ตอนที่ 220 เด็กผู้ชายที่อ่อนแอเกินไป

อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด

ตอนที่ 220 เด็กผู้ชายที่อ่อนแอเกินไป

“แม่จ๋ากับน้องสาว พ่อจะปกป้องเอง ส่วนเราดูแลตัวเองให้ดีก็พอแล้ว” จิ่งเป่ยเฉินเอ่ยโดยไม่ได้หันกลับไปมอง อันหยางที่อยู่ด้านหลังกำหมัดเล็ก ๆ ขึ้นมา

“ทำไมนายต้องมาคิดเล็กคิดน้อยกับเด็กด้วย นายคิดว่าทุกคนเขาจะเหมือนนายหมดเลยหรือไง?” แม้ว่าเธอจะเข้าใจในสิ่งที่เขาพูด แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องดีสำหรับเด็กผู้ชายที่อ่อนแอเกินไป

ทุกครั้งที่เธอรู้สึกว่าหยางหยางนั้นยังเด็กอยู่ และทุกครั้งเรื่องพวกนี้ก็แทบไม่จำเป็นต้องมาแก้ไขด้วยความรุนแรง

แต่ถึงอย่างไรตัวเองก็จำเป็นต้องปกป้องตัวเองให้ดี ๆ เสียก่อน

“ช่างดีจริง ๆ ที่ภรรยาของฉันเก็บความทรงจำในอดีตเอาไว้ในส่วนลึกแบบนี้” เขาอยากจะย่อตัวลงไปอุ้มหน่วนหน่วนขึ้นมา แต่ทั้งตัวมีแต่เหงื่อจึงได้แค่เอ่ยพูดทักทายเท่านั้น “หน่วนหน่วน ไปกินข้าวเถอะ”

“รู้แล้วค่ะพ่อ!” หน่วนหน่วนไม่ได้อยากเป็นก้างขว้างคอแล้ว เธอจึงวิ่งไปทางหยางหยาง พลางจับมือหยางหยางและพาวิ่งออกไปด้วยกัน

“ให้หยางหยางไปจะไม่มีปัญหาอย่างนั้นเหรอ?” เกี่ยวกับเรื่องอดีตในที่แห่งนี้ เธอไม่คิดอยากจะประทับร่องรอยความทรงจำไว้ที่นี่หรอกนะ

“เห็นแก่ตัวเกินไปแล้ว แน่นอนว่าไม่มีปัญหาหรอก ไปเถอะ กินข้าวกัน” ตอนนี้เขายังไม่ได้กินข้าวเลย

ในระหว่างอาหารเช้านั้น จิ่งเป่ยเฉินได้รับสายที่โทรเข้ามา ก่อนที่ใบหน้าที่เย็นชาของเขาจะเปลี่ยนไป

เธอวางถ้วยที่อยู่ในมือลง ก่อนจะเงยหน้ามองดูเขาที่ลุกขึ้น และเธอเองก็ลุกขึ้นตาม ก่อนจะยิ้มและมองไปที่หยางหยางกับหน่วนหน่วนที่กำลังกินข้าวอยู่ “พ่อกับแม่กินอิ่มแล้ว พวกหนูกินต่อไปนะ”

เธอรีบก้าวเดินไปอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะตามหลังจิ่งเป่ยเฉินขึ้นไปข้างบน ก่อนจะเอ่ยถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

เขาก้าวอย่างช้า ๆ และพูดว่า “ฮั่วตงตายแล้ว”

ตายแล้ว? ไม่ใช่ว่ารอดหรอกเหรอ? ทำไมจู่ ๆ ถึงได้ตาย?

หรือว่าจะมีคนคิดฉวยโอกาสพวกนี้สร้างปัญหาขึ้นกัน?

เรื่องคอขาดบาดตายเสียขนาดนั้น ข่าวที่ฮั่วตงบาดเจ็บนั้นก็เป็นโอวหยางลี่ที่เป็นผู้ลงมือทำ แต่เรื่องพวกนี้เธอรู้สึกว่าตามนิสัยของโอวหยางลี่ เขาไม่น่าจะทำเรื่องพวกนี้แน่ ๆ

แต่ทว่าตั้งแต่ที่เธอเดินจากเขาไปเมื่อห้าปีก่อน ตอนนี้เธอก็แทบไม่ได้รู้จักตัวตนของเขาเลย

ทั้งสองคนเข้าไปในห้องเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า ขณะที่เธอนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งเพื่อแต่งหน้า เธอก็คิดว่าจิ่งเป่ยเฉินน่าจะออกไปแล้ว แต่เมื่อหันหน้าไปมองกลับเห็นเขาสะท้อนอยู่ในกระจก

เขายังรอเธออยู่

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอแต่งหน้าอย่างรวดเร็ว ใบหน้าที่ขาวสะอาดถูกเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นซีดเซียว กลายเป็นคนละคนในชั่วพริบตา  

หลังจากที่ขึ้นรถไปแล้ว เธอก็ฉุกคิดได้ว่าจะถามอะไรเขาสักอย่างจึงเอ่ยไปว่า “พวกเราจะไปไหน? ไปโรงพยาบาลเหรอ? มันควรที่จะปกปิดข่าวหน่อยหรือเปล่า?”

จิ่งเป่ยเฉินหมุนพวงมาลัยก่อนจะเอ่ยคำพูดเรียบ ๆ ว่า “ไปรับหมินลี่”

ภายในรถที่เงียบงัน หลังจากที่ขับออกไปได้สักระยะหนึ่ง เขาก็พูดต่ออีกว่า “เมื่อคืนฉีเซิงเทียนดื่มมากเกินไปหน่อยเลยยังไม่ตื่น ส่วนถังซั่วก็ออกกอง ถ้าให้กลับมาก็คงอีกนานแน่ ๆ”

เมื่อพวกเขามาถึงโรงพยาบาล ที่ด้านนอกก็มีนักข่าวอยู่เต็มไปหมด ความจริงแล้วจิ่งเป่ยเฉินสามารถก้าวไปที่ด้านหน้าและไล่พวกเขาให้ออกไปได้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าเดินไปเลยสักคน

แต่ทว่าตอนนี้……..

จิ่งเป่ยเฉินเหลือบมองออกไปที่นอกหน้าต่างกระจกรถอย่างเย็นชา ก่อนที่จะขับรถเข้าไปทางด้านประตูวีไอพีแทน

ภายในโรงพยาบาลตอนนี้ค่อนข้างเงียบสงบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้อง VIP ตอนนี้มีแต่เสียงฝีเท้าของพวกเขาสองคนเท่านั้น

เมื่อทั้งสองคนเข้าไปก็พบหมินลี่ที่นั่งอยู่บนเตียงกำลังถือแท็บเล็ตและมองมันอย่างจริงจัง พลันเขามองเห็นพวกเขาเข้ามาก็เบิกตากว้างขึ้นทันที “พี่เฉิน! แย่แล้ว!”

“คุณสิจะแย่!” อันโหรวโต้กลับโดยไม่ได้คิดอะไร

“เธอ” หมินลี่ชี้นิ้วมาที่เธอ แต่เมื่อคิดถึงข่าวของพวกเขาสองคน ไม่แน่ว่าผู้หญิงคนนี้อาจจะเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ในอนาคตก็ได้ เขาจึงไม่คิดอยากจะถือสาหรือเอาความอะไร

“พี่เฉิน พี่ดูนี่!” เขายกแท็บแล็ตในมือพลางส่งให้จิ่งเป่ยเฉินที่อยู่ตรงหน้าดู

เมื่อเขาหยิบขึ้นมาก็สามารถมองเห็นมันได้อย่างชัดเจน ทั้งสองคนกวาดสายตามอง

ที่ด้านบนมีรูปศพของฮั่วตงอยู่ แต่เห็นแค่ใบหน้าเท่านั้น ส่วนอื่น ๆ ล้วนแล้วถูกปกคลุมไปด้วยผ้าขาว แต่หัวข้อข่าวที่พาดไว้ก็คือ [ตกตะลึง! จิ่งเทียนกรุ๊ปบังคับให้อดีตประธานสกุลฮั่วต้องตาย]

“จินตนาการล้ำเลิศเกินไปแล้ว” จิ่งเป่ยเฉินโยนแท็บเล็ตลงบนเตียงในทันที “ทำไมยังไม่เปลี่ยนเสื้อผ้าอีก ไม่คิดจะออกไปเลยหรือไง?”

“ไปสิ!” หมินลี่ไม่ได้สนใจแท็บเล็ตที่ถูกโยนเข้าไปกระแทกตัวเอง ก่อนที่จะเปิดผ้าห่มออกและลุกขึ้นจากเตียงโดยทันที

จิ่งเป่ยเฉินดึงอันโหรวเข้าไปในอ้อมแขน ก่อนจะพาเธอหันไปทิศตรงข้ามกับเขา

“ใครเป็นคนทำกัน? มีจุดประสงค์อะไรกันแน่?” เธอก้มศีรษะก่อนจะเอ่ยถาม

“ไม่หรอก” เขาเองก็รู้สึกได้ว่านี่น่าจะไม่ใช่ฝีมือของโอวหยางลี่

“บางทีเขาอาจจะทนต่อไปไม่ไหวจนเสียชีวิต” จู่ ๆ เธอก็เงยหน้าขึ้นมองเขา “ฉันว่าเราไปถามสาเหตุจากหมอดีกว่านะ”

“รอก่อน ไว้ไปด้วยกัน” ก่อนหน้านี้ก็ช่างมันก่อนเถอะ ชายคนนั้นคงไม่อยากจะมาแบกรับเรื่องพวกนี้ไว้หรอก

เมื่อหมินลี่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ทั้งสามคนก็เดินออกจากห้องผู้ป่วยไปพร้อมกัน ก่อนจะมุ่งตรงไปยังห้องของคณบดีโรงพยาบาล

เมื่อคณบดีได้เห็นจิ่งเป่ยเฉินก็รีบลุกขึ้นจากที่นั่งโดยทันที เขาขยับแว่นตาหลายรอบ รู้สึกหวาดหวั่นต่อชายที่อยู่ตรงหน้าค่อนข้างมาก “ประ…ประธานจิ่ง เชิญนั่งก่อนครับ!!”

เมื่อจิ่งเป่ยเฉินนั่งลงตรงข้ามกับโต๊ะของเขา ขาทั้งสองของเขาไขว้กันอย่างเป็นธรรมชาติ แต่กลับไม่คิดจะเอ่ยคำพูดใด ๆ ออกมา

คณบดีที่อยู่ด้านหลังเมื่อได้เห็นเขาแบบนั้นก็ตัดสินใจแล้วว่าครั้งนี้น่าจะปลอดภัยและไม่มีอะไรเกิดขึ้น

“ประธานจิ่ง คุณมาที่นี่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอครับ? อาการป่วยของคุณชายหมินลี่เองก็ไม่ได้มีปัญหาร้ายแรง พวกคุณสามารถออกจากโรงพยาบาลได้ตามสบายเลย” เขายกมือขึ้นมาเช็ดเม็ดเหงื่อเย็น ๆ ที่ไหลมาจากหน้าผาก

คนผู้นี้ยิ่งใหญ่ราวกับเทพเซียน! ล่วงเกินไม่ได้ อย่ากระตุ้นให้เขาโกรธจะดีที่สุด

“แน่นอนเรื่องออกจากโรงพยาบาลคุณไม่ต้องสนใจหรอก เพียงแต่ฮั่วตงเสียชีวิตในโรงพยาบาลของคุณเมื่อเช้า ข่าวลือกลับแพร่กระจายไปทั่วว่าเป็นฝีมือพี่เฉิน คุณเป็นคนจัดการเรื่องโรงพยาบาล ทางที่ดีรีบตามคนที่รับผิดชอบเรื่องพวกนี้มาจะดีกว่า ให้พวกเขามาอธิบายให้ชัดเจนว่าเขาตายได้ยังไง!” เสียงของหมินลี่ที่เอ่ยเริ่มดังมากขึ้น คำพูดของเขาแฝงไปด้วยพลังเสียจนคนแก่เฒ่าอย่างคณบดีได้ยินแล้วต้องตัวสั่นขึ้นมาทันที

เรื่องพวกนี้เขาเองก็รู้เรื่อง แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจิ่งเป่ยเฉินจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง เขาจึงรีบโทรหาผู้ช่วยผู้จัดการหรือใครสักคนให้มาก่อน

ภายในห้องสำนักงานในตอนนี้ จิ่งเป่ยเฉินดูคล้ายกับว่าตัวเองเป็นเจ้าของ เขาจ้องมองไปยังโต๊ะทำงานของเขา ราวกับว่าในหัวกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

อันโหรวมองไปรอบ ๆ ห้อง บรรยากาศดูสะอาดสะอ้าด บนผนังมีภาพวาดลายน้ำหมึกที่ดูเก่าแก่แขวนอยู่หลายภาพ ดูแล้วมีรสนิยมที่แปลกตามากจริง ๆ

ไม่นานเท่าไร ภายในห้องสำนักงานก็มีแพทย์และพยาบาลมากกว่าสิบคนเข้ามา จิ่งเป่ยเฉินลุกขึ้นยืนรักษาความแน่วแน่พลางมองไปที่โต๊ะทำงานเช่นเคย

หมินลี่เริ่มทนไม่ไหว เดินไปข้างหน้าและจ้องมองผู้คนที่สวมเสื้อกาวน์สีขาว ก่อนจะยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าหมอหนุ่มที่อยู่ตรงกลาง จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “คุณเป็นหมอประจำตัวของเขาสินะ”

“ใช่ ใช่ครับ!” เขาตกใจเสียงของหมินลี่ที่ดังจนเกินไปจึงได้พูดเสียงดังออกมา

“ฮั่วตงมันตายได้ยังไงกัน หรือว่านายวางยาเขา? หรือว่ามันตายด้วยตัวมันเอง?” หมินลี่หรี่ตามองไปที่เขา ก่อนจะเหลือบมองไปยังคนอื่น ๆ

“อาการของเขาสาหัสมากครับ แน่นอนว่าเขาต้องทรุดและตายไปเอง” เขาตกใจกับคำถามพวกนี้ แต่ก็ได้เอ่ยคำพูดที่ตรงไปตรงมา

“แล้วใครเป็นคนปล่อยข่าวเรื่องมันตาย?” เขาโบกไม้โบกมือชี้ไปทีละคน “พูดมา!”

การที่เขาตะโกนออกมาแบบนั้น ทุกคนต่างก็เริ่มที่จะส่ายหน้าอย่างแน่วแน่

“หมินลี่ คุณยังบาดเจ็บอยู่ ให้ฉันพูดเอง!” อันโหรวทนต่อไปไม่ไหว ถ้าหากไม่เปลี่ยนเป็นเธอพูดละก็ ไม่มีใครตอบเขาแน่ ๆ

หมินลี่เหลือบมองไปที่เธอ ก่อนจะหันไปมองจิ่งเป่ยเฉินและเดินไปหาเขาด้วยความโกรธ

เธอก้าวเดินไปข้างหน้าแทนที่เขาด้วยรองเท้าส้นสูงอย่างช้า ๆ ใบหน้าซีดเซียวค่อย ๆ ปรากฏรอยยิ้มขึ้น ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้งและฟังดูสยองเล็กน้อย “รู้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับพยาบาลคนสุดท้ายที่ได้เปิดเผยข่าวของฮั่วตงว่าประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์และมารักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลนี้?”

ใบหน้าของผู้คนที่ได้ยินต่างก็ฉายแววสับสน ก่อนจะมองไปที่เธอและส่ายหน้าอีกครั้ง

“คนผู้นั้นก็คล้ายกับฮั่วตงนั่นแหละ” เธอพูดเพียงไม่กี่คำ ก่อนจะหยุดฝีเท้าลงตรงหน้าหมอคนหนึ่ง พลางเงยหน้าขึ้นมองเขาและเอ่ยว่า “ไหนคุณลองพูดสิ?“

“ผม… ผมไม่รู้ครับ!” เขาสอดมือเข้าไปในกระเป๋า ก่อนจะเหลือบมองไปที่เธอ

อันโหรวเหลือบมองไปยังป้ายชื่อบนหน้าอกของเขาและพูดต่อ “คุณหมอจ้าวจง ฮั่วตงเป็นคนไข้ของคุณ เขาเสียชีวิตได้ยังไงคุณจะไม่รู้ได้ยังไง คุณไม่คิดบ้างเลยเหรอด้วยทักษะด้านการแพทย์ของคุณที่ร่ำเรียนมาและได้ใช้ช่วยพาเขากลับมาจากปากประตูผีแล้ว แต่ทำไมจู่ ๆ เขาถึงได้กลับไปอีกครั้งกัน หรือว่าบางทีคุณหมออาจจะเห็นผู้ป่วยป่วยจนตายมาเยอะ แต่ในฐานะที่พวกเรานั้นคงเรียกได้ว่าเป็นเพื่อนของฮั่วตง เราเองก็กังวลเกี่ยวกับเรื่องการตายอย่างกะทันหันของเขาพอสมควร พวกเราต้องการให้คุณช่วยชันสูตรศพ”