“คราวก่อนก็มีคนโทรเข้ามาแบบนี้ ฉันสงสัยว่าเป็นคนๆเดียวกัน เสียงแบบนี้ฉันจำได้” เสี่ยวเชี่ยนไม่อยากปิดบังอวี๋หมิงหลาง จึงเอาสิ่งที่รู้พูดออกมา
“เสียงฟังดูแหบๆ ติดสำเนียงท้องถิ่นหรือเปล่า?”
เสี่ยวเชี่ยนงง “นายรู้ได้ไง?”
อวี๋หมิงหลางหยิบโทรศัพท์ออกมากดโทรพร้อมสั่งผู้กำกับ
“ขอเบอร์ที่โทรเข้ามาเมื่อกี้หน่อยครับ ดูว่าเป็นเบอร์อะไร—ฮัลโหล ไงเพื่อนเก่าฉันอวี๋หมิงหลางนะ”
ถ้าเขาอยู่ ห้ามมีคนมารังแกผู้หญิงของเขา
“เหม่ยเหวย ให้แจ้งตำรวจไหม?” ผู้กำกับถามเสี่ยวเชี่ยน
เสี่ยวเชี่ยนมองอวี๋หมิงหลางโทรศัพท์แล้วส่ายหน้า
“ให้เขาจัดการไวกว่าตำรวจอีก”
ถ้าเดาไม่ผิดล่ะก็ อวี๋หมิงหลางโทรหาเพื่อนที่อยู่ที่นี่ การที่เขาเรียกว่าเพื่อนเก่า 80-90%คงเป็นเพื่อนสมัยตอนเรียนทหารด้วยกัน รุ่นเดียวกันยศก็คงไม่ต่ำ ต่อให้ย้ายไปอยู่หน่วยงานอื่นก็คงไม่ธรรมดา
เสี่ยวเชี่ยนเดาถูก
อวี๋หมิงหลางกำลังโทรหาเพื่อนสมัยเรียนโรงเรียนทหาร เพื่อนคนนี้ปีนี้เพิ่งย้ายมาเป็นหัวหน้าหน่วยตำรวจสืบสวนพิเศษของที่นี่
“เอาภาพจากกล้องวงจรปิดในช่วงเวลาที่บอกออกมาให้หน่อย ฉันไม่เชื่อหรอกว่ามันจะเป็นแมลงวันบินหนีออกไปได้” อวี๋หมิงหลางวางสาย ผู้กำกับที่ยืนอยู่ข้างๆแอบกลัวกับท่าทางขึงขังของเขา หมั้นเหม่ยเป็นใครกันแน่ น่ากลัวจัง…
“ไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวพี่จะจับมันมาแล้วเราถีบไข่มันให้แตกเลย เรื่องเล็กไม่ต้องกลัวนะ” หมั้นเหม่ยรีบปรับสีหน้าจากจอมโหดกลายเป็นยิ้มหวานให้เสี่ยวเชี่ยน
ผู้กำกับเห็นแล้วดวงตาแทบถลนออกจากเบ้า คนๆเดียวกันทำไมปั้นหน้าได้เยอะแบบนี้?
เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าอวี๋หมิงหลางกำลังปลอบเธอ ครั้นแล้วจึงยิ้มแบบมีเลศนัยให้เขา
“ทำให้ดีๆล่ะ จับไอ้โรคจิตนั่นได้เมื่อไร เดี๋ยวฉันเลี้ยงแตงโม”
แตงโม อวี๋หมิงหลางมีกำลังใจขึ้นทันที เพื่อแตงโมที่ใฝ่ฝัน เพื่อศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย สู้โว้ย
มีเขานี่ดีจริงๆ
เสี่ยวเชี่ยนเดินเข้าห้องออกอากาศอย่างสบายใจแล้วทำงานต่อจนเสร็จ ผู้กำกับเห็นแล้วก็อึ้งๆ เดิมเธอได้เตรียมใจไว้แล้วว่า ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้เหม่ยเหวยคงไม่มีอารมณ์ทำงานต่อแน่นอน คงต้องหยุดรายการแล้วเปิดเพลงแกล้งทำเป็นเครื่องขัดข้อง
กลับนึกไม่ถึงว่าเสี่ยวเชี่ยนจะจิตใจเข้มแข็งขนาดนี้ เธอทำงานต่ออย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ส่วนหมั้นเหม่ยที่อยู่ด้านนอกก็แทบไม่ได้หยุด ผ่านไปไม่ถึงสิบนาทีคนในเครื่องแบบก็มาถึง
เครื่องแบบของตำรวจสืบสวนพิเศษเท่ห์มาก ชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้มบวกกับเสื้อกล้ามกันกระสุน สวมหมวกกันน็อค แต่งมาแบบเต็มยศ
คนที่นำมารูปร่างสูงมาก สูงกว่าอวี๋หมิงหลางที่สูง185เซนติเมตรนิดหน่อย อย่างน้อยๆคง190 หน้าตาขึงขัง ดูแล้วเหมือนไปโกรธใครมา
“หมิงหลาง”
“ต้ากว่าง”
อวี๋หมิงหลางกับผู้ชายคนนี้ต่างชกไหล่กันและกัน พอทั้งสองคนยืนด้วยกันให้ความรู้สึกเหมือนชายหนุ่มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังฮอร์โมน เสน่ห์ทะลุปรอทแตก ผู้กำกับรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ทัน
ความรู้สึกที่เหมือนสองฮีโร่กำลังสนทนากันอยู่นี้ดำเนินอยู่แค่ไม่กี่วินาที จากนั้นบรรยากาศเหมือนเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ก็เริ่มแผ่ซ่าน
“แกนี่ ทำไมพาคนมาเยอะแบบนี้ ติดอาวุธพร้อมด้วย?” ในมือของอวี๋หมิงหลางไม่รู้ว่ามีปืนมาถืออยู่ตั้งแต่เมื่อไร ตำรวจนายหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างต้ากว่างรีบเอามือลูบปลอกใส่ปืนของตัวเอง ไม่รู้ว่าปืนหายไปตอนไหน
“หัวหน้า เขาขโมยปืนผม”
ต้ากว่างที่ถูกเรียกหัวหน้าส่งสัญญาณมือกับลูกน้องบอกให้ใจเย็นๆ
“ถ้าเขาอยากขโมยจริงๆนายไม่รู้ตัวหรอก อีกอย่างอาวุธเครื่องมืออะไรของพวกเขาก็พร้อมกว่าพวกเรามาก เขาไม่สนใจปืนของพวกเราหรอก”
นี่คือความจริง หัวหน้าหน่วย011ของทหารบกระดับA อาวุธยุทธโธปกรณ์ล้วนล้ำสมัยที่สุด อาวุธที่ผ่านมืออวี๋หมิงหลางล้วนเป็นรุ่นล่าสุด เบื้องบนให้งบกับเขาเยอะที่สุด
อวี๋หมิงหลางเล่นปืนของอีกฝ่ายแล้วพยักหน้า
“ดูอาวุธของพวกนายก็ใช้ได้อยู่นะ แต่ปืนควรถึงเวลาบำรุงรักษาแล้ว เพื่อนเก่าเรียกมาช่วยงานนิดหน่อยเอง จะพกอาวุธมาทำไม แถมยังพาคนมาเยอะแยะ ทำแบบนี้ฉันจะติดค้างน้ำใจเอานะ”
ต้ากว่างเบ้ปาก พลางทำหน้าอยากอาเจียน “อย่ามาพูดจาให้ตัวเองดูดีหน่อยเลย ตำรวจสืบสวนพิเศษอย่างพวกเราทำงานไปตามกฎหมาย จะเป็นไปได้ไงที่จะมาเพราะเรื่องส่วนตัวของนาย?”
อวี๋หมิงหลางได้ยินดังนั้นก็รู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นแล้ว
“เกิดเรื่องเหรอ?”
“อืม”
ในความเป็นจริงต้ากว่างได้พาลูกน้องลาดตระเวนไปตามถนน พอได้รับสายจากอวี๋หมิงหลางก็เลยมา
“ใช้คนของฉันไหม?” อวี๋หมิงหลางถาม
ทำน้ำเสียงเหมือนตัวเองดีเลิศอีกแล้ว หลินเจ๋อกว่างหัวหน้าตำรวจสืบสวนพิเศษรำคาญนิสัยนี้ของอวี๋หมิงหลาง ครั้นแล้วตำรวจที่ติดตามเขามาก็เห็นหัวหน้าตัวเองที่ปกติมีนิสัยเลือดร้อนชูนิ้วกลางขึ้น
เอ่อ เกิดการท้าทายอีกแล้ว เจอหัวหน้าแบบนี้พวกเขาก็หมดหวังนะ
แต่ผู้ชายคนนี้ดูก็รู้ว่าไม่ธรรมดา—อวี๋หมิงหลางเก่งจริงๆ คำพูดเดียวก็ทำให้หัวหน้าโมโหได้
“ไม่จำเป็น ไม่มีพวกนายคิดว่าพวกเราทำคดีไม่ได้เหรอ? ฉันเหม็นขี้หน้าแกตั้งแต่อยู่โรงเรียนแล้ว วันๆเอาแต่คิดว่าตัวเองเก่ง”
อวี๋หมิงหลางเอามือปัดผมอย่างสบายๆ “ฉันก็ไม่ได้เก่งมากมายอะไร มากสุดก็แค่คะแนนวิชาวัฒนธรรมบี้นายซะแบนแต๊ดแต๋ วิชายิงปืน นัดเดียวเขี่ยนายทิ้งได้ ทดสอบการรบฉันก็เป็นที่หนึ่งตลอด ทิ้งที่สองชนิดไม่เห็นฝุ่น—อ้อ นายเป็นที่สองใช่มะ? เอ๊ะ ที่สองตลอดกาล ตอนนี้นายก็เป็นหัวหน้าแล้วนี่”
ถ้าหลินเจ๋อกว่างไม่ได้อยู่ในเวลางานสวมเครื่องแบบเต็มยศแบบนี้ เขาอยากจะท้าสู้อวี๋หมิงหลางตัวต่อตัว
“แต่วิ่งระยะสั้นฉันทำนายเป็นหมาได้เลยนะ ฮ่าๆๆ”
“เก่งนักก็มาวิ่งห้ากิโลสิ โอ๊ะ มีครั้งหนึ่งใครบางคนวิ่งจนขาดใจ ใครแบกไปถึงเส้นชัยนะ?”
หลินเจ๋อกว่างหัวเราะไม่ออก
เขาก้าวขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว “นายไม่เคยเล่นบาสชนะฉัน”
อวี๋หมิงหลางเองก็ไม่ยอมแพ้ “นั่นเป็นเพราะเพื่อนในทีมฉันมันเป็นหมู นายเล่นหมากล้อมเคยชนะฉันไหมล่ะ?”
“ฉันกินข้าวเร็วกว่านาย”
“ขอให้กินข้าวไม่เคี้ยวจนเป็นกระเพาะอักเสบ”
“ฉันฉี่ได้ไกลกว่านายอีกฮ่าๆๆ”
ตำรวจสองนายที่มากับหลินเจ๋อกว่างหันตัวหนีพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ทำเป็นไม่รู้จักหัวหน้า
น่าขายหน้าที่สุด
นี่มันเรื่องไร้สาระสิ้นดี ช่วงแรกก็ยังพอทน แต่หลังๆนี่อะไรวะ? เรื่องฉี่ได้ไกลกว่าไม่ใช่พวกเด็กมอต้นทำกันเหรอ?
เด็กจริงๆ
ขณะที่อวี๋หมิงหลางกำลังจะยกเรื่องขึ้นมาสู้ต่อ สายตาก็เหลือบไปเห็นว่าเสี่ยวเชี่ยนเสร็จงานแล้วเดินออกมาจากห้องทำงาน ทันได้ยินเรื่องที่ต้ากว่างพูดว่าแข่งฉี่
ผู้ชายที่มีมันสมองฉลาดกว่าผู้ชายที่มีแต่พละกำลัง ครั้นแล้วอวี๋หมิงหลางจึงรีบทำสีหน้าเหยียดๆแล้วเดินไปทางเสี่ยวเชี่ยน แบ่งแยกกับคนโง่คนนั้นอย่างชัดเจน
“ขับถ่ายเรี่ยราดสกปรกจริงๆ เสียวเหม่ยวางใจได้ ผมไม่ใช่คนแบบนั้นแน่นอน ผมเป็นผู้ชายที่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูมาอย่างดี ต่อให้เป็นสมัยเรียนผมก็ไม่มีทางทำเรื่องแบบนั้นหรอก”