ตอนที่ 136 มูลค่าหนี้ของอันหลิน

ระบบหรรษา กับข้าผู้บำเพ็ญเซียนปลอม

อันหลินสำเร็จได้รับวรยุทธ์พฤกษธาตุอมตะ ระบบของเขาเริ่มอัปเดตใหม่อีกครั้ง มีภารกิจใหม่ปรากฏให้เห็น

ทางด้านวรยุทธ์ วรยุทธ์ธาตุทองมีการอัปเดตใหม่

‘พลังปราณขุนพรสวรรค์ขั้นหนึ่ง บรรลุเงื่อนไข ทำให้อาวุธหนึ่งชิ้นเกิดปรีชาญาณ’

อาวุธเกิดปรีชาญาณเป็นภารกิจที่ลึกล้ำเหลือแสน จะว่ายากก็ยาก จะว่าง่ายก็ง่าย

ในมืออันหลินมีอาวุธกึ่งเซียนอย่างกระบี่พิชิตมารอยู่ วัสดุไม่มีปัญหาแล้ว แต่การเกิดปรีชาญาณกลับขึ้นอยู่กับโอกาส

เช่นบางครั้งอาวุธกับเจ้าของอยู่ด้วยกันทุกเมื่อเชื่อวัน อาจจะทำให้เกิดปรีชาญาณได้โดยไม่รู้ตัว

หรือบางครั้งยามต่อสู้กับศัตรูที่ยิ่งใหญ่ จู่ๆ จิตก็เกิดเชื่อมต่อกับอาวุธ ทำให้เกิดปรีชาญาณขึ้นมา

และสามารถทำให้อาวุธเปื้อนเลือดมหาศาล เกิดปรีชาญาณจากการดูดเลือด

วิธีที่ทำให้อาวุธเกิดปรีชาญาณนั้นพิลึกกึกกือ แต่กลับไม่มีวิธีใดที่แม่นยำที่สุด ล้วนเป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับวาสนา ร้อนใจไม่ได้

ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเบนสายตาไปยังอีกหน้ากระบวนท่า!

ใช่แล้ว ในที่สุดกระบวนท่าของเขาก็อัปเดตแล้ว แถมยังอัปเดตใหม่ถึงสองรายการภายในครั้งเดียว!

‘พลังปราณอนธการ พลังเทพสงครามขั้นกลาง บรรลุเงื่อนไข เอาชนะปีศาจร้ายหนึ่งตน และดูดซึมพลังปราณแห่งปีศาจร้าย’

เมื่ออันหลินเห็นคำว่าปีศาจร้าย หัวใจก็บีบรัด

ปีศาจร้ายที่ว่านี้ ไม่ใช่มนุษย์บางคน หรือเผ่าพันธุ์บางเผ่าพันธุ์

พวกมันเป็นเผ่าพันธุ์ที่พิเศษ มักจะปรากฏกายอยู่นอกแดนบรรพกาลอยู่บ่อยครั้ง เป็นปีศาจบิดเบี้ยว แฝงด้วยอารมณ์ด้านลบอย่างไม่สิ้นสุด

มนุษย์ธรรมดาอย่าว่าแต่เอาชนะมันเลย เมื่อเข้าใกล้มันแม้แต่สติก็จะถูกช่วงชิง กลายเป็นซากศพเดินได้อย่างสิ้นเชิง

ความสามารถอย่างอันหลิน ไปนอกเขตแดนบรรพกาลมันรนหาที่ตายชัดๆ

แต่ภายในแดนบรรพกาล มีสถานที่แห่งหนึ่งชื่อว่าหุบเหวหมื่นกาลี เหมือนว่าจะมีปีศาจร้ายปรากฏเป็นจำนวนน้อยอย่างยิ่ง และความสามารถยังค่อนข้างต่ำ สำหรับอันหลินแล้วบางทีอาจเป็นตัวเลือกที่ไม่เลว

เขากวาดสายตามองยังกระบวนท่าที่สอง

‘หกกระบี่เทพสงคราม เพลงกระบี่เทพสงครามขั้นกลาง บรรลุเงื่อนไข สร้างพันธะสัญญากับสัตว์ภูตสองตัว’

ภารกิจนี้…

อันหลินมองเจ้าอัปลักษณ์แวบหนึ่ง จากนั้นก็มองไปทางต้าไป๋ รู้สึกขึ้นมาทันทีว่านี่ต่างหากภารกิจที่มีอัตราสำเร็จสูงที่สุด!

กระบวนท่าของเทพสงครามขั้นกลางต้องสุดยอดมากแน่นอน

ต้องรู้ว่าหมัดสะเทือนขุนเขาที่อันหลินใช้ในยามปกติ เป็นเพียงวิชาเซียนของเทพสงครามขั้นต้นเท่านั้น แต่ก็นับว่าเป็นระดับสูงสุดในบรรดาวิชาเซียนทั่วไปแล้ว ขั้นกลางต้องมีระดับสูงขึ้นมาจากพื้นฐานนั้นเป็นแน่!

เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาก็เริ่มมีความหวังขึ้นมา

ภารกิจใหม่ของระบบมีเพียงเท่านี้ เมื่ออันหลินดูเสร็จก็ละความสนใจ มองหยินสี่อีกครั้ง

เขายังมีอีกเรื่องที่ต้องสอบถามจากบุคคลที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง

“ผู้อาวุโสหยินสี่ ข้ามีอีกเรื่องที่อยากจะถามท่าน” อันหลินพูดพลางมองจอมอ้วนคิ้วดกตาโตตรงหน้านี้

“เรื่องอะไรหรือ เจ้าว่ามาเถอะ” ตอนนี้หยินสี่อารมณ์ดี พูดจามีรอยยิ้มประดับตลอดเวลา

อันหลินตื่นเต้นเล็กน้อย “เม็ดยาสรรสร้างชีวิต ยาเซียนขั้นสองต้องจ่ายกี่หินวิญญาณจึงจะซื้อได้หรือ”

หยินสี่ได้ฟังก็ตกใจ “เม็ดยาสรรสร้างชีวิตหรือ เจ้าจะเอาของพรรค์นั้นไปทำไม”

“เอ่อ…ข้าติดยาเซียนชนิดนี้กับใครบางคนหนึ่งเม็ด จึงอยากถามราคาสักหน่อย” อันหลินพูดอย่างกระดากอาย

“ยานั่น หนึ่งล้านหินวิญญาณพอหรือไม่” เขาพูดต่อ

เขาลองคำนวณดูแล้ว ในแหวนมิติไม่มีหินวิญญาณแล้ว มีเพียงหินปราณหนึ่งร้อยก้อน เมื่อคำนวณแล้วก็เท่ากับหินวิญญาณหนึ่งล้านก้อน

เมื่อหยินสี่ได้ยิน ก็หัวเราะราวกับถูกกระตุกต่อมฮา พุงใหญ่กระเพื่อม “เจ้าว่าหนึ่งล้านหรือ ฮ่าๆ ๆ…เพิ่มศูนย์ไปอีกตัวก็อาจจะไม่พอ!”

ยามอันหลินได้ยินประโยคนี้ ก็อ้าปากค้าง ตกใจจนยืนนิ่งอยู่กับที่

สิบล้านก็อาจจะไม่พองั้นเหรอ โอเวอร์ขนาดนี้เลยเหรอ!

มันเป็นความกระทบกระเทือนครั้งใหญ่หลวงสำหรับเศรษฐีอัน!

เมื่อเห็นอากัปกิริยาของอันหลิน หยินสี่ก็อธิบายว่า “หนึ่งล้านหินวิญญาณอย่างมากก็ได้แค่ยาเซียนที่ถูกที่สุดในขั้นสามหนึ่งเม็ดเท่านั้น แต่เม็ดยาสร้างสรรค์ชีวิตนั้นเป็นยาเซียนที่ปรุงยากที่สุดในขั้นสอง”

“วิชาปรุงยาของผู้ปรุงยาจำต้องบรรลุขั้นสูงสุด เพียงแค่ประการนี้ ในแคว้นจิ่วโจวก็มีเพียงไม่กี่คนที่ทำได้ และมีวัตถุล้ำค่าหลายชนิดที่เจ้าจินตนาการไม่ถึง แม้กระทั่งว่าในราชวังดุสิตก็ไม่อาจหามาครบได้ ซ้ำยังต้องไปหาสภาพแวดล้อมที่พิเศษ ปรุงยาในสภาพแวดล้อมที่พิเศษ…”

ขณะที่พูด หยินสี่ก็มองอันหลินด้วยความสนใจเป็นอย่างมาก “คิดว่าตอนนั้นเจ้าคงจะตายจนไม่อาจตายได้อีกแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่ใช้ยาเซียนชนิดนี้ แต่สิ่งที่ข้าสงสัยยิ่งกว่าคือ ใครกันแน่ที่ให้ยาชนิดนี้กับเจ้า”

ต้องรู้ว่า ตอนนี้อันหลินเป็นเพียงนักพรตระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณ แต่เม็ดยาสรรสร้างชีวิตเป็นยาเซียนขั้นสุดยอดที่แม้แต่หินวิญญาณสิบล้านก้อนก็อาจจะซื้อไม่ได้ ผู้ใหญ่คนใดกันที่หน้าใหญ่ใจโตถึงเพียงนี้ หยินสี่ฉงนใจมากจริงๆ

“เทพธิดาฉางเอ๋อ” อันหลินก็ไม่ปิดบัง นี่ไม่นับเป็นความลับอะไรในสำนักของพวกเขาแล้ว

คราวนี้เป็นหยินสี่ที่ตกตะลึง ดวงตาเบิกกว้างยิ่งกว่าเจ้าอัปลักษณ์ “ฉางเอ๋อช่วยเจ้างั้นหรือ…โลกนี้เป็นอะไรไป…”

จากนั้นความคิดบางอย่างก็ผุดวาบขึ้นมา ราวกับเขานึกอะไรขึ้นมาได้ จึงพูดอย่างประหลาดใจว่า “ใครเป็นสามีของฉางเอ๋อ!”

อันหลินชะงัก “อะไรนะ”

หยินสี่พูดอย่างร้อนรนว่า “เจ้าเป็นลูกชายของนางใช่ไหม!”

อันหลิน “…”

จำเป็นต้องพูดว่า พลังจินตนาการของหยินสี่เลิศล้ำมาก

สำหรับเรื่องนี้ แน่นอนว่าอันหลินพยายามแก้ตัวสุดความสามารถ

ทว่าแม้แต่อันหลินก็อธิบายไม่ได้ว่า ทำไมฉางเอ๋อถึงดีกับเขาปานนี้ เป็นเพราะคำขอร้องของซูเฉี่ยนอวิ๋น ถึงยอมทุ่มสุดตัวจริงๆ งั้นหรือ

เฮ้อ ไม่ว่าอย่างไร บัญชีหนี้นี้ก็ต้องชำระ

อันหลินคิดว่าควรจะหาเวลาว่างไปขอบคุณฉางเอ๋อต่อหน้า ถือโอกาสมอบตะปูทะลุมิติให้ดีไหม

บัตรปรุงยาเซียนไม่เสียค่าใช้จ่ายที่จักรพรรดิจื่อเวยและเทพธิดาเทียนอวี่ให้ เขาก็ไม่ได้ใช้มัน

เพราะเขายังไม่ได้คิดว่าจะปรุงยาอะไร คิดว่าต่อไปหากมีความจำเป็นค่อยใช้ก็ไม่สาย

เมื่อไม่มีธุระอะไรแล้ว อันหลินกับเจ้าอัปลักษณ์จึงออกจากราชวังดุสิต

บริเวณริมบ่อบัวแห่งหนึ่ง จู่ๆ เจ้าอัปลักษณ์ก็กระโดดลงมา กลับคืนสู่ร่างเดิม

อันหลิน “เป็นอะไรไป”

เจ้าอัปลักษณ์ “ข้าจะทะลวงขั้นแล้ว!”

อันหลินทำหน้าตกใจ เริ่มคุ้มกันให้เจ้าอัปลักษณ์

เจ้าอัปลักษณ์หยิบผลเซียนลูกนั้นที่อันหลินให้มันขึ้นมากิน

เมื่อกินเสร็จ มันก็เริ่มหลับตานั่งสมาธิ

ครืน!

พลังปราณฟ้าดินซัดสาดอย่างบ้าคลั่ง ก่อตัวเป็นพายุหมุนพลังปราณ เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของเจ้าอัปลักษณ์

รอบกายมีลมพัดกรรโชก สายฟ้าคำรามเป็นครั้งคราว

จำต้องพูดว่า ความเคลื่อนไหวของการเลื่อนระดับจากหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นกลางไปสู่ขั้นปลายนั้นยิ่งใหญ่เป็นอย่างมาก

ชั่วขณะที่พลังปราณหลั่งไหลรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นั้น พลันร่างกายของเจ้าอัปลักษณ์ก็เกิดเปลวไฟสีดำมหาศาล

เปลวไฟเหล่านี้แผ่คลุมทั่วร่างกายของมัน เสมือนมีพลังสามารถกลืนกินสรรพสิ่งได้ เพียงแค่ทอดมองก็รู้สึกราวกับจะถูกดูดเข้าไป ผืนดินรอบตัวมันเริ่มดำเกรียม หญ้าเขียวชอุ่มเริ่มเหี่ยวแห้ง

อันหลินตะลึงพรึงเพริด ชัดเจนว่าไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ ถึงมีเปลวไฟปรากฏขึ้นตามตัวเจ้าอัปลักษณ์

ทันใดนั้น เจ้าอัปลักษณ์ก็ลืมตาขึ้น ลำแสงสีทองสองเส้นพุ่งออกจากดวงตาของมัน ทะลุเปลวไฟสีดำ ดุจดั่งแสงตะวันลอดผ่านเมฆดำทะมึนทึนทึบ

คลื่นลึกลับแผ่กระจายไปทั่วทุกสารทิศ สีของดอกบัวในบ่อบัวหมองคล้ำลง

เมื่ออันหลินมองไป ดอกบัวทั้งบ่อกลายเป็นดอกบัวสีดำ แลดูงามพิลึกและเย็นเยือก ตระการตายิ่งนัก

เปลวไฟสีดำมลายไป ลำแสงในดวงตาของเจ้าอัปลักษณ์ก็หม่นหมองลง

มันลุกขึ้นแล้วยืดเส้นยืดสาย กลิ่นอายแปรเปลี่ยนเป็นทรงพลังและยิ่งใหญ่

“ทะลวงขั้นสำเร็จแล้ว!”

 …………………….