“ฮูหยินเซียว นี่คืออะไรงั้นหรือ? ” ซ่งฝูยกชามขึ้น คีบหน่อไม้ดองขึ้นมาหนึ่งชิ้น มองโดยละเอียด ก่อนเอ่ยถาม “นี่คือหน่อไม้ใช่หรือไม่? เวลานี้หน่อไม้ขึ้นเป็นต้นไผ่หมดแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงยังมีหน่อไม้ที่อ่อนนุ่มเช่นนี้อีก? ”
เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว “นี่คือหน่อไม้ดอง ช่วงหน่อไม้เพิ่งขึ้นข้าก็นำมาดอง ทั้งเปรี้ยวทั้งกรอบ อร่อยมาก ไม่รู้ว่าพวกท่านจะพอใจหรือไม่! ”
ซ่งฉางชิงไม่ชอบกินอาหารรสเผ็ด แต่ชอบกินอาหารรสเปรี้ยว พอได้ฟังดังนั้น ก็คีบขึ้นมาหนึ่งชิ้น
รสเปรี้ยวกรอบอร่อยจริง
หน่อไม้ดองงั้นหรือ?
ซ่งฉางชิงรู้สึกสงสัย “เหตุใดหน่อไม้ถึงมีรสเปรี้ยว? เจ้าใส่สุราขมเช่นนั้นหรือ? ”
เซี่ยยวี่หลัวส่ายหน้า “เปล่า ไม่ได้ใส่สุราขม เพียงต้มหน่อไม้ให้สุกแล้ววางไว้ให้เย็น จากนั้นนำไปใส่ในน้ำต้มสุกที่เย็นแล้ว แช่ไว้ครึ่งเดือน ค่อยนำออกมา มันก็จะมีรสเปรี้ยว”
ซ่งฉางชิงคีบขึ้นมาอีกหนึ่งชิ้น อร่อยมากจริงๆ เขารู้สึกโปรดปรานยิ่งนัก
ไข่ดาวเป็นแบบไข่แดงยางมะตูม ไข่ขาวทั้งกรอบทั้งหอม แผ่นแป้งใส่ไข่ผสมต้นหอมมีกลิ่นหอมของต้นหอมและกลิ่นหอมของไข่ กัดหนึ่งคำ ก็รู้สึกกรอบนุ่มยิ่งนัก อาหารพื้นๆ ทั่วไป เซี่ยยวี่หลัวกลับทำออกมาได้ดีกว่าพ่อครัวของเซียนจวีโหลวเสียอีก
ตอนแรกที่เซี่ยยวี่หลัวเห็นซ่งฉางชิงขมวดคิ้วมุ่น ก็รู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อย
ถึงอย่างไรคนผู้นี้ก็เป็นถึงเถ้าแก่ของเซียนจวีโหลว อาหารอร่อยชนิดใดบ้างที่ไม่เคยเห็น ตัวเองต้อนรับเขาด้วยอาหารเช้าที่เรียบง่ายขนาดนี้ ไม่รู้ว่าจะถูกปากเขาหรือไม่
ทว่า เมื่อเห็นเขาคีบหน่อไม้ดองไม่หยุด ทั้งยังกินไข่ดาวและแผ่นแป้งใส่ไข่ไปไม่น้อย โจ๊กก็กินจนหมดแล้ว
เซี่ยยวี่หลัวจึงผ่อนลมหายใจยาว รสชาติน่าจะถือว่าใช้ได้!
กินอาหารเช้าเสร็จ เซี่ยยวี่หลัวไปหยิบหน่อไม้ดองโถเล็กให้ซ่งฝู “ท่านซ่งน้อย คุณชายของท่านชอบทานหน่อไม้ดองมาก ข้ายังมีอีกจำนวนหนึ่ง ท่านนำไปโถหนึ่ง ไม่ใช่ของมีราคาอะไร แต่อย่าทานมากเกินไป อย่างไรก็เป็นของหมักดอง! ”
ซ่งฝูรีบรับมา “เช่นนั้นก็ขอบคุณฮูหยินเซียว”
เมื่อครู่คุณชายกินไปมากทีเดียว คุณชายของเขาชอบกินอาหารรสเปรี้ยว เขาต้องชื่นชอบแน่นอน
หลังทานอาหารเช้า เซี่ยยวี่หลัวก็จะตามซ่งฉางชิงไปในตัวเมืองแล้ว
นางกำชับเด็กสองคนให้รออยู่ที่บ้าน จากนั้นจึงออกจากบ้าน ขึ้นรถม้าของซ่งฉางชิงเข้าไปในตัวเมือง
รถม้าหายลับไปจากตัวหมู่บ้านอย่างรวดเร็ว เซียวจินเพิ่งออกมาจากสถานที่หลบซ่อน มองดูทิศที่รถม้าวิ่งไปด้วยท่าทีสงสัย
เมื่อครู่เขาเห็นอย่างชัดเจน คนที่อยู่บนรถม้า คือซ่งฉางชิง!
เถ้าแก่ร้านเซียนจวีโหลว!
เซียนจวีโหลวเป็นสถานที่เช่นไร ซ่งฉางชิงเป็นบุคคลระดับไหน ซ่งฉางชิงผู้มีทรัพย์สินเงินทอง รูปลักษณ์หล่อเหลา ฐานะดีเป็นอันดับต้นๆ ในตัวเมือง เขารู้จักกับเซี่ยยวี่หลัวได้อย่างไร?
หรือว่าเซี่ยยวี่หลัวนี่เป็นปีศาจจิ้งจอกกลับชาติมาเกิด ขอเพียงนางอยากได้ ก็ไม่มีบุรุษคนใดที่นางล่อลวงไม่ได้งั้นหรือ?
เซียวจินถ่มน้ำลายทีหนึ่ง กล่าวด้วยท่าทางรังเกียจ “ไร้ยางอาย! ”
ตั้งแต่ขึ้นรถม้า ซ่งฉางชิงก็หลับตาพักผ่อน เซี่ยยวี่หลัวไม่อยากรบกวนเขา ได้แต่หันหน้าออกไปมองทิวทัศน์ภายนอก
รถม้าเคลื่อนตัวไปตามเส้นทางสายเล็กในชนบท โยกโคลงเคลงเล็กน้อย เซี่ยยวี่หลัวจับขอบหน้าต่างไว้แน่น มองดูทิวทัศน์ภายนอกอย่างเงียบสงบ
ท่ามกลางภูเขาเขียวธารน้ำใส ระหว่างที่รถม้าเคลื่อนตัว อากาศที่ลอยมากระทบใบหน้าสดชื่นและบริสุทธิ์ เซี่ยยวี่หลัวหลับตาพร้อมสูดลมหายใจลึก อิ่มเอมกับอากาศบริสุทธิ์และสายลมเย็นภายนอกเงียบๆ
จู่ๆ บรรยากาศก็เงียบสงบ เหลือเพียงเสียงฝีเท้าของม้าและเสียงล้อรถภายนอก
ในเสี้ยววินาทีที่เซี่ยยวี่หลัวหลับตา ซ่งฉางชิงก็ลืมตา มองไปทางนาง
ราวกับว่าที่เขาหลับตาพักผ่อนเมื่อครู่เป็นเพียงการแสร้งทำ
ใบหน้าด้านข้างที่งดงามนั่นประหนึ่งเป็นการสรรค์สร้างของสวรรค์ ทั้งที่ไม่ได้แต่งแต้มด้วยเครื่องประทินโฉมก็ยังงามสะคราญจนไม่อาจละสายตา ราวกับเป็นบ่อน้ำโบราณที่แสนลึก เจ้าจะมองเข้าไปด้านในอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้ ทว่า นอกจากเงาสะท้อนของตัวเจ้าเอง ก็จะไม่เห็นสิ่งอื่นใดอีก
ตลอดช่วงหลายวันที่ผ่านมาเขามีทั้งความกระวนกระวายและว้าวุ่นใจ ทว่าเมื่อที่ได้พบเซี่ยยวี่หลัว เขาก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน ไม่มีความกระวนกระวายและว้าวุ่น แต่กลับเหมือนเด็กที่ยังไม่โต รู้สึกลุกลี้ลุกลน ทำตัวไม่ถูก
ซ่งฉางชิงหาใช่คนที่ไม่รู้ความอะไรเลย เขารู้ว่าตัวเองเป็นอะไร
เขาหลับตาลงเงียบๆ ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะปิดกั้นสายตาไม่ให้มองเห็นรูปโฉมอันงดงามนั่น ตวัดมุมปากเล็กน้อย เขายิ้มด้วยอารมณ์เย้ยหยัน
เขาภาคภูมิใจที่เคยอ่านตำราของนักปราชญ์มามากมาย สุดท้ายแล้ว เขาเองก็ยังคงเป็นปุถุชนคนธรรมดาที่ไม่อาจธรรมดากว่านี้ได้อีกแล้ว
รถม้าไปถึงเซียนจวีโหลวอย่างรวดเร็ว เดิมทีซ่งฉางชิงอยากให้เซี่ยยวี่หลัวพักผ่อนครู่หนึ่ง เซี่ยยวี่หลัวไม่เห็นด้วย มุ่งตรงไปยังห้องครัวด้านหลัง
ทั้งสองคนมาถึงห้องครัว ภายในห้องครัวมีหมูครึ่งตัว เซี่ยยวี่หลัวหั่นส่วนปลายของสะโพกออกมา ซ่งฉางชิงยืนอยู่ข้างๆ มองดูนิ้วมือของนางเคลื่อนไหวไปมา
ปลายนิ้วของนางทั้งเล็กและยาว ขณะถือมีดที่สะท้อนแสงวิบวับ ทำให้เกิดแสงสีขาวจางๆ แสงสะท้อนโดนตาของซ่งฉางชิง เขากลับไม่รู้สึกเคืองตาแม้แต่น้อย แสงสีขาวนั่นยังไม่เคืองตาเท่านิ้วมือเรียวทั้งสิบของนางด้วยซ้ำ
ขาวจนเขาต้องเบือนหน้าหลบไป ไม่กล้ามองอีก
ภายในห้องครัวยังมีพ่อครัว นั่นคือพ่อครัวหยวน เป็นพ่อครัวใหญ่ของเซียนจวีโหลว เวลานี้กำลังมองมือของเซี่ยยวี่หลัวอย่างตั้งอกตั้งใจ
เขากำลังรอดูว่าเซี่ยยวี่หลัวจะทำอาหารที่แม้แต่พ่อครัวใหญ่อย่างเขายังทำไม่เป็นออกมาได้อย่างไร!
ซ่งฉางชิงมองซ่งฝูแวบหนึ่ง “ให้พ่อครัวหยวนออกไปก่อน ในห้องครัวยังมีงานอื่นต้องทำอีก! ”
ซ่งฝู “แต่ฮูหยินเซียวให้พ่อครัวหยวนดูอยู่ที่นี่นะขอรับ! ”
ฮูหยินเซียวเป็นคนให้พ่อครัวหยวนอยู่ดูที่นี่ ยิ่งไปกว่านั้น พ่อครัวหยวนเป็นคนของเรา เหตุใดคุณชายถึงต้องให้คนของตัวเองออกไปด้วย
ซ่งฉางชิงเดินขึ้นหน้าสองก้าว ขวางอยู่ตรงหน้าเซี่ยยวี่หลัว กล่าวด้วยวาจาเด็ดขาด “ข้าก็ทำอาหารเป็น ตรงนี้มีข้าคอยดู เจ้าให้พ่อครัวหยวนไปทำงานอื่นก่อน ถึงเวลาข้าจะสอนเขาเอง! ”
ซ่งฝูเพียงคิดว่าคุณชายให้พ่อครัวหยวนไปทำงานอื่น จึงรีบเรียกพ่อครัวหยวนออกไป
พ่อครัวหยวนย่อมเชื่อฟังคำสั่ง ออกไปทันที ซ่งฝูยังไม่ได้ไป ซ่งฉางชิงเหลือบมองเขา “เจ้าไม่มีงานอื่นให้ทำหรือ? ”
เขาคิดอย่างรวดเร็ว รีบกล่าว “มี มี มีขอรับ คุณชาย เช่นนั้นข้าออกไปก่อนขอรับ! ”
เมื่อออกจากประตูห้องครัว ซ่งฝูก็คลำจมูก เขาไม่มีงานอย่างอื่นนี่นา
ปกติตัวเองอยู่กับคุณชายไม่เคยห่าง เหตุใดครั้งนี้คุณชายต้องไล่ตนเองออกมาด้วย?
ซ่งฝูมองประตูห้องครัวที่ปิดสนิทด้วยท่าทีสงสัย รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
ยามนี้ภายในห้องปรุงอาหารเหลือเพียงซ่งฉางชิงและเซี่ยยวี่หลัว
คราวนี้ไม่มีคนอื่นจ้องมองนิ้วมือขาวเนียนนั่นอีกแล้ว
เซี่ยยวี่หลัวไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นรอบตัวนางในตอนนี้ นางจมดิ่งอยู่ในโลกของตัวเองโดยสมบูรณ์
เจ้าของบล็อกอาหารรสเลิศที่ไม่ได้มีแค่ชื่อ ผู้ติดตามหลายแสนก็ใช่ว่าจะได้มาเพียงชั่วข้ามคืน แต่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นจากความพยายามในแต่ละวันของนาง