ตอนที่ 149

เสน่ห์คมดาบ

แคลร์ถอนหายใจเบาๆ นางจะพูดอย่างไรดีล่ะจะให้พูดว่านางเป็นเครื่องสังเวยของเทพเจ้าแห่งความมืดเอง? จะพูดเช่นนั้นได้อย่างไรล่ะ! 

 

 

“ข้าเป็นคนทางฝั่งของเทพเจ้าแห่งความมืด แต่แค่แอบเข้าไปในวิหารแห่งแสงเพื่อสืบอะไรบางอย่าง” แคลร์ยิ้ม แต่บิลก็เชื่อในสิ่งที่นาง    พูด เทพเจ้าแห่งความมืดมาเพื่อปกป้องนางจริงๆ แล้วที่นางพูดจะเป็นเท็จได้อีกหรือ? 

 

 

    สีเฉ่าฉียังดูมีท่าทางค่อนข้างสงสัย เขารู้สึกว่าสิ่งต่างๆ ไม่น่าจะง่ายอย่างนั้น แถมท่าทีของเทพเจ้าแห่งความมืดที่มีต่อแคลร์ มันแปลกมากจริงๆ 

 

 

“แผนของพวกเจ้าคืออะไร?” แคลร์ถามบิลที่เดินข้างๆ “ค่อยๆ กำจัดคนของวิหารแห่งแสงไปเรื่อยๆ และทำให้พลังของพวกเขาอ่อนแอลงงั้นหรือ?” 

 

 

“อืม แผนก็เป็นแบบนี้แหละ เราจะตอบโต้ไปทีละขั้นตอน วันหนึ่งเทพเจ้าแห่งความมืดจะเข้าไปแทนที่คนเจ้าเล่ห์อย่างเทพีแห่งแสง” บิลพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม 

 

 

    ภาพที่เต็มไปด้วยความสุขปรากฏขึ้นในหัวของแคลร์ 

 

 

เทพีแห่งแสงซึ่งเดิมทีเป็นที่เคารพบูชา    ของผู้คน นางจะถูกวิพากษ์วิจารณ์และถูกปฏิเสธจากผู้คน แต่เทพเจ้าแห่งความมืดที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดจะได้รับการชื่นชมและบูชาแทน 

 

 

อืม น่าสนใจทีเดียว 

 

 

แคลร์เดินตามบิลและสีเฉ่าฉีออกจากป่าแห่งความฝันไปข้างหน้า ภายในพื้นที่ใต้ดินอันกว้างใหญ่ของสถานที่แห่งนี้ มีแผ่นสีเหลืองทรงกลมแขวนอยู่บนที่สูงที่สุดเพื่อส่องแสงสว่าง 

 

 

“มันถูกสร้างขึ้นโดยอาจารย์ของเราและบิชอปแห่งความมืด” บิลมองตามสายตาของแคลร์และมองแผ่นที่แขวนอยู่บนจุดสูงสุดพร้อมกับรอยยิ้ม “เราเรียกสิ่งนั้นว่าวงล้อดวงอาทิตย์” 

 

 

“วิเศษมาก” แคลร์ชมอย่างจริงใจ พวกเขาสามารถสร้างสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้ได้ด้วย 

 

 

“เราไม่มีทางเลือก เราไม่สามารถปรากฏตัวต่อสายตาชาวโลกบนพื้นดินได้” บิลถอนหายใจ 

 

 

“บางทีในอนาคตอันใกล้นี้อาจจะทำได้นะ” แคลร์ยิ้มและมองวงล้อดวงอาทิตย์บนนั้น 

 

 

“ต้องได้แน่นอน” บิลพยักหน้าอย่างแน่วแน่ 

 

 

เมื่อบิลพาแคลร์มาหยุดอยู่หน้าวิหารแห่งความมืด แคลร์ก็ประหลาดใจกับผลงานชิ้นเอกของคนเหล่านี้อีกครั้ง วิหารที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ได้ด้อยไปกว่าวิหารแห่งแสงเลย ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือวิหารแห่งนี้อยู่ใต้ดิน 

 

 

“คุณหนูแคลร์ เชิญเลย” บิลพาแคลร์เข้าไปในวิหารระหว่างทางก็มีสายตาที่สงสัยมา     

 

 

เมื่อมาถึงห้องโถง แคลร์ก็นั่งลงและมองไปรอบๆ 

 

 

“คุณหนูแคลร์ น้ำชา” เสียงที่อ่อนโยนดังขึ้น ทันทีที่แคลร์หันไปก็เห็นใบหน้าแบบเดียวกับสีเฉ่าฉี     สิ่งที่อยู่ในมือเขาคือชากุหลาบที่แคลร์พูดถึง 

 

 

“ใช่เจ้าหรือไม่ที่เฝ้าดูข้าอยู่?” แคลร์รับน้ำชาอย่างสุภาพและรอยยิ้มแห่งความสุขก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนางหลังจากได้จิบชา แม้ว่าฝีมือจะเทียบไม่ได้กับการชงชาของคามิลล์ แต่ชานี้ก็ยังเป็นชาที่มีกลิ่นหอมที่สุดหลังจากที่    นางไม่ได้ดื่มมานาน 

 

 

สีเฉ่าซื่อยิ้มและไม่ได้พูดอะไรออกมา 

 

 

“คนของวิหารแห่งความมืดมีความสามารถหลากหลายนะชายชรา คนๆ นี้สามารถอ่านริมฝีปากได้” แคลร์หรี่ตาและจิบชาอย่างสบายใจ “อีกทั้งเทคนิคการชงชาก็ดีด้วยเช่นกัน” 

 

 

สีเฉ่าซื่อยังคงยิ้ม “คุณหนูแคลร์ ข้าชื่อสีเฉ่าซื่อ” 

 

 

“คุณหนูแคลร์ โปรดนั่งรอสักครู่ ข้าจะไปรายงานท่านอาจารย์” บิลพูดกับแคลร์อย่างสุภาพ 

 

 

“อืม” แคลร์วางถ้วยชาลง สายตาของนางสบกับผู้คนที่ดูเหมือนจะเดินผ่านห้องโถงไป แต่จริงๆ แล้วเดินผ่านประตูเพื่อมาดูนาง คนเหล่านั้นงุนงงและไม่อยากเชื่อ แคลร์เข้าใจดีว่าสถานะในวิหารแห่งความมืดของสองพี่น้องตระกูลสีและบิล    ไม่น่าจะต่ำต้อย ท่าที    สุภาพของบิลที่มีต่อนางจึงทำให้ผู้คนสงสัย     

 

 

“แคลร์ เจ้าเป็นนักรบเวทย์นี่!” สีเฉ่าฉีขยับเก้าอี้ไปนั่งตรงหน้าแคลร์  

 

 

“เจ้าต่างหากที่ประเมินศัตรูต่ำเกินไป” สีเฉ่าซื่อพูดเบาๆ 

 

 

“ใช่ ลุง ถ้าวันนี้เจ้าไม่ได้อาจารย์ของเจ้ามาช่วยไว้ เจ้าก็คงจะไปสบายแล้วล่ะ” แคลร์หยิบถ้วยชาขึ้นมา นางดื่มชาดอกไม้ที่อยู่ในนั้นหมดไปแล้ว แต่นางก็ถือถ้วยขึ้นมาและยื่นไปตรงหน้าสีเฉ่าซื่อ ความหมายชัดเจนมากๆ สีเฉ่าซื่อถึงกับหมดคำพูดและหยิบกาน้ำชาขึ้นมาเติมให้แคลร์ 

 

 

ไปสบาย? แม้ว่าสีเฉ่าฉีจะไม่ค่อยเข้าใจความหมายของคำนี้ แต่เขาก็เข้าใจว่า ไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่นอน ความหมายน่าจะใกล้ๆ กับคำว่าตาย 

 

 

“ข้าแก่ขนาดนั้นเลยหรือ? เจ้าถึงมาเรียกข้าว่าลุงเนี่ย!” สีเฉ่าฉีประท้วง 

 

 

“ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่” แคลร์ถามพร้อมกับจิบชา 

 

 

“ยี่สิบสอง” สีเฉ่าฉีตอบอย่างจริงจัง 

 

 

“เช่นนั้นก็ใช่แล้วล่ะ ข้าอายุแค่สิบสี่เอง” แคลร์พูดอย่างไม่อาย อายุจริงของนางยี่สิบกว่า แต่ภายนอกนางอายุสิบสี่ ดังนั้นนางจึงไม่ได้โกหก 

 

 

“อายุห่างกันแค่แปดปี ทำไมเรียกข้าว่าลุง!” สีเฉ่าฉีดิ้นบนเก้าอี้อย่างไม่ยอม             

 

 

“เจ้าอายุยี่สิบสอง แต่แพ้คนที่อายุน้อยกว่าเจ้าแปดปีเลยนะ” เสียงของสีเฉ่าซื่อดังขึ้นอีกครั้ง 

 

 

สีเฉ่าฉีแทบจะวิ่งหนี     

 

 

แคลร์ดมกลิ่นชาและยิ้มให้สีเฉ่าฉีที่กำลังจะหนีไป สองพี่น้องนี้น่าสนใจจริงๆ 

 

 

ตอนที่สีเฉ่าฉีกำลังจะลุกขึ้นเพื่อโต้เถียงกับสีเฉ่าซื่อก็มีเสียงฝีเท้าเร็วๆ เดินมาที่ประตู 

 

 

มีความโกลาหลเกิดขึ้นที่ประตูและดูเหมือนว่าจะมีคนมา 

 

 

“อาจารย์“ 

 

 

“อาจารย์” 

 

 

เสียงที่ประตูยังคงดังขึ้นอีก 

 

 

โอ้ ที่แท้ก็หัวหน้าระดับสูงสุดของวิหารแห่งความมืดมาสินะ? ผู้นำของวิหารแห่งความมืดงั้นหรือ? 

 

 

สายตาของแคลร์ย้ายไปที่ประตู ชายชราในชุดคลุมสีเข้มก็ปรากฏตัวขึ้น เสื้อคลุมสีดำของเขาเข้มกว่าของทุกคนที่อยู่รอบตัว     ดวงตานกอินทรีเป็นประกาย แม้ว่าผมและเคราจะขาวเล็กน้อย แต่การก้าวเดินนั้นมั่นคงผิดปกติและลมหายใจก็    ถูกยับยั้งไว้ ดูท่าทางเขาจะเป็นยอดฝีมือเลยทีเดียว 

 

 

“เทพธิดาในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวแล้ว!” ชายชราเดินเข้ามาและมองนาง จากนั้นก็พูดคำพูดแรกกับแคลร์ที่ทำให้นางตกตะลึง ทุกคนที่อยู่นอกห้องโถงก็ตกตะลึงเช่นกัน 

 

 

เทพธิดา? 

 

 

เทพธิดาของวิหารแห่งความมืด? 

 

 

แคลร์มองชายชราที่มุ่งตรงมาและสายตาของเขาก็หยุดตรงที่นาง 

 

 

จากนั้นแคลร์ก็ยื่นนิ้วชี้ไปที่จมูกของตัวเองแล้วถาม “เรียกข้าหรือ?” 

 

 

“แน่นอน เทพธิดา  ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวเสียที” พระสันตปาปาแห่งความมืดยิ้มและเดินไปหาแคลร์ 

 

 

“ท่านจำผิดคนหรือไม่?” แคลร์กระตุกปาก 

 

 

“ไม่หรอก ไม่ใช่เจ้าหรือที่สามารถเรียกเทพเจ้าแห่งความมืดผู้ยิ่งใหญ่ของเราออกมาได้ ใครจะสามารถสื่อสารโดยตรงกับเทพเจ้าแห่งความมืดผู้ยิ่งใหญ่ได้ล่ะ ถ้าไม่ใช่เจ้าแล้วจะเป็นใครได้อีก?” เสียงของพระสันตปาปาแห่งความมืดดังขึ้น คำพูดของเขายังไปถึงหูของทุกคนในห้องโถงและประตูห้องโถงอย่างชัดเจน 

 

 

แคลร์มองชายชราที่ส่องประกายตรงหน้าเงียบๆ 

 

 

วิหารแห่งความมืดแตกต่างจากวิหารแห่งแสง สถานะของเทพธิดา    ในวิหารแห่งแสงจะอยู่ภายใต้อาร์ชบิชอปและพระคาร์ดินัล ในขณะที่สถานะของเทพธิดาของวิหารแห่งความมืดนั้นจะอยู่ถัดจากพระสันตปาปาเลย หลังจากเทพธิดาแล้วก็จะตามด้วยอาร์ชบิชอป นักบวช และอื่นๆ สถานะของเทพธิดาในวิหารแห่งความมืดนั้นสูงมาก 

 

 

“เชิญทางนี้เลย ข้าต้องการคุยกับเทพธิดาตามลำพัง” พระสันตปาปายิ้มและยื่นมือออกมาด้วยท่าทางสุภาพ 

 

 

แคลร์ไม่ปฏิเสธ นางลุกขึ้นและเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับพระสันตปาปา กลุ่มคนเหล่านั้นมองหน้ากันและถูกทิ้งไว้ในห้องโถง มีเพียงรอยยิ้มที่อธิบายไม่ได้ปรากฏบนใบหน้าของบิล 

 

 

“ท่านนักบวช เกิดอะไรขึ้น?” 

 

 

“หญิงผู้นั้นมาจากวิหารแห่งแสงไม่ใช่หรือ?” 

 

 

“สิ่งที่พระสันตปาปาพูดเป็นความจริงหรือ? เด็กหญิงผู้นั้นสามารถอัญเชิญเทพเจ้าแห่งความมืดผู้ยิ่งใหญ่ของเราออกมาได้หรือ? แถมยังสามารถสื่อสารโดยตรงกับเทพเจ้าของเราได้ด้วยหรือ?” 

 

 

“เป็นไปได้อย่างไรเป็นอย่างนั้นจริงๆหรือ? ท่านนักบวช มันเกิดอะไรขึ้น?” 

 

 

ในขณะที่ผู้คนตรง    ประตูไม่สนใจเรื่องมารยาทอีกต่อไปแล้ว พวกเขาเข้ามาล้อมรอบบิลเและถามอย่างร้อนใจ แต่จะไปว่าพวกเขาก็ไม่ได้ตำแหน่งเทพธิดาว่างมานานมากแล้ว ตอนนี้จู่ๆ เด็กหญิงคนหนึ่งก็ดูเหมือนจะมาอยู่ในตำแหน่งนี้ อีกทั้งยังดูเหมือนว่านางจะมาจากวิหารแห่งแสงด้วย! นี่เป็นเรื่องที่ยอมรับไม่ได้! 

 

 

“คำพูดของพระสันตปาปาเป็นความจริง” สีเฉ่าซือพูดเบาๆ “มาสิ ทุกคนมาดูคริสตัลความทรงจำนี้กัน” สีเฉ่าซื่อหยิบคริสตัลความทรงจำขนาดเล็กออกมาและวางไว้บนโต๊ะ คริสตัลเต็มไปด้วยพลังเวทย์และฉากที่สีเฉ่าฉีเผชิญหน้ากับแคลร์ก็ปรากฏขึ้น 

 

 

สีเฉ่าฉีร้องแปลกๆ ออกมาและพยายามจะฉกคริสตัลความทรงจำไป เขาไม่อยากให้คนจำนวนมากเห็นว่าเขาแพ้แคลร์ 

 

 

“จับเขาไว้” พอสีเฉ่าซื่อพูดจบ ทุกคนรอบๆ ก็ไปล้อมสีเฉ่าฉีไว้ทำให้เขาไม่สามารถขยับได้ สีเฉ่าฉีมองสีเฉ่าซื่อด้วยความโกรธ แต่สีเฉ่าซื่อก็เมินเขาและ เปิดภาพในคริสตัลความทรงจำขึ้นมา 

 

 

เมื่อทุกคนเห็นว่าแคลร์เอาชนะสีเฉ่าฉีได้ พวกเขาต่างก็ส่งเสียงอุทานออกมา ความแข็งแกร่งของสองพี่น้องสีเฉ่าซื่อและสีเฉ่าฉีนั้นเป็นที่รู้กันดี แต่ความพ่ายแพ้ของเฉ่าฉีดูไม่ดีเลย แม้ว่าจะเป็นเพราะเขาประเมินศัตรูต่ำไปแต่ความแข็งแกร่งของแคลร์ก็ยังทำให้พวกเขาประหลาดใจอยู่ดี เมื่อพวกเขาเห็นว่าแคลร์ถูกยั้งไว้ด้วยดาวห้าแฉกของบิลแล้ว นางก็ตะโกนว่าเทพเจ้าแห่งความมืดจากนั้น    ภาพก็มืดลง หัวใจของทุกคนก็แทบจะหยุดเต้น! 

 

 

ภาพนั้นคือภาพของ เทพเจ้าแห่งความมืดของพวกเขาอย่างแน่นอน ครั้งสุดท้ายที่เทพเจ้าแห่งความมืดลงมา ทุกคนได้เข้าร่วมในพิธีบวงสรวงและประสบการณ์นั้นก็ทำให้ไม่รู้ลืมไปชั่วชีวิต! 

 

 

ทันใดนั้นห้องโถงก็เงียบลง ทุกคนมองไปที่คริสตัลความทรงจำบนโต๊ะด้วยความงุนงงและพูดอะไรไม่ออก     

 

 

ตะลึง! 

 

 

ตะลึงมากๆ! 

 

 

“ตอนนี้ทุกคนมีอะไรจะพูดอีกไหม?” บิลนั่งบนเก้าอี้และเคาะโต๊ะเบาๆ ด้วยมือของเขา ดึงความคิดของทุกคนกลับมา 

 

 

“ท่านนักบวช! เด็กหญิงผู้นั้นคือผู้ส่งสารของเทพเจ้าแห่งความมืดจริงๆ! นางเป็นเทพธิดาของพวกเราจริงๆ!” 

 

 

“ท่านนักบวช ที่คือจุดเปลี่ยนของเราแล้วใช่หรือไม่?” 

 

 

ในขณะนี้ผู้คนในห้องโถงต่างก็ตื่นเต้นและบรรยากาศก็ร่าเริงมาก 

 

 

…………………………………………………………………………….