“พี่ใหญ่!” เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย เยวี่ยเจ๋อหันกลับมาอย่างสุขใจ

ทว่า… นอกจากเขาได้เห็นมู่เฉียนซีที่กำลังเป็นห่วงอยู่  ยังเห็นแววตาสีฟ้าเย็นเยือกคู่นั้นที่สามารถทำให้คนตัวสั่นด้วย

จิตของเยวี่ยเจ๋อนิ่งมาก เขาเงยหน้ามองเยี่ยอ๋อง บุรุษทั้งสองสบตากัน บรรยากาศเงียบงันเริ่มขึ้นอย่างน่าอึดอัดใจ

ภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว มือทั้งสองข้างของเยวี่ยเจ๋อเต็มไปด้วยเหงื่อเปียกชุ่ม ในลำคอรู้สึกได้ถึงกลิ่นคาวเลือด

เยวี่ยเจ๋อกล่าวด้วยรอยยิ้มเป็นมิตร “ในเมื่อพี่ใหญ่กลับมาอย่างปลอดภัยข้าก็วางใจ ป่านนี้ท่านพ่อคงจะเป็นห่วงข้าแล้ว ข้าต้องขอตัวกลับก่อน” กล่าวจบร่างสีฟ้าก็ลับหายไปทันที

มู่เฉียนซีกล่าวกับซวนหยวนจิ่วเยี่ย “จิ่วเยี่ย นี่ก็ดึกมากแล้ว เจ้าเองก็กลับไปพักผ่อนเถอะ”

“อืม”

สิ้นเสียงตอบรับ ร่างสีดำอันตรธานหายไปในทันที หลงเหลือไว้เพียงแต่เสียงอันเยือกเย็นที่ก้องสะท้อนอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกล

“พรวด!”

ภายในตรอกมุมหนึ่งของจวนตระกูลมู่ เยวี่ยเจ๋อพยุงตัวกับกำแพง กระอักเลือดระลอกใหญ่ ใบหน้าของเขาซีดขาวราวกระดาษ

เยี่ยอ๋องผู้นั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก! สามารถลอบทำร้ายเขาอย่างรุนแรงต่อหน้าพี่ใหญ่ได้โดยที่พี่ใหญ่ไม่ทันได้สังเกตเห็นเลย

— ตึก!  ตึก!  ตึก! —

เสียงฝีเท้าเหมือนผู้คุมนรกอเวจีกำลังเข้าใกล้มา เยวี่ยเจ๋อเงยหน้าขึ้น เห็นมนุษย์โครงกระดูกอเวจีย่างสามขุมเข้ามาหาเขา

มนุษย์โครงกระดูกอเวจีเป็นอาวุธสังหารของตำหนักเยี่ยอ๋อง ไม่มีใครสามารถรอดพ้นการตามล่าตามสังหารของมนุษย์โครงกระดูกอเวจีไปได้ …มันเป็นตัวแทนของนรกอเวจี!

ชัดเจนแล้ว ซวนหยวนจิ่วเยี่ยต้องการปลิดชีพเขา!

เงาร่างสีดำปรากฏตัวลงมาอย่างสง่างามราวเทพปีศาจที่ลงมาจากสวรรค์ เขามาพร้อมกลิ่นอายความกระหายเลือดและการทำลายล้าง

“ซวนหยวนจิ่วเยี่ย บุรุษผู้อันตราย ท่านเข้าใกล้พี่ใหญ่ ท่านต้องการสิ่งใดหรือ ?” เยวี่ยเจ๋อกล่าวเสียงต่ำทุ้ม

แม้ความตายจะอยู่ตรงหน้า ทว่าเขาห่วงชีวิตของพี่ใหญ่มากกว่าห่วงชีวิตของตน

ดวงตาสีฟ้าของซวนหยวนจิ่วเยี่ยเริ่มเย็นชาขึ้นเรื่อย ๆ “เจ้าเป็นห่วงนางขนาดนั้นเลยรึ ?”

“ใช่… หากท่านคิดจะทำร้ายพี่ใหญ่ ไม่ว่าท่านจะแข็งแกร่งมากเพียงใด ข้าก็จะไม่ยอมให้ท่านทำร้ายนางเด็ดขาด!”

เยวี่ยเจ๋อกำหมัดแน่น พยายามรวบรวมพลังทั้งหมดมาตรงมือ จากนั้นก็พุ่งตรงเข้าหาซวนหยวนจิ่วเยี่ย ทว่าก่อนจะถึงตัวเยี่ยอ๋อง เยวี่ยเจ๋อกลับถูกกั้นด้วยพลังที่มองไม่เห็น!

— ปัง! —

รูม่านตาของเยวี่ยเจ๋อสลัวลงอย่างฉับพลัน นี่เขากำลังจะตายใช่หรือไม่ ?  ไม่นะ… เขายังอยากอยู่กับพี่ใหญ่ ยังอยากทำงานกับพี่ใหญ่ต่อไป

“เข้ามาสิ… อ่อนแอเกินไป” จิ่วเยี่ยแค่นเสียง

เยวี่ยเจ๋อสู้ยิบตา เหนื่อยล้าแรงกาย สุดท้ายก่อนที่เยวี่ยเจ๋อจะหมดสติ เขาได้ยินเพียงคำพูดเจ็ดคำนี้ ภายในคำพูดนี้ไม่แสดงให้รู้ถึงความรู้สึกใด ๆ เลย

……

มู่เฉียนซีเดินไปยังห้องถัดไป ภายในห้องมีบุรุษสวมหน้ากากนอนอยู่บนเตียง

“เขายังไม่ฟื้นรึ ?”

“ท่านผู้นำตระกูล ตั้งแต่นำตัวมา เขายังไม่ฟื้นขึ้นมาเลยขอรับ” มู่อีตอบ

เขาไม่ใช่มนุษย์ และโครงสร้างภายในก็ไม่ใช่มนุษย์ ต่อให้นางเป็นถึงหมอปีศาจก็มิอาจทำให้เขาฟื้นคืนมาได้

มู่เฉียนซีกล่าวว่า “ดูแลเขาดี ๆ บางทีวันนึงเขาอาจจะฟื้นขึ้นมาเองก็ได้ ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะตายง่าย ๆ เช่นนี้”

“พรุ่งนี้ เจ้าไปแจ้งเยวี่ยเจ๋อให้มาหาข้าด้วย”

“ขอรับ”

เยวี่ยเจ๋อฟื้นขึ้นมาเพราะถูกปลุก ขณะที่ฟื้นขึ้นมานั้น เขารู้ว่าตนเองยังไม่ตาย ไม่อยากจะเชื่อเลย!

เขายังมีชีวิตอยู่ และที่สำคัญไปกว่านั้นคือร่างกายของเขาไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ  ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่ามีคนรอดตายมาจากเงื้อมมือของเยี่ยอ๋อง

ซวนหยวนจิ่วเยี่ย สรุปแล้วเขาต้องการสิ่งใดกันแน่ ?

“คุณชายเยวี่ยเจ๋อ ท่านผู้นำตระกูลกำลังรอท่านอยู่”

“ได้ ข้าจะไปเดี๋ยวนี้”

หลังจากฟื้นขึ้นมา เขาก็เห็นค่าในชีวิตมากขึ้น จากนี้ไปเขาจะต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้นแล้ว

มู่เฉียนซีกล่าว มีรอยยิ้มบนใบหน้านาง “เยวี่ยเจ๋อ เรือบุปผาถูกจัดแต่งใหม่แล้ว เจ้าว่าเป็นอย่างไร ?”

เยวี่ยเจ๋อกล่าวตอบ “ไม่เลวเลยพี่ใหญ่”

“ค่ำนี้เราไปเดินเล่นกันดีไหม ? ข้าจะช่วยหาสตรีให้เจ้าสักหน่อย เจ้าชอบแบบสดใสบริสุทธิ์  แบบสาวแก่แม่ม่าย  หรือชอบแบบอ่อนเยาว์ล่ะ”

“ขะ ข้า… ข้าว่าเราอย่าไปเลยนะพี่ใหญ่” สีหน้าของเยวี่ยเจ๋อตอนนี้ดูเคร่งเครียดมาก มู่เฉียนซีนางก็ช่างจะให้เขาหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนี้

“เหตุใดเจ้าจึงไม่อยากไป ? บุรุษอย่างพวกเจ้าชอบที่แบบนี้กันไม่มิใช่รึ ?” มู่เฉียนซีกล่าว ใบหน้าเคลือบแคลงสงสัยไม่ปกปิด

เยวี่ยเจ๋อรีบกล่าวขึ้นว่า “พี่ใหญ่ ข้ามีบัญชีหลายอย่างยังทำไม่เรียบร้อยเลย จะไปได้อย่างไรกันเล่า ?”

“หากเจ้าไม่ไป เห็นทีว่าข้าจะต้องไปคนเดียวเสียแล้ว” มู่เฉียนซีบ่นพึมพำ

“พี่ใหญ่… พี่ใหญ่เป็นสตรีนะ ข้าว่าพี่ใหญ่อย่าไปที่แบบนั้นจะดีกว่า”

“เอ๊ะ! ข้าเป็นพี่ใหญ่ของเจ้านะ ข้าอยากไปใครจะห้ามข้าได้ ?”

“เจ้าบอกว่าจะไปดูสมุดบัญชีไม่ใช่รึ ? รีบไปซะสิ  อีกอย่าง บัญชีของหอหมอปีศาจข้าเองก็ขี้เกียจจะดูแล้ว เจ้าดูแทนข้าก็แล้วกัน” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างเกียจคร้าน มือก็โยนถุงบางอย่างยัดใส่มือเขา

“พี่ใหญ่…”

“เยวี่ยเจ๋อ เจ้าดูบัญชีไปเถอะ ข้าจะไปเที่ยวให้สนุก  อันที่จริงข้าก็คิดถูกนะที่เลือกเจ้ามาเป็นน้องชายข้า ด้วยความสามารถที่หลากหลายของเจ้า เจ้าสามารถช่วยงานข้าได้หลายอย่าง ข้าจะได้เอาเวลาไปปรุงยาไปเที่ยวเล่นพักผ่อนหย่อนใจ” มู่เฉียนซีกล่าวอย่างไร้น้ำใจ

เยวี่ยเจ๋อทำอะไรไม่ถูกไปเลย

ไปหอบุปผาทั้งที ครานี้นางก็จะแต่งกายเป็นบุรุษก่อนเข้าไป

ทันใดนั้นอาถิงระเบิดออกมา “หญิงอัปลักษณ์! เจ้าอย่าแม้แต่จะคิดเอาใบหน้าที่งดงามของข้าไปหอบุปผาเด็ดขาด อย่าทำลายภาพลักษณ์ของข้าเชียว!”

มุมปากมู่เฉียนซีกระตุกอย่างแรง “เจ้ายังมีรูปลักษณ์อยู่อีกรึ ? เจ้าไม่สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ด้วยซ้ำ อย่าพูดถึงรูปลักษณ์เลย”

“อ๊าก! ตอนแรกข้าคิดอะไรโง่ ๆ เช่นนั้นออกไปได้อย่างไรกัน ข้าคิดให้เจ้าปลอมตัวเป็นข้าได้อย่างไร ?” มาถึงตอนนี้อาถิงรู้สึกเศร้าใจมาก กลับไปแก้ไขอะไรก็มิได้

มู่เฉียนซีแปลงร่างกลายเป็นบุรุษอีกครั้ง เตรียมพร้อมจะไปหอบุปผา ทว่าทันใดนั้นนางนึกอะไรบางอย่างออกจึงเปลี่ยนทิศทางไปทันที

ร่างในชุดสีม่วงปรากฏขึ้นในบ้านประมูลอันดับหนึ่ง มู่เฉียนซีมองไปที่ร่างของบุรุษผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง แสงอัสดงสีทองอร่ามสาดส่องกระทบใบหน้างดงามราวหยก

“น่าหลานอวี้ วันนี้เจ้าว่างหรือไม่ ? ข้าอยากชวนเจ้าไปเลี้ยงฉลองสักหน่อย” มู่เฉียนซีกล่าว รอยยิ้มรื่นเริงเผยให้เห็นบนใบหน้า

เมื่อได้เห็นดวงตาสีเขียวของบุรุษมู่ซีผู้นี้ปรากฏอยู่ตรงหน้า น่าหลานอวี้กะพริบตาด้วยความประหลาดใจไม่อยากเชื่อ

“มู่ซี คิดไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะมาหาข้า ข้าคิดว่าเจ้าลืมข้าไปเสียแล้ว”

“ข้าจะลืมเจ้าได้อย่างไรกันเล่า ในจื่อตูเจ้าคือสหายของข้า อีกอย่าง เจ้าเคยช่วยข้าเอาไว้ตั้งเยอะ วันนี้ข้าเพิ่งเสร็จสิ้นภารกิจของข้า จึงลอบมาทำให้เจ้าแปลกใจอย่างไรล่ะ และข้ามีอะไรจะให้เจ้าไปทำด้วยกันด้วย”

“ลอบมาทำให้แปลกใจรึ ?” ดวงตาของน่าหลานอวี้เต็มไปด้วยแววแห่งความรอคอย “ไปทำอะไรล่ะ ?”

“ไปกับข้า เดี๋ยวเจ้าจะรู้เอง”

ร่างของมู่เฉียนซีเร็วมาก เร็วประหนึ่งกะพริบนำทางไป น่าหลานอวี้ไม่รอช้า ตามออกไปทันที

……

ณ ทะเลสาบแห่งแคว้นจื่อเยี่ย

คลื่นวารีกำลังกระเพื่อม หลังจากที่ทั้งสองลงเรือลำเล็ก น่าหลานอวี้คิดว่ามู่เฉียนซีจะพาเขานั่งเรือชมบรรยากาศของทะเลสาบอย่างเพลิดเพลิน เขารู้สึกตื่นเต้นมาก

ทว่า… ในขณะที่เรือเล็กลำนี้เข้าประชิดเรือหรูหราลำหนึ่ง มู่เฉียนซีพลันผุดลุกยืนและกล่าวว่า “น่าหลาน เราขึ้นไปกันเถอะ”

น่าหลานอวี้คิ้วขมวด “มู่ซี นี่มันเรือบุปผาที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นจื่อเยี่ยใช่หรือไม่ ? ราวกับข้าฝันไป! จะ… เจ้าชวนให้เราขึ้นไปรึ ?”

มู่เฉียนซีคว้าแขนของเขาเอาไว้

“ก็ใช่สิ! น่าหลาน เราไปเสพสุขบนเรือบุปผากันเถอะ เป็นบุรุษอย่าได้อายเรื่องแบบนี้ รีบสนุกกับมันก่อนชีวิตจะหาไม่เถอะ”