บทที่ 76 ยอมจำนน
บึงหลิงหยวน
โจวจวินเจียกับถังหมิงยืนเคียงกันอยู่บนดาดฟ้าเรือ ‘วาโยเลื่อน’ ทั้งสองกำลังทอดสายตาไปไกล
ที่ไกล ๆ นั้นมีน้ำวนขนาดใหญ่ที่หมุนวนแรงราวกับภายใต้กำลังมีบางอย่างหมายจะดูดกลืนทุกสิ่งอย่างลงไป
“ดู นั่นคือน้ำวนปีศาจ จระเข้ปีศาจต้องอยู่ไม่ไกลแน่ !” โจรสลัดกู่ร้องแล้วชี้ไปที่น้ำวน ในน้ำเสียงปิดแววสั่นกลัวไม่มิด
ในสายตาเขา จระเข้ปีศาจเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าเกรงขามที่สุดในแถบนี้ โจรสลัดทั้งหลายพยายามหลบเลี่ยงมันเท่าที่จะทำได้แต่ก็ไร้ผล แต่หัวหน้าพวกเขาไม่พอใจกับสินค้าที่ปล้นมาได้ ต้องการไล่สังหารอสูรกายที่ทรงพลังที่สุดในน่านน้ำนี้อีก ดูท่าจะไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วกระมัง
ในใจอาจจะด่าว่ากล่าวไม่เห็นด้วย แต่สุดท้ายก็ยังโดนลากมาด้วยอยู่ดี
น้ำวนเบื้องหน้าหมุนวนไปเรื่อย น้ำจำนวนมหาศาลถูกดูดลงไป จากนั้นก็เห็นจระเข้ยักษ์โผล่ขึ้นเหนือน้ำ
มันตัวใหญ่โตมโหฬารมาก คล้ายกับภูเขาลูกหนึ่ง ผงกหัวคราหนึ่งก็พลิกเรือคว่ำได้ นัยน์ตาเย็นเยียบไร้อารมณ์จ้องมองมาทางพวกเขาราวกับเทพแห่งความตาย
โจรสลัดแก่ร้องขึ้นด้วยความหวาดกลัวเมื่อเห็นหัวจระเข้ยักษ์โผล่ขึ้นมา “มันออกมาแล้ว พวกเจ้าไม่น่ามาที่นี่เลย ! หากทำให้มันตกใจก็ไม่มีใครหนีมันพ้นแน่ !”
“ก็ไม่ได้คิดหนีอยู่แล้ว” ถังหมิงหัวเราะ
“อย่าบ้าไปหน่อยเลย ! พวกเจ้าเอาชนะมันไม่ได้หรอก มันเป็นอสูรกายระดับกลาง ! ระดับกลางเลยนะ ! กระทั่งกองกำลังขุนเขาหยกยามเผชิญหน้ากับมันยังถอยหนีเลย”
“อสูรกายระดับกลาง !” เจียงหานเฟิงเป่าปาก “กองกำลังขุนเขาหยกเจอแล้วถอยหรือ ? ฟังดูน่าประทับใจจริง ศิษย์พี่หญิงจวินเจียคิดเห็นอย่างไร ? ท่านรับมือได้หรือไม่ ?”
โจวจวินเจียส่งยิ้มหวาน “อาจจะยากหน่อย แต่ก็มีพวกเจ้าไม่ใช่หรือ ? ตั้งค่ายกลได้ !”
“ตั้งค่ายกล !” อู๋เสี่ยวร้องเสริม
เจียงหานเฟิง เว่ยหยาง หม่าเซวียน และเหยียนหลิงเคลื่อยกายพร้อมกัน แต่ละคนถือแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดไว้ในมือ แผ่นรูปแบบต้นกำเนิดทั้งสี่ค่อย ๆ เปล่งแสงเรืองออกมาพร้อมกันบนเรือ ‘วาโยเลื่อน’ แผ่นรูปแบบต้นกำเนิดทั้งสี่พลันสฃายร่างมารวมกัน สร้างค่ายกลต้นกำเนิดขนาดใหญ่ขึ้น
โจวจวินเจียยืนอยู่กลางค่ายกล เรือนผมยาวสะบัดพลิ้วตามแรงลม นัยน์ตาเริ่มเปล่งแสงจ้าออกมา
เป็นตอนนั้นเองที่พลังจิตของนางเริ่มแผ่ขยายออกมา
เมื่อพลังจิตค่อย ๆ แผ่ออกมา โจวจวินเจียก็ยกมือทั้งสองขึ้น คลื่นพลังไร้รูปร่างพุ่งออกมาจากสองมือ หาดเข้าที่หัวเจ้าจระเข้ปีศาจ
“กรรรรร !”
จระเข้ปีศาจเปล่งเสียงร้องขุ่นเคืองยาวออกมา
ด้วยมันสัมผัสได้ว่ามีคนหมายจะควบคุมมัน
อสูรกายนั้นต่างจากอสูรร้าย มีสติปัญญาและสามารถคิดอ่านรู้เรื่อง ดังนั้นมันจึงรู้ทันทีว่าใครคือคนลงมือ
“กรรรรร !”
พลังจิตคลื่นหนึ่งซัดกลับมาทางโจวจวินเจีย
“อ๊า !” โจวจวินเจียร้องลั่น ที่มุมปากมีโลหิตไหลออกมา
แต่นางยังไม่ยอมแพ้ กลับเผยยิ้มยินดีออกมา “มีดีเท่านี้เองหรือ ?”
นางตั้งจิตและเริ่มเข้าควบคุมจิตใจจระเข้ปีศาจอีกครั้งหนึ่ง
วิธีคุมอสูรร้ายของโจวจวินเจียนั้นไม่เหมือนกับจินหลิงเอ้อร์ วิธีของนางดุดันตรงไปตรงมากว่ามาก
ผีเสื้อลวงใช้เสน่ห์ลวงคน ในขณะที่วิชาของโจวจวินเจียนั้นใช้พลังดุดันเข้าควบคุมเป้าหมาย ดังนั้นคิดจะคุมจิตใครจึงต้องกระโจนเข้าใช้พลังจิตสู้กับอีกฝ่ายเสียก่อน
จุดอ่อนของวิชานี้คือการที่จะเข้าคุมจิตอีกฝ่ายได้ยาก สุดท้ายอาจถูกพลังตีกลับได้อีก เพราะหากทำพลาดก็จะถูกพลังจิตตีกลับมา
แต่หากทำสำเร็จก็นับว่าใช้พลังน้อยลงมากโข
ยามจินหลิงเอ้อร์คุมอสูรร้าย นางต้องคอยมุ่งใช้พลังงานจิตไปกับมัน ทำให้บ่มเพาะพลังเพิ่มได้ยาก ผิดกับโจวจวินเจียที่ไร้ปัญหาเช่นนั้น ตราบเท่าที่นางคุมอสูรร้ายได้ นางก็จะเก็บมันไว้ไม่ห่างตน คอยเป็นผู้คุ้มภัย สะดวกสบายว่าวิชาของจินหลิงเอ้อร์มาก
ครั้งนี้นางมาถึงบึงหลิงหยวน ดังนั้นจึงคิดหาอสูรกายประเภทน้ำเป็นอันดับแรก
นางยังไม่อาจคุมอสูรกายระดับกลางได้ ทว่าค่ายกลต้นกำเนิดช่วยเพิ่มพลังจิตนางขึ้นมาก ทำให้นางแข็งแกร่งขึ้นตามไปด้วย
พลังจิตแข็งกล้าของนางเข้าปะทะจระเข้ปีศาจราวกับคลื่นสมุทร หากมองในระดับพลังจิตแล้วคือนางทำการใช้พลังจิตเข้าห้ำหั่นกับอีกฝ่ายอย่างดุเดือดทีเดียว
หากสู้ด้วยพลังจิตอย่างเดียว โจวจวินเจียก็ไม่มั่นใจว่าจะเอาชนะจระเข้ปีศาจได้ แม้จะมีค่ายกลต้นกำเนิดก็ตามที
แต่โชคดีที่นางมีตัวช่วยอีก
ในตอนนที่โจวจวินเจียกับจระเข้ปีศาจซัดพลังจิตเข้าใส่กันอยู่นั่นเอง ถังหมิงก็วาดมือขึ้น คลื่นน้ำยกตัวขึ้นสูง เปลี่ยนร่างเป็นมังกรแล้วพุ่งเข้าใส่จระเข้ปีศาจ
หากเป็นปกติแล้ว มังกรวารีคงไม่อาจทำอะไรจระเข้ปีศาจได้มากมาย เพราะพละกำลังของอสูรกายระดับกลางไม่ใช่สิ่งที่คนด่านกลั่นโลหิตจะเทียบเคียงได้ง่าย ๆ แม้จะเป็นคนด่านกลั่นโลหิตระดับสูงฝีมือฉกาจก็ตามแต่
แต่ตอนนี้จระเข้ปีศาจกำลังสู้กับพลังจิตของโจวจวินเจีย ไม่เหลือพลังมาป้องกันการโจมตีนี้ได้ สุดท้ายจึงต้องฝืนรับมันไป
มังกรวารีขนาดใหญ่พุ่งเข้าใส่จระเข้ปีศาจ จากนั้นเปลี่ยนเป็นคมดาบเฉือนเนื้อที่หลังมันหลายรอน
แม้แผลจะปิดในพริบตา แต่การโจมตีนี้ก็กระทบกับพลังจิตของจระเข้ปีศาจ
ไม่นาน ร่างสีแดงขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหลังโจวจวินเจีย ครึ่งบนเป็นมนุษย์ ครึ่งล่างเป็นแมงมุมหกขา นี่คือสายเลือดของโจวจวินเจีย แมงมุมหกขาเป็นสายเลือดราชันอสูรทรงพลังที่ทำให้สามารถควบคุมจิตอีกฝ่ายได้มากขึ้นนั่นเอง
เมื่อแมงมุมหกขาปรากฏขึ้น มันก็อ้าปากเขี้ยวคมออกกว้างแล้วเปล่งเสียงกรีดร้องไร้เสียง ก่อนส่งกำจายกลิ่นอายราชันอสูรออกมา ทำให้คนอื่น ๆ พลันรู้สึกขนลุกตามไปด้วย ต่างสั่นกลัวไม่กล้าเคลื่อนไหว มีเพียงถังหมิงผู้ครองสายเลือดจักรพรรดิอสูรเท่านั้นที่ไม่ได้รับผลกระทบใด
นี่คือพลังของแมงมุมหกขา มันเป็นอสูรกายที่มีพลังจิตแข็งกล้ามาก ควบคุมความหวาดกลัวในใจคนได้ อีกทั้งยังแผ่ขยายความกลัวได้ราวกับโรคระบาด สิ่งใดที่อ่อนแอกว่ามันจะยอมจำนนแก่มันทันที
จระเข้ปีศาจสัมผัสได้ว่าพลังจิตอีกฝ่ายกล้าแข็งขึ้นมาก แต่มันก็ยังคิดสู้ ผืนน้ำเดือดปุดขึ้นเป็นฟอง ทันใดนั้นคลื่นขนาดใหญ่ก็พุ่งเข้าซัดใส่เรือ
“โอหังนัก !” ถังหมิงคำรามต่ำ นัยน์ตาแผ่แสงประหลาดออกมา
ด้านหลังบังเกิดหมอกอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะขึ้นมา สังเกตดูจะพบว่าในหมอกนั้นมีจมูกมีปาก หากมองไกล ๆ จะคล้ายกับสิ่งมีชีวิตบางอย่างที่มีร่างเป็นม่านหมอก
อสูรเมฆาผนึกสมุทร !
เมื่อทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิต ถังหมิงจึงสามารถเผยพลังจากสายเลือดออกมาได้อย่างแท้จริง และเมื่อเบื้องหลังปรากฏภาพมายาจากสายเลือดขึ้นแล้ว อสูรเมฆาผนึกสมุทรก็อ้าปากกว้างแล้วส่งเสียงคำรามใส่คลื่นยักษ์ที่กำลังมุ่งหน้าเข้ามา
“กรรรรรร !”
จริง ๆ แล้วมันไม่ได้ส่งเสียงใดออกมา หากแต่ในใจกลับได้ยินเสียงคำรามที่สง่างามแต่หากเต็มไปด้วยความโกรธของจักรพรรดิอสูร
เมื่อจักรพรรดิอสูรกายโกรธขึ้นมา ทุกคนเป็นต้องหลีกทางให้ !
คลื่นยักษ์พลันชะงักค้างอยู่กลางทางราวกับปะทะกำแพงล่องหน หลังจากนั้นมันก็ถอยไปและสลายตัวลงในที่สุด
ผลักคลื่นน้ำถอยไปได้ด้วยเสียงคำรามหนึ่งครั้งเท่านั้น !!
“กรรรรร !” จระเข้ปีศาจเองก็คำรามเกรี้ยวขึ้นมาเช่นกัน เห็นได้ชัดว่ามันเองก็รู้สึกได้ถึงพลังสูงส่งนี้เช่นกัน
หากไม่ใช่เพราะมันเป็นสัมผัสที่บางมาก ซึ่งหมายความว่าไม่ได้มาจากจักรพรรดิอสูรกายตัวจริง แต่เป็นสิ่งที่คล้ายกับหุ่นเชิดจักรพรรดิอสูรกายเสียมากกว่า มันก็คงทำให้จระเข้ปีศาจที่ได้ยินเสียงคำรามนั่นยอมแพ้ไปแล้ว
หากแต่อสูรกายระดับกลางอย่างเจ้าจระเข้ปีศาจก็ยังไม่คิดยอมแพ้ไปง่าย ๆ
มันยังมีใจคิดสู้ คลื่นยักษ์เริ่มก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ในขณะที่มันใช้พลังจิตแข็งแกร่งต่อกรกับการโจมตีจิตของปีศาจแมงมุมหกขา
ถึงตอนนี้ กระทั่งโจวจวินเจียยังรู้สึกเหนื่อยไม่น้อย
“อสูรกายระดับกลางรับมือไม่ง่ายเลยจริง ๆ กระทั่งได้สายเลือดจักรพรรดิอสูรกับค่ายกลต้นกำเนิดมาช่วย ข้ายังสยบมันไม่ได้ หากเป็นเช่นนั้นก็คงต้องใช้วิธีพร่ากำลังแล้ว” โจวจวินเจียถอนใจ
คนด่านกลั่นโลหิตคิดอยากใช้วิธีพร่ากำลัง (ใช้วิธีบั่นทอนกำลังของศัตรู) กับอสูรกายระดับกลางเช่นนี้ นับว่าเหลือเชื่อมาก
แต่กลับไม่มีใครคิดว่ามันเป็นปัญหา
ครู่ต่อมา โจวจวินเจียก็หยิบยาขวดหนึ่งขึ้นมา
โอสถปลุกวิญญาณ
ก่อนซูเฉินจากไปได้มอบยาจำนวนหนึ่งกับนางไว้ มันใช้เพิ่มพลังได้ และยังเป็นของขวัญแก่สหายเช่นนาง อีกทั้งยังเป็นของตอบแทนที่นางอุตส่าห์เดินทางมาไกลเพื่อยื่นมือช่วยเหลือเขา
เมื่อดื่มยาลงไปแล้ว พลังงานจิตของโจวจวินเจียที่ถูกใช้หมดไปก็เพิ่มสูงขึ้นอีกครั้ง เมื่อกำลังกลับมา นางก็หัวเราะลั่น “สู้กันต่อ แล้วดูเถอะว่าใครจะทนได้นานกว่ากัน ! ไม่ว่าอย่างไร วันนี้ข้าจะโค่นเจ้าให้ได้ !”