บทที่ 158
ความสงสัยที่ก่อตัวในใจ
หลินซีเหยียนก็ได้มองดูเหตุการณ์นี้อยู่ห่างๆ เมื่อเหลยถิงเห็นเช่นนั้นหัวใจของเขาก็ได้รู้สึกถูกบีบคั้นขึ้นมา แต่ก่อนที่เขาจะรู้ตัว เขาก็ได้มายืนอยู่ข้างหน้าของช่างช่านแล้ว
ช่างช่านก็ได้เงยหน้าขึ้นมาแล้วมองมาที่เหลยถิงอย่างสงสัย
เหลยถิงก็ได้ยิ้มและพยายามทำสีหน้าของเขาให้เป็นธรรมชาติที่สุด แต่ก็ไม่คิดว่าจะทำให้คนอื่นสงสัยมากกว่าเดิม เพราะปกติเหลยถิงจะมีใบหน้าที่เข้มงวดมาก ช่างช่านที่ไม่เคยเห็นเขายิ้มมาเป็นเวลานานแล้วจึงได้ยิ้มแล้วถามเขา “มีเรื่องอะไรดีๆเกิดขึ้นอย่างนั้นเหรอเจ้าคะ?”
เหลยถิงก็ได้ผงกหัว แล้วดวงตาที่มืดดำของเขาก็ได้จับจ้องไปที่สีหน้าของช่างช่าน “แม่นางหลินบอกว่าองค์ชายนั้นจะหายในอีกไม่ช้าแล้วน่ะ”
“นั่นเป็นข่าวดีจริงๆเลยนะเจ้าคะ” ช่างช่านก็ได้กล่าวตอบ และเตรียมที่จะเดินผ่านเหลยถิงไป “ยาต้มกำลังจะเย็นแล้ว ข้าว่ารีบเอาให้นายท่านทานไวๆเถอะเจ้าค่ะ”
ดวงตาของเหลยถิงก็ได้มืดดำขึ้นมาแล้วรีบหยิบถาดชามยาออกมาจากมือของช่างช่าน “ในหลายวันมานี้เจ้ายังไม่ได้พักผ่อนดีๆเลย ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเองดีกว่า เจ้าออกไปพักก่อนเถอะ!”
ถึงแม้ช่างช่านนั้นมีความสงสัยปรากฏบนใบหน้าของนาง แต่นางก็ยังถอยออกไปอยู่ดี
มองไปที่แผ่นหลังของช่างช่าน เหลยถึงก็ยังรู้สึกผิดอยู่ดี เขารู้สึกเสียใจให้กับช่างช่าน ถึงเขาจะไม่มีหลักฐาน แต่เขาก็ได้เริ่มรู้สึกระแวงช่างช่านโดยที่เขาไม่รู้ตัว
เขารู้ดีว่าเขานั้นเริ่มระแวงช่างช่านเพราะคำพูดของแม่นางหลิน ถึงแม้ว่าเขาไม่อยากจะเชื่อว่าเป็นฝีมือของช่างช่านก็ตามที แต่เขาก็ไม่กล้าที่จะเสี่ยงดวง เพราะถ้าเขาคิดผิดองค์ชายก็จะตาย
หลินซีเหยียนก็ได้มองดูเหตุการณ์นี้และผงกหัวอย่างพึงพอใจ ที่นางเลือกที่จะเล่าเรื่องนี้ให้เหลยถิงฟังแทนที่จะเป็นช่างช่านนั้นมีเหตุผลอยู่ เพราะนางนั้นเคยเห็นช่างช่านนั้นปล่อยนกพิราบส่งสารไป ถึงแม้ว่าจะแอบทำอย่างลับๆก็ตามที แต่ตราบเท่าที่นางทำในเรือนเชียนเหยียน ก็ไม่มีอะไรที่ปิดบังนางได้
“เอายานั่นให้องค์ชายจงดื่มเถอะ” เมื่อเห็นเหลยถิงที่ยังคงยืนงงอยู่ หลินซีเหยียนก็ได้เตือนเขา
เหลยถิงก็ได้ถือชามยานั้นแล้วมองมาที่หลินซีเหยียนอย่างสงสัย “แม่นางหลิน ท่านอยากที่จะตรวจดูหรือไม่ว่ามีปัญหาอะไรกับยาชามนี้ไหม?”
หลินซีเหยียนก็ได้ส่ายหัวของนางแล้วกล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “ไม่มีปัญหาอะไรกับยาชามนั้น”
“จริงๆเหรอ?” งั้นก็แสดงว่าช่างช่านไม่ใช่คนวางยาสินะ
แต่ก่อนที่เขาจะได้พูดอะไร คำพูดที่เข้าใจง่ายของ หลินซีเหยียนก็ได้เข้าหูของเหลยถิง “หากว่าเป็นคนที่ฉลาด ย่อมที่จะไม่คิดทำอะไรตุกติกแบบนั้นต่อหน้าหมอหรอกนะ”
เหลยถิงก็ได้เงียบกริบทันที เขายอมรับว่าที่แม่นางหลินกล่าวนั้นก็มีเหตุผลอยู่ ด้วยอารมณ์ที่ยากจะเข้าใจ เขาก็ได้ป้อนยานั้นให้กับองค์ชายจง
หลังจากที่ทานยาเข้าไป องค์ชายจงก็ได้มีใบหน้าที่แดงมากขึ้นเรื่อยๆ และมีเสียงครางออกมาจากริมฝีปากบางๆของเขาเป็นช่วงๆ เหลยถิงก็ได้มองไปที่แม่นางหลินอย่างเป็นกังวล
“ไม่ต้องกังวลไป ยาตัวนี้น่ะจะช่วยเร่งเลือดและลมปราณ ถึงแม้ว่าฤทธิ์ของมันออกจะแรงไปเสียหน่อย แต่องค์ชายจงน่าจะทนได้
หลังจากที่พูดจบหลินซีเหยียนก็ได้เดินไปที่โต๊ะไม้พะยูงแล้วนั่งลงราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง
แม้จะเวลาผ่านไปแต่อาการของคุณชายจงก็ได้ไม่ได้เบาลงไปเลย แต่เริ่มมีเลือดไหลออกมาจากปากและจมูกแทน
สีของเลือดนั้นไม่ธรรมดามาก เป็นเลือดสีดำและดูสกปรก เหลยถิงจึงได้ตะโกนขึ้นมา “แม่นางหลิน นี่ท่านเอาอะไรให้ท่านชายทานกันแน่? นี่ท่านต้องการที่จะช่วยหรือทำร้ายเขากันแน่?”
หลินซีเหยียนก็คำนวณและคิดว่าน่าจะได้เวลาแล้ว นางก็ได้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่เตียง จากนั้นก็ได้งอปลายนิ้วของนางและมีดที่บางราวกับปีกจักจั่นออกมาจากปลายนิ้วของนาง “ไม่ต้องกังวลไป ก็แค่การถอนพิษเท่านั้น”
ระหว่างที่กำลังพูดคุยกันอยู่ มีดบางๆนี้ก็ได้กรีดลงไปที่ปลายนิ้วมือทั้ง 10 ของจงซู่เฟิง แล้วก็มีเลือดสีดำไหลออกทะลักออกมาราวกับน้ำที่ถูกกั้นมาเป็นเวลานาน
เหลยถิงก็ได้รีบไปหยิบชามยาเมื่อสักครู่แล้วเอามารองที่ปลายนิ้วของจงซู่เฟิง
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นไม่นานนัก ไม่นานนักก็ได้มีเลือดสีแดงฉานไหลออกมาจากปลายนิ้วของจงซู่เฟิง หลินซีเหยียนก็ได้ยักคิ้วขึ้นมา แล้วจากนั้นก็หยิบเอากล่องยาออกมาแล้วทายาสมานแผล แล้วเลือดก็ได้หยุดไหลออกมาจากบาดแผลทันที
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เหลยถิงมั่นใจมากขึ้นว่าแม่นางหลินนั้นตั้งใจที่จะช่วยองค์ชายจริงๆ แล้วทำให้เขารู้สึกเชื่อที่ หลินซีเหยียนกล่าวมากขึ้นไปอีก
หลังจากที่จัดการเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว หลินซีเหยียนก็รู้สึกเหนื่อย นางก็ได้สั่งว่าห้ามใครรบกวนนางแล้วจากนั้นก็ได้กลับไปนอนจนกระทั่งค่ำ
เมื่อนางตื่นขึ้นมาในตอนค่ำ นางก็ได้รู้สึกหิวแล้วออกจากห้องมาหาอะไรทาน แต่นางก็พบกับองค์ชายจงเข้าในห้องครัว
องค์ชายจงนั้นกำลังถือหมั่นโถวอยู่ในมือ ก็มีสีหน้าตกใจและทำสีหน้าอายๆออกมา แต่เขาก็ได้กัดฟันทนแล้วกล่าว “นี่ก็ดึกแล้ว ทำไมแม่นางหลินถึงยังไม่หลับเหรอ?”
“ข้าหลับเยอะเกินไปหน่อยตอนกลางวันน่ะ ตอนนี้ก็เลยหิวน่ะ” หลินซีเหยียนก็ได้มองไปที่จงซู่เฟิงแล้วยิ้มอย่างใจเย็น “ดูเหมือนองค์ชายจงจะหายดีแล้ว แต่ช่างช่านกับเหลยถิงไม่ได้อยู่ดูแลท่านหรอกเหรอ?”
“เอ่อ พอข้าตื่นขึ้นมาก็ได้ให้พวกเขาไปพักผ่อนน่ะ” จงซู่เฟิงที่ถูกจับได้ว่ากำลังขโมยอาหารนั้น ซึ่งทำให้เขารู้สึกเสียหน้าและไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี
“ข้าก็ไม่ได้จะดุอะไรท่านหรอก องค์ชายไม่ต้องกลัว” หลินซีเหยียนที่เพิ่งพูดถึงท่าทีขององค์ชายจบไม่ทันไร ท้องของนางก็ได้ส่งเสียงร้องจ๊อกขึ้นมา
แล้วห้องครัวก็ได้ตกอยู่ในความเงียบในทันที จากนั้น จงซู่เฟิงก็ได้ทำการแบ่งให้หลินซีเหยียนครึ่งหนึ่ง
หมั่นโถวแค่ครึ่งลูก มันจะไปทำให้คนสองคนอิ่มท้องได้อย่างไร? หลินซีเหยียนจึงได้ตัดสินใจที่จะลงมือทำอาหารเอง
เมื่อเห็นหลินซีเหยียนกำลังเข้าครัว จงซู่เฟิงก็ได้นั่งลงอย่างอายๆ เขานั้นคิดที่จะลงมือทำงานหนักๆอย่างจุดไฟ แต่เนื่องจากเขาเองก็เป็นองค์ชายถึงแม้เขาจะใช้ชีวิตอย่างสิ้นหวังก็ตาม แต่เขาก็ไม่เคยทำอะไรด้วยตัวเองอยู่ดี
ดังนั้นองค์ชายจงจึงได้ทำให้ไฟที่หลินซีเหยียนเพิ่งจุดติดลุกท่วมขึ้นมา ไม่เพียงแค่นั้นยังทำให้เกิดควันโขมงขึ้นมาอีกต่างหาก
“เอ่อ…..ขอโทษที”
แล้วทั้งสองคนก็ได้ออกมาข้างนอกห้องครัว ออกมารับลมเย็นตอนกลางคืนข้างนอก แล้วรอให้ควันจางลงอย่างช่วยไม่ได้ ในเวลานี้ไม่อาจจะที่จะบรรยายถึงคนสองคนที่ทั้งหิวและหนาวได้เลย
“คราวหน้าก็รออยู่เฉยๆนะ”
แล้วสุดท้ายทั้งสองคนก็ได้ทานบะหมี่ร้อนๆคนละชาม บะหมี่ชามนี้ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากผักเขียวนิดๆและหอมหน่อยๆ
ถึงแม้จะดูง่ายๆ แต่จงซู่เฟิงก็คิดว่าบะหมี่ชามนี้อร่อยกว่าชามไหนๆเลย
เมื่อกินบะหมี่ร้อนๆเข้าท้องไปหนึ่งชามแล้ว ทั้งสองคนก็ได้กลับเข้าห้องของตัวเองแล้วทั้งคู่ก็ได้นอนหลับฝันดี
สองวันต่อมา แม่ทัพเยี่ยก็ได้กลับมาอย่างเต็มภาคภูมิ ส่วนอาการป่วยขององค์ชายจงก็เกือบหายดีแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็เหมือนจะเป็นไปในทางที่ดีขึ้น
แต่ทว่าก็ยังมีเรื่องเล็กๆน้อยๆเกิดขึ้นอย่างเช่น หลินรั่วจิ่งบุตรีคนที่ห้าคนโปรดของมหาเสนาบดีหลินนั้นบังเอิญตกลงไปในทะเลสาบ แต่โชคดีที่องค์ชายจงนั้นได้บังเอิญผ่านไปพบแล้วช่วยนางเอาไว้
แล้วตั้งแต่นั้นมา หลินรั่วจิ่งก็ได้แวะมาหาที่เรือน เชียนเหยียนบ่อยๆราวกับว่านางไม่มีอะไรทำ ซึ่งหลินซีเหยียนก็ไม่ได้ห้ามอะไร อย่างไรเสียการที่นางนั้นตั้งใจมาหาองค์ชายจงไม่ใช่นางก็ดีแล้ว
“ในเวลานี้ดอกไม้ที่ศาลาริมน้ำนั้นกำลังเบ่งบาน ถ้า องค์ชายจงมีเวลาจะออกไปชมกับรั่วจิ่งกันไหมเจ้าคะ?”
จงซู่เฟิงก็ได้มองไปที่หลินซีเหยียนอย่างเงียบๆ แล้วจากนั้นดวงตาของเขาก็ได้มืดดำขึ้นมา “ซู่เฟิงเพิ่งจะหายจากอาการป่วยหนักมา เปิ่นหวางจึงไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงจึงไม่อาจที่จะไปกับแม่นางได้”
องค์ชายเจ้าคะ ถ้าท่านออกไปชื่นชมดอกไม้ข้างนอกบ้าง ก็อาจจะทำให้ท่านหายจากอาการป่วยไวขึ้นก็ได้นะเจ้าคะ”