ปิดเทอมหนึ่งเดือน เหล่าผองเพื่อนของอันหลินล้วนมีเรื่องที่ตัวเองจะทำ
ซูเฉี่ยนอวิ๋นกลับไปเป็นองค์หญิงน้อยที่ราชวังชิงมู่แล้ว เซวียนหยวนเฉิงก็กลับไปเป็น ‘ท่านชาย’ ในสำนักเซียนหมื่นชีวิตแล้ว แม้แต่สวีเสี่ยวหลานก็กลับไปรายงานที่สำนักวิหคชาดด้วยเช่นกัน
ส่วนสมาชิกกลุ่มของอันหลิน บ้างก็กลับบ้าน บ้างก็กลับสำนัก ไม่มีใครเลือกจะอยู่ที่รั้วสำนักมากนัก
ยังดีที่มีเจ้าอัปลักษณ์กับเสี่ยวหงอยู่ด้วย มิเช่นนั้นเขาคงจะโดดเดี่ยวอ้างว้างเป็นแน่
ช่วงเวลาในรั้วสำนักน่าเบื่อมากทีเดียว อันหลินบำเพ็ญปราณอยู่ทุกวัน
หลังกินยาเซียนห้าเม็ดในคราวเดียวแล้ว พลังยุทธ์ของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะบรรลุเข้าสู่ระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณขั้นกลางเมื่อใด
เวลาผ่านไปหลายวันโดยไม่รู้ตัว เจ้าถิ่นอย่างหนึ่งคนหนึ่งวานรหนึ่งดอกไม้เล่นจนเบื่อแล้ว
อันหลินคิดว่าต้องเพิ่มความหลากหลายให้กับชีวิตปิดเทอมของตัวเองสักหน่อย
จะทำอย่างไรให้หลากหลายล่ะ
ไม่รู้เพราะเหตุใด เขานึกถึงร่างสีขาวนั่น…
อืม…ไปสำนักสัตว์เทพกันเถอะ!
บอกว่าไปก็ไปทันที อันหลินมายังค่ายกลเคลื่อนย้ายของรั้วสำนัก ถูกส่งมาที่เขตเมืองของแคว้นสือหลงโดยตรง
ความจริงแล้วสำนักสัตว์เทพก็คือเขตไป๋หูของแคว้นสือหลง
อันหลินอยากไปเยี่ยมต้าไป๋นานแล้ว แต่ก่อนหน้านี้เป็นเพราะการทดสอบประจำปีทำให้ปลีกตัวไม่ได้ จึงไม่มีโอกาส
ตอนนี้มีเวลาแล้ว เขาจึงอยากไปดูสถานการณ์ล่าสุดของต้าไป๋ ถือโอกาสเยี่ยมชมสำนักสัตว์เทพในตำนานสักหน่อย หากสร้างพันธะสัตว์เลี้ยงกับต้าไป๋ได้ แบบนั้นจะดีที่สุด
สรวงสวรรค์มีสี่สำนักเก้าจักรพรรดิ สี่สำนักที่ว่าคือสำนักเซียนหมื่นชีวิต สำนักวิหคชาด สำนักกระบี่สวรรค์และสำนักสัตว์เทพ
สำนักทั้งสี่อยู่เหนือสำนักบำเพ็ญเซียนอื่นๆ ในแคว้นจิ่วโจว อิทธิพลใหญ่หลวง แม้กระทั่งว่าพลังอำนาจแผ่กระจายไปทั่วแดนบรรพกาลทั้งผืนแล้ว
สำนักสัตว์เทพที่อันหลินจะไป ก็คืออิทธิพลใหญ่แห่งแดนบำเพ็ญเซียน แถมยังเป็นสำนักที่มีเผ่าพันธุ์สัตว์เป็นศูนย์กลางอีกด้วย นักพรตมนุษย์ที่อยู่ที่นั่น มีสถานะต่ำต้อยกว่าเผ่าพันธุ์สัตว์เป็นอย่างมาก เกรงว่าจะเป็นได้แค่เพียงเจ้าหน้าที่ภายในหรือทาสสัตว์อะไรเทือกนั้น
สำนักสัตว์เทพตั้งอยู่บนภูเขาเซียนแห่งหนึ่ง ที่นี่มีปราณหนาแน่น ทิวทัศน์งดงามดุจภาพวาด เป็นสถานที่เหมาะสมแก่การท่องเที่ยวช่วงปิดเทอมอย่างแท้จริง
อันหลินเดินทางตามพิกัดในแผนที่ จนมาถึงประตูใหญ่ของสำนักสัตว์เทพ
สองฝั่งของประตูมีรูปปั้นเต่าขนาดใหญ่ รูปปั้นเต่าสมจริง ดวงตามีชีวิตชีวายิ่งนัก มีสายตาเย้ยหยันปฐพี
เมื่ออันหลินสบตามัน ก็เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจจากก้นบึ้งของหัวใจ
มีมนุษย์สองคนเฝ้าประตู เมื่อพวกเขาเห็นอันหลินขี่ก้อนอิฐเหาะมา ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ใดๆ
“พวกเจ้ามาทำอะไร”
ทหารยามหนึ่งคนในนั้นถาม
เดิมทีอันหลินอยากพูดว่ามาหาต้าไป๋ แต่จู่ๆ ก็นึกขึ้นได้ว่ามันยังรับการสืบทอดอยู่ ไม่สะดวกจะต้อนรับ จึงแก้คำพูดใหม่ว่า “ข้ามาหาจ้าวหวายหยิน”
ทหารยามพยักหน้า หยิบยันต์ส่งจิตขึ้นมาเดินไปพูดอะไรบางอย่างอีกทางหนึ่ง
ไม่นานชายหนุ่มคนหนึ่งก็วิ่งกระวีกระวาดมา
“ฮาย อันหลิน ไม่พบกันนานเลยนะ!” จ้าวหวายหยินทักทายด้วยรอยยิ้ม
เมื่ออันหลินเห็นท่าทางจ้าวหวายหยินดูไม่เลวเลย ก็โบกมืออย่างตื่นเต้นด้วยเช่นกัน
“เอ๊ะ ลิงบนไหล่เจ้านั่นมัน…” จ้าวหวายหยินเห็นลิงน้อยน่าเกลียดน่าชัง จึงมองด้วยความสงสัย
“มันชื่อเจ้าอัปลักษณ์ เป็นเพื่อนของข้า” อันหลินพูดพลางชี้ไปที่วานรตัวนั้น
“โอ้ สวัสดีเจ้าอัปลักษณ์!” จ้าวหวายหยินจับมือกับเจ้าอัปลักษณ์อย่างเป็นมิตร
เขาไม่คิดว่าการที่อันหลินเป็นเพื่อนกับวานรอัปลักษณ์ตัวหนึ่งจะเป็นเรื่องแปลกเลยสักนิด แสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้ความประทับใจแรกที่เจ้าอัปลักษณ์มีต่อสำนักนี้ไม่เลวเลยทีเดียว
จากนั้น จ้าวหวายหยินก็พาอันหลินกับเจ้าอัปลักษณ์เดินเข้าไปในสำนักสัตว์เทพ และถือโอกาสเป็นมัคคุเทศก์ด้วย
“สำนักสัตว์เทพเป็นสำนักแรกที่เผ่าพันธุ์สัตว์สร้างในแคว้นจิ่วโจว
“เผ่าพันธุ์สัตว์ที่นี่ ไม่เหมือนกับเจ้าพวกชั้นต่ำในเขตหมื่นเขา พวกเรามีองค์กร มีกฎหมาย ยึดหลักสัตว์และธรรมชาติอยู่ร่วมกันอย่างสันติ สร้างความแข็งแกร่งมาตลอดหลายปีอย่างไม่หยุดหย่อน”
“หลายปีนี้ในเผ่าพันธุ์มีวีรชนชูสลอน ทั้งสี่มังกรแห่งเผ่าพันธุ์สัตว์ สามสัตว์เซียนจอมราชัน เชื่อว่าเจ้าคงได้ยินมาหมดแล้ว”
จ้าวหวายหยินแนะนำสำนักสัตว์เทพด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ท่าทางเขาจะมีความภักดีต่อที่นี่อย่างแรงกล้า
แม้อันหลินจะไม่รู้ว่าสี่มังกรแห่งเผ่าพันธุ์สัตว์ที่เขาพูดคืออะไร แต่ก็ให้ความร่วมมือด้วยการแสดงท่าทางชื่นชมไม่หยุด มัคคุเทศก์ท่านนี้จะได้ไม่กระอักกระอ่วน
“เบื้องหน้าก็คือลานบริหารกาย!” จ้าวหวายหยินชี้ไปข้างหน้า
อันหลินทอดมองไป มันเป็นลานกว้างขวางอย่างมาก ด้านบนนักพรตมากมายกำลังจูงสัตว์เลี้ยงของพวกเขาอยู่
สัตว์เลี้ยงนานาชนิด มีทุกประเภท ตั้งแต่ขนาดเล็กอย่างหนู สุนัข แมว ขนาดค่อนข้างใหญ่มีลูกจระเข้ ลูกช้าง ลูกสิงโตและลูกเสือ
และมีสัตว์บางส่วนที่เขาไม่รู้จักเลยแม้แต่นิด เช่นหมาป่าที่มีปีก วัตถุที่มีขนปุกปุยทรงกลมเหมือนลูกบอล ก้อนน้ำแข็งที่มีเท้าสองข้างเดินเหินได้
สัตว์เหล่านี้วิ่งไปที่ไหน นักพรตด้านหลังก็จะวิ่งตามไปถึงนั่น ให้ความรู้สึกเหมือนพวกมันต่างหากที่จูงนักพรตเหล่านี้
อันหลินมองจ้าวหวายหยินด้วยความเห็นอกเห็นใจแวบหนึ่ง กลับพบว่าใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความสุขอย่างเปี่ยมล้ม
“ไป ข้าจะพาเจ้าเข้าไปชั้นใน” จ้าวหวายหยินกล่าว
อันหลิน “ที่นี่แบ่งชั้นในกับชั้นนอกด้วยหรือ”
จ้าวหวายหยิน “แน่นอนว่า ชั้นนอกเป็นลานฝึกหลักของเผ่าพันธุ์สัตว์ที่ยังไม่มีขุมพลังสัตว์ นักพรตมนุษย์ที่รับผิดชอบฝ่ายธุรการแนวหลังมีเป็นจำนวนมาก ส่วนชั้นในเป็นลานฝึกหลักของเผ่าพันธุ์สัตว์ยิ่งใหญ่ที่มีขุมพลังสัตว์แล้ว ต้าไป๋ที่เจ้าอยากพบก็อยู่ที่นั่น”
อันหลินได้ฟังก็เกิดความคาดหวังขึ้นมาโดยพลัน ซ้ำยังรู้สึกประหม่าเล็กน้อย รู้สึกเหมือนมาพบพ่อตาแม่ยาย
ระหว่างทาง เขาเจอสัตว์เลี้ยงน่ารักน่าเอ็นดูมากมาย จึงอดไม่ได้อยากเข้าไปลูบไปสัมผัส
แต่สัตว์เหล่านี้จ้องมองอันหลินด้วยสายตาดูถูกอย่างมากแทบจะทุกราย มันทำให้อันหลินเจ็บปวดใจอย่างเลี่ยงไม่ได้
“อย่าใส่ใจเลย สัตว์พวกนี้กลัวคนแปลกหน้า ล้วนเป็นเช่นนี้แหละ” จ้าวหวายหยินมองอันหลินที่ทุกข์ระทมไม่น้อยแล้วเอ่ยปากปลอบใจ
“ไม่สิ ทำไมต้าไป๋ไม่กลัวคนแปลกหน้าล่ะ แถมยังโวยวายว่าจะเป็นสัตว์เลี้ยงของข้าอีก” อันหลินทำหน้าฉงนสนเท่ห์
เมื่อจ้าวหวายหยินได้ยินประโยคนี้ ก็ราวกับมีมีดมากรีดหัวใจ
ได้ ตอนนี้กลายเป็นเขาที่ทำหน้าทุกข์ระทมแล้ว
เมื่ออ้อมลำธารใสสะอาดไป ก็มีประตูบานใหญ่ปรากฏอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง
ครั้งนี้ยามเฝ้าประตูไม่ใช่นักพรตมนุษย์แล้ว แต่เป็นพยัคฆ์รูปร่างกำยำสองตัว
พวกมันแผ่กระจายพลังอันแข็งแกร่งอย่างยิ่งยวด เห็นได้ชัดว่าบรรลุระดับหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้ว
อันหลินเดาะลิ้นอย่างตกตะลึง คิดในใจว่า ‘สมกับเป็นสำนักสัตว์เทพ’
ผู้ดำรงอยู่ที่สามารถรับตำแหน่งราชาแห่งสัตว์ในเขตหมื่นเขาได้ กลับเป็นเพียงเสือเฝ้าประตูเมื่ออยู่ที่นี่
ความสงสัยอีกหนึ่งประการผุดขึ้นในใจเขา
เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ไม่ใช่เหรอ ทำไมพอเป็นที่นี่ เสือสองตัวถึงอยู่ด้วยกันได้ล่ะ
นี่มันไม่ใช่โลกของสัตว์เลยนี่นา
อันหลินเดินตามหลังจ้าวหวายหยิน ในสมองคิดแต่เรื่องไม่เป็นเรื่อง
ขณะที่เขาเดินตามจ้าวหวายหยินไม่หยุดนั้น ก็มีสุนัขขนสีขาวตัวใหญ่วิ่งเข้ามา
อันหลินคิดว่าเป็นต้าไป๋เสียอีก พลันก็ปีติยินดี แต่เมื่อเพ่งพิศแล้ว กลับแตกต่างจากต้าไป๋อย่างสิ้นเชิง
ขนของสุนัขตัวนี้งดงามเช่นเดียวกับต้าไป๋ แต่รูปร่างของมันกลับยาวกว่าเล็กน้อย และใบหน้าค่อนไปทางแชล้มอ่อนหวาน ไม่เหมือนกับท่าทางที่น่ารักแต่องอาจของต้าไป๋
เมื่อหมาสีขาวเห็นอันหลิน ก็หยุดฝีก้าวลง เสียงผู้หญิงอ่อนโยนดังออกมาจากปากของมัน
“จ้าวหวายหยิน คนข้างๆ เจ้าเป็นใคร”
ยามจ้าวหวายหยินเห็นหมาตัวนี้ ความนิ่งสงบก่อนหน้านี้หายไป กลายเป็นตึงเครียดขึ้นมา
สุดท้าย เหมือนว่าเขาจะต้านทานสายตาร้อนรุ่มของสุนัขตัวนั้นไม่ไหว จึงพูดกระอึกกระอักว่า “เขา…เขาก็คืออันหลินคนนั้น”
“อะไรนะ! เจ้าคืออันหลินหรือ!”
เมื่อสุนัขสีขาวได้ฟัง ขนสีขาวก็เริ่มชูชัน ถลึงตามองอันหลิน
อันหลินเย็นวาบไปทั้งตัว
มีจิตสังหาร!
……………………..