บทที่ 167 มีจุดประสงค์อะไร

ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน

บทที่ 167 มีจุดประสงค์อะไร

ตั้งแต่แรกเริ่ม นางไม่อาจเดาใจคุณชายฉินได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ แต่คุณชายฉินกลับมองออกอย่างง่ายดายว่านางคิดอะไรอยู่ จนถึงขั้นควบคุมและชี้นำทางความคิดของนางได้ จางซิ่วเอ๋อก็รู้เลยว่าหากตัวเองจะต่อกรกับคุณชายฉินจริง ๆ ก็มีโอกาสสูงมากว่าจะสู้ไม่ได้

จางซิ่วเอ๋อถามอย่างอดไม่ได้ “ที่วันนี้ท่านมาหาข้ามีจุดประสงค์อะไร? คงไม่ได้มาเพื่อหัวเราะเยาะข้าแล้วถากถางข้าหรอกนะ?”

จางซิ่วเอ๋อคิดว่าตัวเองไม่ได้บอกคุณชายฉินว่าตัวเองเป็นใคร คุณชายฉินยังหาเจอ หมายความว่าต้องตั้งใจมาหาตัวเองแน่ ๆ

แต่นางมีอะไรให้คุณชายต้องตั้งใจมาหากันนะ?

ฟังจากที่คุณชายฉินพูด เหมือนเขาจะไม่ได้มาแก้แค้นเสียด้วย

จางซิ่วเอ๋อมีความคิดในใจอย่างหนึ่ง ในเมื่อคุณชายฉินกลับมาที่เมืองชิงสือได้ เขาต้องไปอิ๋งเค่อจวีเป็นแน่แท้….

หรือว่า…..

เถ้าแก่เฉียนที่อิ๋งเค่อจวีขายนางรึ?

คิดมาถึงตรงจางซิ่วเอ๋อก็นึกหงุดหงิด เริ่มเสียใจในเรื่องที่ตัวเองตาโตไปกับผลประโยชน์เดือนละ 4 ตำลึงเงินเสียได้

คนอย่างคุณชายฉินดูก็รู้ว่าต่อกรด้วยยาก ถ้าคุณชายฉินจะใช้กำลังเอาสูตรเครื่องเทศไปจะทำอย่างไร?

พอคิดได้แบบนี้ นอกจากจางซิ่วเอ๋อจะไม่สบายใจแล้ว ยังยิ่งกลุ้มใจหนักเข้าไปใหญ่

นี่มันน่ากลัวยิ่งกว่ามาแก้แค้นกันเสียอีก!

คุณชายฉินเอ่ยยิ้ม ๆ “เจ้าเดาจุดประสงค์ข้าได้แล้วไม่ใช่เหรอ?”

จางซิ่วเอ๋อได้ยินแล้วก็ใจหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม ความคิดที่ว่าอาจจะไม่ใช่เรื่องนี้สลายหายไปจนสิ้น

จางซิ่วเอ๋อมองคุณชายฉินพลางถอนหายใจ “พูดมาเลยว่าท่านอยากทำอะไร?”

คุณชายฉินพูดด้วยท่าทางไม่ใส่ใจ “ไม่รู้ว่าเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรหรือ?”

จางซิ่วเอ๋อถลึงตาใส่คุณชายฉิน “ข้าจะบอกให้นะ ถึงแม้ข้าจะเป็นเพียงสตรีอ่อนแอ แต่ก็ใช่ว่าจะปล่อยให้มาหลอกกันได้ง่าย ๆ ถ้าท่านจะใช้กำลังซื้อขายกัน ต่อให้ข้าต้องเอาสูตรเครื่องเทศเข้าไปในโลงด้วยก็ไม่มีทางบอกท่าน”

คนติดตามชุดเขียวเบ้ปาก คุณชายตัวเองบริหารเก่ง ไม่เคยยอมเสียเปรียบ แต่ก็ไม่ทำการค้าขายแบบใช้กำลังบังคับหรอกนะ

ถ้าอยากจะใช้กำลังบังคับซื้อขายจริง ๆ ให้เขามาเองก็ได้! จำเป็นต้องถึงมือคุณชายของเขาหรือไงกัน?

สตรีนางนี้ดูถูกคุณชายของเขาเกินไปรึเปล่า?

จางซิ่วเอ๋อโดนเด็กติดตามชุดเขียวดูแคลนเสียอย่างนั้น

คุณชายฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “ถ้าข้าอยากบังคับเจ้าให้ทำอะไรจริง ๆ แม้แต่โอกาสลงโลง เจ้าก็ไม่มี”

พูดมาถึงตรงนี้คุณชายฉินหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะ “เจ้าอารมณ์เสียขนาดนั้นไปทำไมกัน? ที่วันนี้ข้ามาหาเจ้าก็เพราะข้าสนใจเครื่องเทศนั่น”

คุณชายฉินครุ่นคิดแล้วเอ่ยขึ้น “ 5,000 ตำลึงเงินเป็นอย่างไร?”

จางซิ่วเอ๋อคำนวณดู ถ้านางขายเครื่องปรุงนี่ให้อิ๋งเค่อจวี 5,000 ตำลึงเงินนี่พอให้นางขาย 100 ปีเลยล่ะ

เรียกได้ว่าราคาที่คุณชายฉินให้มายุติธรรมมาก

พอคิดได้แบบนี้ สีหน้าที่จางซิ่วเอ๋อมองคุณชายฉินอ่อนลง บางทีคุณชายฉินอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ตัวเองคิดก็ได้

แต่….นางไม่อยากขายสูตรเครื่องเทศนี่เสียอย่าง ดังนั้นนางก็จะไม่ขาย!

5,000 ตำลึงเงินดูเหมือนไม่น้อย เพียงพอให้ทั้งนางและน้องสองคนอยู่อย่างสบายไปทั้งชาติ

ถ้าเป็นพวกไม่มองการณ์ไกลอาจจะตกลงไปแล้ว แต่จางซิ่วเอ๋อจะตกลงง่าย ๆ แบบนี้ได้อย่างไรกัน?

นางเคยเห็นแล้วว่าต่อให้เป็นเครื่องเทศที่ธรรมดาที่สุดก็ยังสามารถทำให้ติดในรสชาติกันทุกครัวเรือน กลายเป็นของจำเป็นในชีวิตเหมือนพวกน้ำมันพวกเกลือ

และเครื่องเทศนี่ต้นทุนต่ำมาก กำไรน่าดูชม

หากเป็นที่นิยมในวงกว้างได้ สิ่งที่รอนางอยู่จะไม่ใช่แค่ 5,000 ตำลึงเงินหรอกนะ แต่เป็นกองเงินกองทอง

จางซิ่วเอ๋อมั่นใจว่าตัวเองไม่ใช่คนโลภ และไม่ได้คิดจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในยุคโบราณอะไรหรอก แต่นางไม่คิดจะเอาของของตนไปอำนวยความสะดวกให้คนอื่นหรอกนะ

หากวันใดวันหนึ่งสูตรเครื่องเทศนี้ดังระเบิดระเบ้อด้วยมือผู้อื่น ขนาดตัวเองจะกินเครื่องเทศที่ตนเป็นต้นคิดยังต้องซื้อเอา ต้องเป็นเรื่องที่เจ็บใจสุด ๆ แน่!

สรุปก็คือ จางซิ่วเอ๋อไม่ยอมขายสูตรเครื่องเทศง่าย ๆ หรอก

คุณชายฉินมองจางซิ่วเอ๋ออย่างพิจารณา คิดจะมองให้ออกจากใบหน้าของจางซิ่วเอ๋อว่านางคิดเห็นอย่างไร

คุณชายฉินเชี่ยวชาญการเดาใจคน ในสายตาคุณชายฉินจางซิ่วเอ๋อเป็นคนธรรมดา แต่นาทีนี้คุณชายฉินเดาไม่ถูกจริง ๆ ว่าจางซิ่วเอ๋อคิดอะไรในใจ

เมื่อครู่เขาสำรวจดูบ้านของจางซิ่วเอ๋อเรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนเรียบร้อยแต่จริง ๆ แล้วทรุดโทรมอย่างสุดแสน

ชีวิตความเป็นอยู่ของจางซิ่วเอ๋อคงไม่ได้อู้ฟู่เท่าใด

สำหรับจางซิ่วเอ๋อ 5,000 ตำลึงเงินนั่นคงไม่ใช่เงินจำนวนน้อย

แต่ตอนที่จางซิ่วเอ๋อได้ยินคำว่า 5,000 ตำลึงเงิน นอกจากจะไม่มีรอยยิ้มปิติแล้วก็ไม่มีสีหน้าคาดหวังด้วย กลับมีสีหน้าครุ่นคิด

คุณชายฉินอึ้งมากที่นางต้องครุ่นคิด

จางซิ่วเอ๋อคิดอะไรอยู่กันแน่? ถึงเป็นเหตุให้นางไม่สนใจ 5,000 ตำลึงเงินนั่น

คุณชายฉินมองเด็กติดตามชุดเขียว เด็กติดตามชุดเขียวหยิบตั๋วเงินออกมาตั้งหนึ่งอย่างว่องไว คุณชายฉินวางตั๋วเงินเหล่านั้นลงบนโต๊ะ มองจางซิ่วเอ๋อพลางกล่าว “ข้านำตั๋วเงินมาแล้ว เจ้าเอาไปเมื่อไหร่ก็ได้”

“ถ้าเจ้ามองว่าตั๋วเงินไม่มั่นคง ข้าให้คนไปแลกเป็นตำลึงเงินให้เจ้าได้เดี๋ยวนี้เลย” คุณชายฉินกล่าว

จางซิ่วเอ๋อเงยหน้า มองคุณชายฉินและเอื้อนเอ่ย “คุณชายฉิน ท่านคิดว่าข้าไม่เชื่อใช่ไหมว่าท่านจะเอาตำลึงเงินจำนวนนี้ให้ข้าได้? หรืออาจจะคิดว่าท่านเป็นพวกสิบแปดมงกุฎ?”

คุณชายฉินมีสีหน้าอึดอัดแวบผ่าน แต่เขาใจเย็นได้อย่างรวดเร็วและเอ่ยขึ้น “ข้าแค่อยากให้เจ้าเห็นความจริงใจของข้า”

จางซิ่วเอ๋อหัวเราะ “ข้าเชื่อใจท่าน เชื่อขนาดที่ว่าต่อให้ข้าเรียกหมื่นตำลึงเงินท่านก็ให้ได้”

หมื่นตำลึงนี้ดูเหมือนโก่งราคา แต่จางซิ่วเอ๋อรู้ว่าในเมื่อคุณชายฉินยอมควัก 5,000 ตำลึงเงินมาซื้อสูตรเครื่องเทศของตัวเองก็เล็งเห็นอนาคตของเครื่องเทศนี้แล้ว

ในเมื่อมองเห็น ต่อให้เป็นหมื่นตำลึงเงินคุณชายฉินก็จ่ายได้

เด็กติดตามชุดเขียวข้าง ๆ ได้ยินแล้วร้อนใจขึ้นมา ทำไมสตรีนางนี้ได้คืบจะเอาศอกล่ะ มีแสงแดดก็เบ่งบานเชียวนะ!

แต่ต่อให้เขาไม่พอใจขนาดไหน เวลานี้ก็ไม่กล้าปริปากพูดอะไร

เขารู้ดีแก่ใจว่าตอนที่คุณชายตัวเองคุยธุรกิจอย่างกับเป็นคนละคน เกลียดการที่คนอื่นพูดแทรกเป็นที่สุด

ต่อให้ปกติคุณชายจะดีกับเขา ตามใจเขา แต่ในเรื่องแบบนี้ไม่ยอมให้เขาทำตามอำเภอใจหรอก

ถึงแม้การมาที่แบบนี้และบทสนทนาของจางซิ่วเอ๋อจะดูไม่เหมือนมาคุยธุรกิจ แต่ความจริงแล้วทั้งสองคุยธุรกิจกันนั่นแหละ

ภายใต้สถานกาณ์แบบนี้ ต่อให้เด็กติดตามชุดเขียวเหม็นขี้หน้าจางซิ่วเอ๋อก็ได้แต่จำทน

คุณชายได้ยินที่จางซิ่วเอ๋อพูดแล้วประหลาดใจนิดหน่อย “ทำไมเจ้าถึงมั่นใจขนาดนั้นล่ะว่าข้าจะทำตามข้อเรียกร้องของเจ้า”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

น้องฉลาดไม่เบานะคะ อย่าคิดเอาเศษเงินมาล่อน้องเลยค่ะ

นึกถึงเวลาเราทำอะไรสักอย่างแล้วโดนก็อปไปขายจนดังกว่าต้นตำรับแถมยังฟ้องร้องไม่ได้ มันก็น่าเจ็บใจใช่ไหมล่ะคะ

ไหหม่า(海馬)