ตอนที่ 148

เสน่ห์คมดาบ

ชายชราชุดดำและสีเฉ่าฉีมีคำตอบที่คลุมเครืออยู่ในใจ แต่พวกเขายอมรับไม่ได้ พวกเขาไม่อยากจะเชื่อในคำตอบนี้ 

 

 

หญิงผู้นั้นเรียกเทพเจ้าแห่งความมืดออกมาหรือ? 

 

 

จะเป็นไปได้อย่างไร? 

 

 

มันจะเป็นไปได้อย่างไรกัน?!           

 

 

ในความมืดนั้น แสงสีแดงเลือดก็ปรากฏขึ้น เทพเจ้าแห่งความมืดมา! 

 

 

“เจ้าจะให้ข้าหยุดหน่อยไม่ได้หรือ อย่าให้ข้าต้องแสดงตัวบ่อยนักสิ” เสียงของเทพเจ้าแห่งความมืดเย็นชาและเต็มไปด้วยความโกรธ เห็นได้ชัดว่าในฐานะเทพเจ้าแห่งความมืด การที่เขาต้องปรากฏตัวในฐานะผู้คุ้มกันเพื่อช่วยเหลือมนุษย์ถึงสองครั้งทำให้เขาอับอาย แถมยังรำคาญใจมากด้วย 

 

 

ชายชราชุดดำและสีเฉ่าฉีไม่สามารถเงยหน้าของพวกเขาได้ คำพูดของเทพเจ้าแห่งความมืดทำให้พวกเขาตกใจเช่นกัน หมายความว่าอย่างไร? เทพเจ้าแห่งความมืดกำลังคุยกับใคร? 

 

 

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาต่อมาน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม 

 

 

หญิงสาวสามารถขยับตัวได้และตะคอก “ท่านคิดว่าข้าอยากจะเรียกท่านหรือ? คราวนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะลูกน้องของท่านจะทำร้ายข้าด้วยพลังที่ท่านมอบให้ ข้าจะเรียกท่านออกมาหรือไม่?” 

 

 

ชายชราในชุดดำและสีเฉ่าฉีตะลึง พวกเขาอ้าปากค้างและจ้องไปที่สีดำตรงหน้าพวกเขา จิตใจของพวกเขาหยุดนิ่งทันที หญิงผู้นี้กำลังพูดกับเทพเจ้าแห่งความมืด! 

 

 

นางเป็นใครกันแน่? 

 

 

นางเป็นนักบวชของวิหารแห่งแสงไม่ใช่หรือ? ทำไมถึงเรียกเทพเจ้าแห่งความมืดมาคุยได้ง่ายขนาดนี้? 

 

 

“บอกพวกลูกน้องหัวหมูนี้ทีว่าอย่ามายั่วโมโหข้า!” แคลร์ขยับมืออย่างไม่พอใจ 

 

 

บรรยากาศโดยรอบเป็นสีดำสนิท หลังแคลร์พูดจบ ทุกอย่างก็เงียบงันอย่างแปลกประหลาด 

 

 

ชายชราชุดดำและสีเฉ่าฉีกลืนน้ำลาย พวกเขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย ตอนนี้พวกเขาเข้าใจแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างเด็กหญิงผู้นี้กับเทพเจ้าแห่งความมืดนั้นไม่ธรรมดาเลย จากน้ำเสียงนี้ของนาง เป็นไปได้ว่าเทพเจ้าแห่งความมืดอาจถอนพลังที่มอบให้กับพวกเขาคืนไปเพราะนางก็ได้! 

 

 

“ผู้ศรัทธาในข้า จำไว้ว่าเจ้าต้องไม่ทำอะไรนางอีกและต้องพยายามอย่างมากที่สุดเพื่อปกป้องความปลอดภัยของนาง” หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน เสียงมืดมนของเทพเจ้าแห่งความมืดก็ดังออกมาจากสีดำนั้นในที่สุด เพียงแต่เขาไม่สามารถปกปิดร่องรอยของความโกรธในน้ำเสียงได้เลย 

 

 

“ได้ยินหรือไม่?” แคลร์ตะคอกอย่างเย็นชา 

 

 

“ครับ เทพเจ้าแห่งความมืดผู้ยิ่งใหญ่” ชายชราชุดดำและสีเฉ่าฉีตอบด้วยความกลัว 

 

 

“ใช้พลังที่ข้ามอบแก่เจ้าให้ดี อย่าทำให้ข้าผิดหวัง” หลังจากที่เสียงของเทพเจ้าแห่งความมืดดังขึ้น ชายชราในชุดคลุมสีดำก็ส่งเสียงอู้อี้ เห็นได้ชัดว่าเทพแห่งความมืดกำลังทำอะไรบางอย่างกับเขา     

 

 

ชายชราในชุดดำไม่ทันที่จะได้พูดอะไรสีดำที่อยู่รอบๆ ตัวเขาก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว     

 

 

เทพเจ้าแห่งความมืดไปแล้ว 

 

 

แคลร์บิดไหล่ของนาง นางรู้ว่าตอนนี้เทพเจ้าแห่งความมืดรู้สึกรำคาญมากและไม่ต้องการเห็นหน้านาง  ดังนั้นเขาจึงออกไปโดยเร็วที่สุด 

 

 

ชายชราชุดดำและสีเฉ่าฉีมองหญิงสาวตรงหน้าพวกเขาและไม่พูดอะไรเลยอยู่นาน 

 

 

“ชายชรา พวกเจ้าเหม่ออะไรกัน” แคลร์ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่สนใจและตะคอก “ที่นี่มันที่ไหน? บอกมา ทำไมข้าถึงถูกเคลื่อนย้ายมาที่นี่ เพื่อนคนอื่นๆ ของข้าอยู่ที่ไหนล่ะ?” 

 

 

ชายชราชุดดำยังคงไม่สามารถเรียกสติคืนมาได้ ในตอนนี้มีบางอย่างปรากฏขึ้นในใจของเขา  นั่นก็คือพลังที่เทพเจ้าแห่งความมืดมอบให้เมื่อครู่     

 

 

“เจ้า เจ้าเป็นใครกันแน่? เจ้ามาจากวิหารแห่งแสงนี่ แต่ทำไมเจ้าถึงเรียกเทพเจ้าแห่งความมืดของเราออกมาได้ล่ะ” สีเฉ่าฉีถามอย่างกระตือรือร้น ตอนนี้เขารู้สึกว่าเขาแทบจะไม่เป็นของตัวเองเลย สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เหลือเชื่อมาก มันเกินขอบเขตที่คนปกติจะยอมรับได้ 

 

 

“ข้าหรือ?” แคลร์มองสีเฉ่าฉีและไม่ตอบคำถามของเขา “เจ้าไม่ได้ยินสิ่งที่เทพเจ้าของเจ้าบอกหรือ? เขาบอกให้เจ้าพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาความปลอดภัยของข้า” 

 

 

สีเฉ่าฉีตะลึง เขาจำคำพูดของเทพเจ้าแห่งความมืดได้ดี จากนั้นเขาก็มองแคลร์อยู่นานแล้วก็พูดไม่ออก 

 

 

“ตอบคำถามของข้าสิ ที่นี่ที่ไหน? เพื่อนของข้าอยู่ที่ไหน?” แคลร์มองสีเฉ่าฉีที่ตะลึงอยู่และถามด้วยความโกรธ 

 

 

“นี่คือพื้นที่รอบนอกของวิหารแห่งความมืดซึ่งก็คือป่าแห่งความฝัน” สีเฉ่าฉีไม่ได้พูดอะไรสักคำ แต่ชายชราในชุดดำบอก “เราอยู่    ใต้ดิน เราสร้างวิหารแห่งความมืดที่ใต้ดินอันกว้างใหญ่นี้” 

 

 

“โอ้ เทพเจ้าแห่งความมืดก็มีฐานของตัวเองเช่นกันสินะ” แคลร์มองไปรอบๆ ป่าเสื่อมโทรมแห่งนี้มีชื่อที่ไพเราะจริงๆ 

 

 

“ป่าแห่งความฝันถูกสร้างขึ้นด้วยความพยายามอย่างหนักของพวกเรา ต้นไม้เหล่านี้จะผลิตก๊าซที่ไม่มีสีและไม่มีกลิ่นออกมา เมื่อผู้คนสูดดมเข้าไป พวกเขาจะเกิดภาพหลอน สิ่งนี้ทำเพื่อคนในวิหารแห่งแสงโดยเฉพาะ” ชายชราชุดคลุมสีดำพูด เขาให้ความร่วมมือและกระตือรือร้นที่จะตอบมาก อีกทั้งยังมีความเคารพในน้ำเสียงนั้นด้วย หลังจากบทสนทนาสบายๆ ระหว่างแคลร์กับเทพเจ้าแห่งความมืดแล้ว ทัศนคติที่พวกเขามีต่อแคลร์นั้นแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง     

 

 

“โอ้ ไม่แปลกใจเลยที่ข้าเห็นเทพีแห่งแสง” จู่ๆ แคลร์ก็พูด เพราะมีก๊าซที่พอสูดดมแล้วสามารถสร้างภาพหลอนได้นี่เอง 

 

 

“คุณหนู เพื่อนคนอื่นๆ ของเจ้าก็กระจัดกระจายอยู่ในป่านี้ แต่จะสามารถออกมาได้หรือไม่…” ชายชราในชุดคลุมสีดำพูดเสริมอย่างกังวล หลังจากคิดได้ก็เรียกแคลร์แบบนี้ แต่คนที่อยู่กับแคลร์ล้วนเป็นคนของวิหารแห่งแสง คาดว่าพวกเขาคงไม่สามารถออกจากป่าแห่งความฝันได้อย่างราบรื่นนัก 

 

 

“ตอนนี้ยังไม่มีใครออกมาเลย พวกเขากำลังตกอยู่ในจินตนาการและไม่สามารถปลดปล่อยตัวเองได้” สีเฉ่าฉียักไหล่และพูดเสริมโดยไม่สนใจคำเตือนในสายตาของชายชราชุดดำ 

 

 

“โดยเฉพาะคนของวิหารแห่งแสงหรือ?” แคลร์ขมวดคิ้วและนึกถึงจินตนาการที่ได้เห็น เทพีแห่งแสงขอให้ไปสวดมนต์พร้อมกัน คนอื่นจะได้เห็นสิ่งนี้หรือไม่นะ? “คนอื่นๆ จะได้เห็นว่าเทพีขอให้อธิษฐานอะไรนั่นหรือไม่?” 

 

 

“ใช่ คนโง่เหล่านั้นเชื่อและบูชาเทพีแห่งแสงอย่างหน้ามืดตามัว ดังนั้นพวกเขาจึงตกอยู่ในภาพลวงตาและไม่สามารถทำให้ตัวเองหลุดพ้นได้” สีเฉ่าฉีพูดอย่างเหยียดหยาม ชายชราชุดดำกลอกตา ในใจของเขากำลังโกรธศิษย์ของเขาอยู่ ตัวตนของเด็กสาวผู้นี้ไม่ธรรมดา คนเหล่านั้นเป็นเพื่อนของนาง เด็กเฉ่าฉีนี่ยังไม่รู้จักพูดอีก 

 

 

“โอ้ หมายความว่าพวกเขาจะไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ตราบเท่าที่ยังตกอยู่ในจินตนาการและไม่สามารถทำให้ตัวเองหลุดพ้นได้งั้นหรือ ในทางกลับกันล่ะ?” แคลร์ยิ้มหลังจากที่นางได้ยืนยันเรื่องนี้ จินเหยียนไม่ใช่คนที่เชื่อในเทพีแห่งแสงและเหลิ่งหลิงยวิ๋นไม่ใช่ผู้ศรัทธา ส่วนเทพธิดานั้น แคลร์เดาว่าหญิงผู้นั้นก็น่าจะออกมาได้เช่นกัน เพราะลึกๆ ภายในดวงตาของหญิงผู้นั้นไม่ได้มีความสง่างามและความบริสุทธิ์ที่เทพธิดาแห่งวิหารแห่งแสงควรมีเลย 

 

 

“ใช่” สีเฉ่าฉีไม่เข้าใจว่าทำไมหญิงสาวตรงหน้าเขาถึงรู้สึกโล่งใจ 

 

 

“ไปกันเถอะ พาข้าออกไปจากที่นี่ก่อนและชงชาหอมๆ ให้ข้าสักแก้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งชากุหลาบ เพื่อนของข้าจะพาข้ากลับไปเองเมื่อพวกเขาออกมา ชายชรานำทางไปสิ” แคลร์สั่งอย่างไม่ใส่ใจ 

 

 

สีเฉ่าฉีกระตุก เขาสงสัยว่าความมั่นใจของเด็กสาวผู้นี้มาจากไหนกัน นางแน่ใจได้อย่างไรว่าเพื่อนร่วมทางของนางจะออกมาได้? 

 

 

“เพื่อนของข้าคนหนึ่งเป็นนักรบ ผมสีน้ำตาล เขาชื่อว่าจินเหยียน ส่วนอีกคนมีผมสีเงินและดวงตาสีม่วงชื่อว่าเหลิ่งหลิงยวิ๋น หากพวกเขาออกมาแล้วก็พามาหาข้าด้วยนะ ข้ารบกวนด้วยชายชรา” แคลร์หันมองชายชราที่ยืนข้างๆ แล้วพูด 

 

 

“ครับ” ชายชราชุดดำตอบทันที 

 

 

“เดี๋ยวก่อนนะ เหลิ่งหลิงยวิ๋นหรือ? เขาไม่ใช่บุตรของวิหารแห่งแสงหรือ? แน่ใจหรือว่าเขาจะออกมาได้?” สีเฉ่าฉีรู้สึกว่าชื่อนั้นคุ้นหูและเมื่อนึกขึ้นได้ เขาก็ถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ 

 

 

“เขาจะออกมาได้แน่” แคลร์พูดเบาๆ แต่เต็มไปด้วยความมั่นใจ 

 

 

“ถ้าอย่างนั้น หากเจอแล้วมีการปะทะกันล่ะจะพาไปอย่างไร!” สีเฉ่าฉีตะคอกอย่างเย็นชา 

 

 

“ก็จริง ถ้าเช่นนั้นรอพวกเขาออกมาแล้ว พวกเจ้าค่อยไปส่งข้ารอตรงทางออกก็จบแล้ว” แคลร์คิดสักพัก แม้ว่าเหลิ่งหลิงยวิ๋นจะไม่ใช่ผู้ศรัทธาเทพีแห่งแสง แต่ถ้าฝ่ายตรงข้ามก็เป็นผู้ศรัทธาเทพเจ้าแห่งความมืด หากเจอกันต้องมีการปะทะกันอย่างแน่นอน 

 

 

สีเฉ่าฉีกระพริบตาอย่างสับสนและไม่เชื่อ เขาไม่เชื่อคำพูดของแคลร์ บุตรของ    วิหารแห่งแสงจะสามารถเดินออกจากป่าแห่งความฝันได้จริงๆ หรือ นั่นก็หมายความว่าบุตรแห่งแสงจะต้องลบหลู่เทพีแห่งแสงที่เขาบูชา มันจะเป็นไปได้หรือ? 

 

 

“คุณหนู ข้าชื่อบิล เป็นนักบวชของวิหารแห่งความมืด ข้าขอถามหน่อยได้หรือไม่…” ชายชราชุดดำถามอย่างระมัดระวัง 

 

 

“แคลร์” แคลร์พูดอย่างลวก ๆ “ชาดอกไม้ ชากุหลาบ ชายชรา ข้าอยากดื่มชากุหลาบ” การจ้องเขม็งของแคลร์ทำให้ชายชราในชุดคลุมสีดำถึงกับเหงื่อตก 

 

 

“ได้ๆ คุณหนูแคลร์ โปรดมาทางนี้” บิลเดินนำหน้าด้วยน้ำเสียงที่ยังคงมีความเคารพอยู่ 

 

 

แคลร์เดินตามไป จากนั้นสีเฉ่าฉีก็ตามไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

สีเฉ่าฉีถามแคลร์ด้วยเสียงต่ำ “เหอะๆ แคลร์ ข้าชื่อสีเฉ่าฉีนะ ทำไมเจ้าถึงเรียกเทพเจ้าแห่งความมืดของเราออกมาได้ล่ะ? ทำไมเทพแห่งความมืดถึงปกป้องเจ้า? เจ้าไม่ใช่คนจากวิหารแห่งแสงหรือ?” สีเฉ่าฉีถามอย่างกระตือรือร้นราวกับว่าเขาคุ้นเคยกับแคลร์ดี เขาอยากจะรู้ว่าเหตุการณ์เมื่อกี้เกิดขึ้นได้อย่างไร 

 

 

“ข้าเป็นคนของวิหารแห่งแสง แต่ข้าไม่เคยบอกว่าข้าเชื่อในเทพีแห่งแสงอะไรนั่นสักหน่อย” แคลร์ตอบอย่างไม่ใยดี 

 

 

“หมายถึงอะไร? เจ้าหมายถึงอะไร?” สีเฉ่าฉีรู้สึกสับสน ปกติแล้วคนเข้าไปในวิหารแห่งแสงได้สบายๆ แบบนั้นเลยหรือ?      คนในวิหารแห่งแสงไม่ได้ถูกล้างสมองหรือ? 

 

 

“คุณหนูแคลร์คงจะถูกดึงเข้าไปในวิหารแห่งแสงกลางคันใช่หรือไม่?” บิลที่เดินอยู่ข้างหน้าหันหน้ามาพูด “เทพีแห่งแสงเจ้าเล่ห์มาก ตราบใดที่มีคนที่ไม่ธรรมดา หากนางพบเข้า นางก็จะคิดวิธีที่จะดึงคนๆ นั้นมาอยู่ด้วยให้ได้”  

 

 

“อาจารย์ของเจ้าฉลาดกว่าเจ้ามากเลยล่ะ” คำพูดของแคลร์ทำให้ปากของสีเฉ่าฉีกระตุก 

 

 

“แต่ว่า คุณหนูแคลร์ ข้าก็อยากรู้เช่นกันว่าทำไมเจ้าถึงเรียกเทพเจ้าแห่งความมืดของเราออกมาได้โดยไม่ต้องเสียเครื่องสังเวยอะไรเลย” บิลถามอย่างสงสัย ครั้งนี้เขาได้รับผลประโยชน์ไปด้วย     แต่มันแตกต่างออกไปเพราะเขาได้พลังมาฟรีๆ     ครั้งที่แล้วเขาต้องใช้เครื่องสังเวยอย่างมากมายเพื่อรับพลังสำหรับใช้ในการเผยแพร่    อำนาจของเทพเจ้าแห่งความมืดเพียงเท่านั้น     

 

 

…………………………………………………………………………….