่หลัวดูด้วยความเคารพ
สมุดบัญชีในยุคโบราณ จดบันทึกรายละเอียดปลีกย่อยไว้มากมาย ช่วงแรกที่เซี่ยยวี่หลัวดูยังต้องใช้ความพยายามอยู่บ้าง ในภายหลังจึงคุ้นชิน หลังจากดูทั้งหมดแล้วจึงบอกตัวเลขหนึ่งให้หลิ่วสวินเหมี่ยว
“เดือนสี่ขายซีโหยวจี้เล่มหนึ่งได้ทั้งหมด สามพันสามร้อยเล่ม เล่มละห้าสิบอีแปะ เดิมทีพิมพ์หนึ่งเล่มต้องเสียสี่สิบอีแปะ แต่เพราะหนังสือของเราพิมพ์เป็นปริมาณมาก เถ้าแก่ร้านเหยียนหรูยวี่จึงคิดราคาต่ำสุดให้พวกเรา เป็นเล่มละยี่สิบอีแปะ…”
“ในเดือนสี่ เมื่อหักลบต้นทุนแล้ว ก็มีกำไรสุทธิเก้าสิบเก้าตำลึง! ” เซี่ยยวี่หลัวมองดูตัวเลข กล่าวตอบออกมาอย่างรวดเร็ว
หลิ่วสวินเหมี่ยวถือลูกคิด เพิ่งคิดคำนวณตัวเลขออกมาได้ ก็ได้ยินเซี่ยยวี่หลัวบอกตัวเลขเดียวกันกับที่ตัวเองคำนวณออกมาได้ไม่มีผิดเพี้ยน ถึงกับผงะไป “คุณชายทำบัญชีเป็นด้วยงั้นหรือ? ”
ไม่ใช่แค่ทำเป็น แต่ยังคำนวณได้เร็วเหลือเกิน!
หากไม่ใช่เพราะตัวเลขเหล่านี้อยู่ที่เขามาตลอด หลิ่วสวินเหมี่ยวคงสงสัยว่าเซี่ยยวี่หลัวคำนวณไว้ล่วงหน้าแล้วหรือไม่!
เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว “ทำบ่อยๆ จึงช่ำชองเท่านั้นเอง”
ทำบ่อยจนช่ำชองจริงๆ !
หลิ่วสวินเหมี่ยวนึกว่าครอบครัวของนางทำการค้า จึงไม่ได้กล่าวอะไร นำเงินห้าสิบตำลึงออกมาให้เซี่ยยวี่หลัว
เซี่ยยวี่หลัวรับไว้ด้วยความปลาบปลื้มยินดี
ใครบ้างไม่ชอบเงิน คิ้วงามของนางโก่งโค้ง เบิกบานใจเสียยิ่งกว่าอะไร
อีกคนที่ดีใจเหมือนกันคือหลิ่วสวินเหมี่ยว นี่คือผลกำไรจากเดือนสี่ ยังไม่รวมของเดือนห้าเลย
ช่วงปลายเดือนสี่จนถึงวันสุดท้ายของเดือนสี่ เป็นเวลาทั้งหมดแค่เจ็ดถึงแปดวัน เขาก็ได้กำไรมาถึงห้าสิบตำลึง นี่ถือเป็นดาวนำโชคที่สวรรค์ประทานให้เขา!
ยังดีที่เขาปักหลักที่เมืองโยวหลัน ไม่อย่างนั้นเรื่องดีเช่นนี้ ต่อให้ค้นหาทั้งชีวิตก็คงหาได้ยากนัก
หลิ่วสวินเหมี่ยวตื่นเต้นเสียยิ่งกว่ากระไร ในขณะนี้เอง เสียงกระดิ่งไพเราะเสนาะหูดังขึ้นจากด้านหลัง หลิ่วสวินเหมี่ยวรีบวางสมุดบัญชีลงบนโต๊ะ ก่อนกล่าวกับเซี่ยยวี่หลัว “คุณชายโปรดรอก่อน ภรรยาของข้ากำลังหาข้าอยู่! ”
เซี่ยยวี่หลัวพยักหน้า หลิ่วสวินเหมี่ยวพุ่งพรวดออกจากห้องหนังสืออย่างรวดเร็ว
ผ่านไปเพียงครู่เดียว หลิ่วสวินเหมี่ยวก็พยุงสตรีที่ตั้งครรภ์ประมาณห้าเดือนเดินเข้ามา สตรีผู้นั้นรูปร่างบอบบาง ถึงแม้จะสวมใส่เสื้อผ้าเรียบง่ายธรรมดา แต่ก็ไม่อาจปกปิดบุคลิกท่าทางสูงศักดิ์ของนางได้
หันกลับมามองหลิ่วสวินเหมี่ยวที่อยู่ข้างๆ มีบุคลิกสง่างามเยี่ยงบัณฑิต เทียบกับสตรีผู้นั้น…
ภพก่อนเซี่ยยวี่หลัวได้ติดตามท่านพ่อท่านแม่ ท่านปู่ท่านย่า เข้าออกงานสังคมรูปแบบต่างๆ มาตั้งแต่เด็ก ระหว่างติดตามพวกท่านก็ถือว่าพบเจอผู้คนมานับไม่ถ้วน บางครั้งเพียงแค่มองกิริยาท่าทางและการพูดการจาของผู้อื่น ก็สามารถแยกแยะฐานะของคนผู้นั้นได้แล้ว
เซี่ยยวี่หลัวมีสายตาเฉียบแหลม ดูออกทันทีว่าสตรีผู้นี้และบุรุษผู้นั้น ไม่ใช่คนจากสังคมเดียวกัน
เพียงแต่พวกเขามีลูกด้วยกันแล้ว ดูท่าว่าน่าจะเป็นรักแท้อย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อโม่หยุนโหรวเห็นเซี่ยยวี่หลัว ก็เหม่อลอยไปครู่หนึ่ง
ไม่เพียงแค่เพราะรูปลักษณ์หน้าตาของเซี่ยยวี่หลัว ใบหน้าที่ดูดีมีเสน่ห์ยิ่งกว่าสตรี หากเป็นสตรี หญิงงามอันดับหนึ่งในเมืองซ่างจิงก็ยังไม่งามเท่านาง นอกจากรูปลักษณ์หน้าตาแล้ว สิ่งที่ทำให้โม่หยุนโหรวรู้สึกตกตะลึงยิ่งกว่าคือบุคลิกท่าทางของเซี่ยยวี่หลัว
ยืนอย่างสง่าประหนึ่งต้นหยกงาม เพียงยิ้มก็เหมือนได้โอบดวงจันทรา
บุคลิกท่าทางของคุณชายผู้นี้ แค่ได้เห็นก็ไม่อาจละสายตาได้เลย
นึกถึงเรื่องที่ครั้งก่อนสามีของนางเคยกล่าวไว้ ว่าคุณชายผู้นี้มีรูปลักษณ์ดีเลิศ โม่หยุนโหรวก็คิดมาตลอดว่าเพียงแค่รูปลักษณ์หน้าตา พอวันนี้ได้เห็น ไม่ใช่แค่รูปลักษณ์เท่านั้น ที่สำคัญยิ่งกว่าคือบุคลิกท่าทาง
เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้น ก็ดูสูงส่งบริสุทธิ์ประหนึ่งต้นหยกงาม ยามแย้มรอยยิ้มก็เหมือนสายลมเย็นเคล้าจันทรากระจ่าง เห็นครั้งเดียวก็ยากจะลืมเลือน
รูปลักษณ์หน้าตาและบุคลิกท่าทางที่เห็นแล้วต้องตกตะลึงเช่นนี้ หากให้ไปหาในเมืองซ่างจิง ในบรรดาตระกูลใหญ่และสูงศักดิ์ เกรงว่าคงหาคนโดดเด่นที่จะเทียบเขาได้ยากนัก
โม่หยุนโหรวรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก
ในพื้นที่ชนบทเช่นนี้ เหตุใดถึงมีบุคคลที่มีบุคลิกโดดเด่นเช่นนี้ได้
หลิ่วสวินเหมี่ยวรีบแนะนำ “คุณชายเซี่ย ผู้นี้คือภรรยาของข้า”
เซี่ยยวี่หลัวกล่าวทักทาย “คารวะฮูหยิน”
โม่หยุนโหรวอุ้มท้องอยู่ เคลื่อนไหวไม่สะดวก พยักหน้าเล็กน้อยเป็นการทักทาย “ได้ยินท่านพี่กล่าวถึงคุณชายเซี่ยมาตลอด วันนี้ได้พบ สมคำร่ำลือจริงๆ ! ”
เซี่ยยวี่หลัวประสานมือคำนับ “ฮูหยินกล่าวเกินไปแล้ว! ”
การเคลื่อนไหวของนางดูลื่นไหลประหนึ่งเมฆาล่องสายน้ำไหล ดูแล้วเหมือนคนจากตระกูลสูงศักดิ์
เพียงแต่เสื้อผ้าที่สวมใส่บนกาย…
กลับดูไม่เหมือนคุณชายจากตระกูลสูงศักดิ์
ก่อนจะกลับไป เซี่ยยวี่หลัวรับเงินเพียงสามสิบตำลึง ที่เหลืออีกยี่สิบตำลึงถือเป็นต้นทุนในการพิมพ์ของเดือนต่อไป
หลิ่วสวินเหมี่ยวย่อมรู้ว่าเพราะอีกฝ่ายเห็นภรรยาตนเองกำลังตั้งท้อง จึงรู้สึกขอบคุณเซี่ยยวี่หลัว บันทึกเงินยี่สิบตำลึงที่เซี่ยยวี่หลัวมอบให้ลงในสมุดบัญชีของห้องหนังสือซานเว่ย
เวลานี้ห้องหนังสือซานเว่ยมีเจ้าของร่วมแค่สองคน นอกจากตัวเขา หุ้นส่วนรายใหญ่ที่สุดก็คือคุณชายเซี่ยผู้นั้น เขารับเงินจำนวนนี้ไว้ก่อน ถือเป็นเงินทุนของห้องหนังสือซานเว่ย รอให้ได้กำไรมา เขาจะคืนกลับไปทั้งต้นและดอก!
โม่หยุนโหรวอ่านซีโหยวจี้เล่มสองจบแล้ว ถือต้นฉบับด้วยแววตาฉายประกายประหลาดใจ “สวินเหมี่ยว เจ้าว่าคุณชายหลัวยวี่ที่เขียนหนังสือเล่มนี้เป็นคนอย่างไร? ”
เหตุใดถึงมีคนที่สามารถใช้ตัวอักษรงดงามเช่นนี้ เขียนเรื่องราวที่น่าตื่นตาตื่นใจได้ถึงเพียงนี้!
ช่างน่าทึ่งยิ่งนัก!
หลิ่วสวินเหมี่ยวปิดประตู รู้สึกสงสัยใคร่รู้ในตัวคุณชายหลัวยวี่เช่นกัน “ข้าก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นคนเช่นไร แต่ข้าเดาว่า เขาต้องเป็นผู้มีความสามารถน่าตกตะลึงเป็นแน่ เกรงว่าทั้งต้าเยว่ ยังหาบุคคลที่สองที่จะเทียบเคียงกับเขาได้ยากนัก”
เขาหยิบซีโหยวจี้ขึ้นมา หลังจากอ่านจบ ก็กล่าวด้วยความตื่นเต้นจนน้ำเสียงสั่นเทิ่ม “หยุนโหรว หนังสือนี่ต้องเลื่องชื่อไปชั่วกาลแน่! ”
โม่หยุนโหรวก็พยักหน้าด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม “สวินเหมี่ยว เมืองโยวหลันเป็นสถานที่นำโชคของพวกเรา คุณชายหลัวยวี่ผู้นั้น ก็เป็นดาวนำโชคของเรา บางทีอาศัยคุณชายหลัวยวี่ผู้นั้น เจ้าอาจทำเรื่องที่เจ้าอยากทำให้ลุล่วงได้…”
ขอเพียงเขาทำเรื่องที่เขาอยากทำให้ลุล่วงได้ เช่นนั้นความรักของพวกเขา ก็จะไม่มีคนคัดค้านมากมายขนาดนั้นอีก และจะไม่มีคนขัดขวางมากขนาดนั้นอีก!
หลิ่วสวินเหมี่ยวโอบกอดสตรีที่อยู่ในอ้อมอกไว้แน่น เหมือนจะกล่าวพึมพำ แต่ก็เหมือนกำลังให้คำมั่น “หยุนโหรว เจ้าวางใจได้ ชั่วชีวิตนี้ ข้าจะไม่ให้เจ้าเสียใจกับการตัดสินใจในครั้งนั้น ข้าจะทำให้เจ้ากลายเป็นสตรีที่มีความสุขที่สุดในโลก! ”
โม่หยุนโหรวไม่ได้กล่าวอะไร พักพิงในอ้อมอกหลิ่วสวินเหมี่ยวอย่างมีความสุข คลำท้องที่นูนขึ้นเล็กน้อยอย่างเบามือ แววตาเต็มไปด้วยความหวังและตั้งตารอคอยต่ออนาคตที่จะมาถึง