ห้องนอนซูหว่าน จวนจิ้งนิ่งโหว
ผ้าไหมสีแดงที่ประดับประดาทำให้ทั้งห้องนั้นดูสดใส ซูหว่านสวมชุดแต่งงานสีแดงสด นั่งเงียบๆ อยู่หน้ากระจกสีเงิน
หลิวซื่อที่อยู่ข้างหลังนางก็สวมชุดฮูหยินอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และกำลังหวีผมของซูหว่านด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
อีกมุมหนึ่งของกระจกสะท้อนใบหน้าของซูหว่าน วันนี้หลิวซื่อบรรจงแต่งหน้านางอย่างงดงาม ที่หน้าผากของนางมีลวดลายดอกเหมยสีแดง เมื่อมองไปที่ใบหน้าที่อ่อนเยาว์และบอบบางในกระจก ซูหว่านก็รู้สึกงุนงง นางเคยชินกับรูปโฉมที่ไม่เหมือนเดิมบนโลกภารกิจนี้ รูปลักษณ์ภายนอกสำหรับซูหว่านแล้วมันเป็นสิ่งที่ไม่สำคัญเลย แต่เมื่อวันนี้นางเห็นหลิวซื่อทำงานหนักเพื่อนาง จนมองเห็นน้ำตาที่ไหลอยู่ตรงมุมตา อีกทั้งเหวินเย่ว์และเหวินอวี้ที่ร้องไห้จนตาแดงก่ำ ในใจของซูหว่านก็เริ่มรู้สึกประหม่าเล็กน้อย
นางไม่ชอบยุ่งเกี่ยวกับผู้คนในโลกภารกิจถ้าไม่จำเป็น แต่ชีวิตของนางเปลี่ยนไปมากตั้งแต่นางได้รู้จักกับซูรุ่ย ครั้งแรกที่นางได้แต่งงานกับซูรุ่ยในโลกภารกิจนี้ สมัยนั้นเขายังเป็นเด็กน้อยแห่งบ้านฟาง งานแต่งงานของทั้งสองก็เหมือนกับการแสดง และเมื่องานแต่งสิ้นสุดลง ทั้งสองก็กลับไปยังบ้านของตนเองและไม่ได้ติดต่อกันอีก
อีกทั้งงานแต่งงานในเกมออนไลน์ก็ถูกความโกลาหลของซูเสี่ยวซูรบกวนจนไม่มีอะไรเป็นที่ให้น่าจดจำ
แต่สำหรับครั้งนี้ ในโลกใบนี้ เป็นงานแต่งงานที่ซูหวานรอคอยอย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งก็คืองานแต่งครั้งใหญ่ของนางกับซูรุ่ยนั่นเอง
ตราบใดที่ก้นบึ้งของหัวใจนึกถึงซูรุ่ย ซูหว่านก็รู้สึกว่าหัวใจที่ว่างเปล่ามานานของนางนั้นถูกเขาเติมเต็มจนหมด
การกลับมาของความรักคือการกลับมาของหัวใจ…
เสียงแห่งความสุขอันไพเราะกำลังใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ เสียงประทัดดังอึกทึกคึกโครมขึ้นที่หน้าประตูจวนจิ้งนิ่งโหวในที่สุดหลิวซื่อก็น้ำตาคลอเบ้า มือทั้งสองข้างสั่นพร้อมกับสวมมงกุฎหงส์ของหวังเฟยให้กับซูหว่าน
“หว่านเอ๋อร วันนี้ลูกสวยมากจริงๆ”
เสียงของหลิวซื่อแหบพร่า ทางด้านซูหว่านนั้นลุกขึ้นยืนพร้อมกับจับมือของนางไว้แน่น “ท่านแม่ ข้าจะมีความสุขตลอดไป จะมีความสุขมากๆ เลยเจ้าค่ะ”
ถึงแม้ซูหว่านจะเคยเป็นเพียงแค่ทหารปลายแถวอายุสั้น แต่ทว่านางกลับมีพ่อแม่ที่รักนางมาก
ที่จริงซูหว่านรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย เพราะตัวนางเองไม่เคยได้สัมผัสกับความอบอุ่นของพ่อแม่และญาติๆ ดังนั้นตอนที่นางเห็นหลิวซื่ออดทนกับความเสียใจและยิ้มให้กับตนเอง นางจึงอดไม่ได้ที่จะพิงแขนหลิวซื่อแล้วกอดนางเบาๆ “ท่านแม่ ต่อไปนี้ท่านแม่กับท่านพ่อต้องมีความสุขนะ ถึงแม้ว่าข้า…ข้าจะจากไปแล้วก็ตาม ท่านแม่กับท่านพ่อต้องมีชีวิตอยู่ต่อไปนะเจ้าคะ”
“ลูกคนนี้นี่ จากไปอะไรเล่า เด็กนี่พูดอะไรไม่รู้จักคิด!”
หลิวซื่อแกล้งทำเป็นโกรธ พร้อมตบหลังนางเบาๆ “ถึงแม้ลูกจะจากไปแล้ว แต่ถึงอย่างไรลูกก็เป็นดวงใจของแม่ตลอดไป ถ้าท่านอ๋องรังแกลูก บอกแม่ แม่จะไม่มีวันปล่อยเขาไปแน่!”
“ท่านแม่ไม่ต้องกังวลไปหรอก ท่านอ๋องดีกับหนูมาก เขาไม่มีวันทำร้ายหนูหรอกเจ้าค่ะ”
ซูหว่านยิ้มอย่างสดใสให้กับหลิวซื่อ เมื่อเห็นรอยยิ้มจริงใจของบุตรสาว หลิวซื่อก็เช็ดน้ำตาตนเองพร้อมกับ หยิบผ้าคลุมไหล่ปักทองจากมือเหวินเย่ว์และวางไว้บนไหล่ของซูหว่านอย่างระมัดระวัง
“ซูฮูหยิน หวังเฟย ได้ฤกษ์แล้ว!”
ในเวลานี้เอง เสียงที่เคารพและชัดเจนของหญิงรับใช้จากจวนจิ้นชินอ๋องก็ดังขึ้นด้านนอกประตู
“ได้เวลาอันเป็นมงคลแล้ว!”
หลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ หลิวซื่อก็จับมือของซูหว่านอย่างแน่นหนาอีกครั้ง “ได้เวลาแล้ว”
“เจ้าค่ะ”
ซูหว่านพยักหน้า เหวินเย่ว์และเหวินอวี้ช่วยจูงนางไปที่ประตู พร้อมกับออกแรงผลักประตูห้อง
ภายนอกประตูมีร่างที่คุ้นเคยดึงดูดสายตาของซูหว่านตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอ
รูปร่างสูงโปร่งและสมบูรณ์แบบ หน้าตาหล่อเหลาหาตัวจับยาก
ซูรุ่ยยืนอยู่นอกประตูของซูหว่านพร้อมกับเลิกคิ้วและมุมปากหยักเล็กน้อย เสื้อคลุมลวดลายมังกรสีแดงเข้มนั้นทำให้เขาดูสูงส่งและสง่างาม
“ทะ…ท่านอ๋อง?”
หลิวซื่อที่เดินตามซูหว่านก็ตกตะลึงเช่นกัน ตามธรรมเนียมของต้าฉิงแล้ว เจ้าสาวจะต้องถูกพาออกจากจวนโดยแม่สื่อเท่านั้น เพราะยศของซูหว่านคือหวังเฟย คนที่พานางออกไปควรจะเป็นพวกคุณแม่ในจวน จิ้นอ๋อง แต่ทำไมถึงกลายเป็นตัวท่านอ๋องเสียเอง
“ซูหว่าน ข้ามาขอเจ้าแต่งงาน!”
ซูรุ่ยทำให้ทุกคนตกตะลึงไปชั่วขณะ เขาค่อยๆ เดินเข้ามาตรงหน้าซูหว่าน หันกลับมาด้วยท่าทีสง่างาม พร้อมกับก้มตัวลงต่อหน้าซูหว่านอย่างเป็นธรรมชาติ
ในโลกใบนี้ มีเพียงแค่คนเดียวที่ซูรุ่ยยอมก้มหัวให้อย่างเต็มใจ
ซูหว่านเม้มริมฝีปากของนางพร้อมกับเดินยกกระโปรงมาข้างหลังซูรุ่ย เมื่อมองไปที่แผ่นหลังที่แสนกว้างและคุ้นเคยของเขา ริมฝีปากของซูหว่านก็หยักขึ้นโดยไม่รู้ตัว เหมือนก่อนหน้านี้ มือของนางโอบรอบคอของเขาไว้แน่น และแนบใบหน้าของนางที่ด้านหลังของซูรุ่ย ซูหว่านคิดว่านี่เป็นการกระทำที่รู้สึกดีที่สุดสำหรับนางแล้ว…
เมื่อมองซูรุ่ยแบกซูหว่านจนลับสายตา หลิวซื่อยังคงยืนอยู่ที่ประตูห้องส่วนตัวของบุตรสาวเป็นเวลาสักพักหนึ่ง และในที่สุดก็ยิ้มออกมาอย่างสบายใจ ลูกสาวคนนี้ ดูเหมือนเป็นคนไม่เอาไหน โชคดีที่มีเรื่องราวดีๆ เข้ามาในชีวิต ในที่สุดนางก็เติบใหญ่สักทีนะ
สุดท้ายแล้ว ลูกเขยคนนี้ก็ทำให้หลิวซื่อพอใจในที่สุด!
เมื่อเห็นซูรุ่ยกำลังแบกซูหว่านออกมาจากประตูใหญ่จวนจิ้งนิ่งโหวนั้น ก็ทำให้เกิดความชุลมุนวุ่นวายในฝูงชนทันที
เพราะนอกจากประเพณีของต้าฉิงแล้ว ชาวบ้านในเมืองหลวงต่างคิดว่าใครจะเคยเห็นการแสดงความรักที่ยิ่งใหญ่และสดใสเช่นนี้ จนเกือบจะตาบอดแล้วไหมเล่า
“ท่านอ๋อง พระชายา”
จุยเย่ว์ที่เฝ้าเกี้ยวอยู่ด้านข้าง เมื่อเห็นทั้งสองคนก็รีบนำขั้นบันไดมาวางไว้ข้างหน้าด้วยความนอบน้อมและสุภาพ ผลลัพท์ที่ได้ของจุยเย่ว์ที่ทำอย่างตั้งอกตั้งใจกลับกลายเป็นท่าทีและสายตาที่เย็นชาจากท่านอ๋อง
จุยเย่ว์: “…”
ท่านอ๋อง ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยผิดไปแล้วจริงๆ อภัยให้ข้าน้อยด้วยเถอะ
จุยเย่ว์รู้สึกว่าเดี๋ยวนี้สติปัญญาของเขาลดลงไปมาก ท่านอ๋องแบกพระชายาออกมาขนาดนี้ยังต้องใช้เกี้ยวอีกหรือ นี่จะทำให้สองคนนี้แยกจากกันน่ะสิ
เหตุใดเราไม่มีไหวพริบเลย เจ้าดูสิพวกเขาเดินตัวปลิวขนาดนั้น เกี้ยวเจ้าจะเร็วได้เท่านั้นไหม
สายตามองเห็นทั้งคู่เดินตัวปลิวไปพร้อมกับลากม้าของซูรุ่ยไปด้วย และแล้วซูรุ่ยแล้วก็ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ เขาหันกลับมาเปลี่ยนท่าโดยดึงซูหว่านที่อยู่ข้างหลังมากอดไว้ในอ้อมแขนอย่างนุ่มนวล และต่อไปก็เป็นท่าที่ดูเท่อีกแล้ว นั่นก็คือ ซูรุ่ยอุ้มซูหว่านทะยานไปยังสายลม และลงมาที่บนตัวม้าพอดี
จุยเย่ว์: “…”
รู้สึกว่าตัวเองจะตกงานในเร็ววันนี้ ทำอย่างไรดี
“โอ้!”
“อ้า!”
มีเสียงกรีดร้องจากฝูงชนโดยรอบ เห็นได้ชัดว่าทุกคนไม่คาดคิดว่าท่านจิ้นชินจะมีมุมแบบนี้
ไปรับแม่นางเองเช่นนี้ ท่านอ๋องสุดยอดมากๆ
ท่านอ๋อง ท่านต้องรักแม่นางซูให้มากๆ ขอให้แม่นางซูมีความสุข
อืมๆ ดูเหมือนชายหญิงสองคนจะดูเข้ากันดีไม่น้อยเลย
และเมื่อทุกคนกำลังใจจดใจจ่ออยู่ที่ฉากโรแมนติกสีชมพูนี้ ทันใดนั้นก็มีเสียงแห่งความร้าวฉานดังขึ้นอยู่ไม่ไกล
“ซูหว่าน!”
เสิ่นอวี้ซูปรากฏตัวที่หัวมุมถนนของจวนจิ้งนิ่งโหว เขาใส่ชุดทหารของกองทัพเสือดำพร้อมกับขี่ม้าศึกสีพุทราจีน
“ซูหว่าน ข้ามีเรื่องอยากพูดกับเจ้า”
บนหลังม้า ท่าทางของเสิ่นอวี้ซูนั้นจริงจังและเคร่งขรึม
หลังจากที่เสิ่นอวี้ซูได้ฟังเรื่องราวโชคร้ายของซูหว่านจากรื่อเหวินอวี้ จิตใจของเสิ่นอวี้ซูก็รู้สึกกระวนกระวายเป็นอย่างมาก
เขาไม่รู้ว่าเขาควรเผชิญหน้ากับซูหว่านอย่างไร และเขาก็ไม่รู้ว่าเขาควรจะทำอย่างไรเพื่อนาง เป็นเช่นนี้วันแล้ววันเล่า ในพริบตาก็ถึงวันงานแต่งของนางกับฉินมู่เหยียน
การจัดงานที่เต็มไปด้วยสีแดง อีกทั้งเสียงฆ้องและเสียงกลอง ทั้งเมืองหลวงดูเหมือนจะอยู่ในความสุขและความรื่นเริง มีเพียงเสิ่นอวี้ซูเท่านั้นที่เงียบขรึมและเสียใจจนไม่อาจเทียบใครได้
ใช่แล้ว เขาได้ตื่นขึ้นมาจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย ตื่นขึ้นมาถึงได้รู้ว่า ตนเองนั้นต้องการสิ่งใด
ดังนั้นเขาจึงเดินทางมาที่นี่
การปรากฏตัวของเสิ่นอวี้ซู ทำให้ทีมต้อนรับของจวนจิ้นชินอ๋องรู้สึกเหมือนกับว่ากำลังเผชิญหน้าอยู่กับศัตรู
ฉิบหาย ดูท่านี้รู้เลยว่าจะมาแย่งเจ้าสาวไป!
ขี่ม้ามาคนเดียวหรือ ดูถูกพวกราวชาวจวนจิ้นชินอ๋องเกินไปสินะ
ในขณะที่เหล่าองครักษ์ทั้งหลายกำลังโกรธนั้น ซูรุ่ยผู้ซึ่งนั่งอยู่บนหลังม้ากลับไม่ใส่ใจ สายตาจดจ้องไปยังเส้นผมอันปลิวไสวของซูหว่านในอ้อมแขนของเขา จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน ใบหน้าไม่แยแสมองไปที่เสิ่นอวี้ซูที่อยู่ไม่ห่างออกไป “ใต้เท้าเสิ่น ชายาของข้าไม่มีอะไรจะพูดกับท่าน”
ทุกครั้งที่ข้าจะแต่งงานทีไร มักจะเจอแฟนเก่าที่พิการทางสมองมาขัดขวางเสมอ อยากจะฆ่าพวกมันให้ตายเสียจริงๆ
ในวันแห่งความชื่นชมยินดี ซูลุ่ยไม่ต้องการจะเห็นเลือดใดๆ ทั้งสิ้น ดังนั้นเขาจึงอดทนตอบเสิ่นอวี้ซูกลับไปประโยคหนึ่ง
แต่ทว่าเสิ่นอวี้ซูเมื่อได้ยินคำพูดของซูรุ่ย เขาก็ไม่ได้จากไป แต่ยังคงจ้องมองซูหว่านด้วยแววตาที่ลึกซึ้ง “ซูหว่าน ข้ารู้เรื่องของเจ้าหมดแล้ว ตอนนี้ข้าเสียใจมาก ข้าไม่ต้องการเสียเจ้าไป ข้า…ข้าขอแต่งงานกับเจ้า!”
แม้ว่าเสิ่นอวี้ซูรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับซูหว่านที่ผ่านมา เสิ่นอวี้ซูเคยลังเล เคยดิ้นรน แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ยังรู้สึกว่าเขาไม่สามารถปล่อยโอกาสให้ผู้หญิงที่รักเขาอย่างสุดซึ้งหลุดลอยไป
ซูหว่านเคยทำอะไรเพื่อเขามากมาย เรื่องราวโชคร้ายของซูหว่านที่นางต้องทนทุกข์ทรมานก็เกิดขึ้นมาจากตัวเขา ในฐานะผู้ชาย เสิ่นอวี้ซูรู้สึกว่าตัวเองมีส่วนที่จะต้องรับผิดชอบนางทั้งชีวิต
เมื่อได้ยินคำสารภาพที่ “ลึกซึ้ง” ของเสิ่นอวี้ซู ในที่สุดซูหว่านก็เงยหน้าขึ้นและมองเขาอย่างแผ่วเบา
ในความเป็นจริงวันที่เหวินอวี้พบกับเสิ่นอวี้ซูนั้น ซูหว่านก็รู้แล้ว นางยังคงสงสัยเสมอว่าเสิ่นอวี้ซูจะมาหานางอีกหรือไม่ แล้วจะมาเมื่อไหร่ แต่นางคาดไม่ถึงว่าเขาจะเลือกเวลาที่ไม่เหมาะสมที่สุดอย่างวันนี้
ถ้าหากในวันนั้นเสิ่นอวี้ซูกลับไปที่จวนเพื่อสารภาพกับซูหว่าน บางทีซูหว่านอาจจะยังคิดว่า เสิ่นอวี้ซูเป็นคนดีที่มีความรับผิดชอบ แต่ตอนนี้…
“ใต้เท้าเสิ่น ข้าเองก็เสียใจเหมือนกัน”
ซูหว่านยิ้มจางๆ ให้เสิ่นอวี้ซู “ข้าเสียใจ…ที่ข้าเคยชอบคนขี้ขลาดอย่างท่าน”
“ซูหว่าน…”
เมื่อเสิ่นอวี้ซูได้ฟังความในใจของซูหว่าน สีหน้าของเขาก็ดูแย่มากในทันที ไม่รู้ว่าควรจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวจะเสียฤกษ์”
โดยไม่สนสีหน้าของเสิ่นอวี้ซู ซูหว่านหันศีรษะและกระซิบเบาๆ ที่หูของซูรุ่ย
“อืม”
ซูรุ่ยพยักหน้าโดยไม่สนใจร่างของเสิ่นอวี้ซู พร้อมกับโอบซูหว่านขี่ม้าไปทางจวนจิ้นอ๋องอย่างสบายใจ ทุกคนในจวนตีฆ้องและกลองอีกครั้ง สนุกสนานมีชีวิตชีวาตลอดเส้นทาง…
ในการเดินทางระยะสั้นจากจวนจิ้งนิ่งโหวไปยังจวนจิ้นชินอ๋อง ทั้งสองถูกจับตามองด้วยสายตาอันนับไม่ถ้วนและได้ยินคำอวยพรจากผู้คนมากมาย
ซูรุ่ยโอบกอดซูหว่านไว้แน่น มือใหญ่ของเขาก็จับมือเล็กเรียวของนางไว้แน่นเช่นกัน มือคู่นี้ เขาจับไว้แล้ว และจะไม่วันปล่อยมันอีกจนกว่าเขาจะตาย…
งานแต่งงานของเชื้อพระวงศ์มักเป็นเรื่องที่น่าเบื่อหน่ายและใช้เวลานานเป็นพิเศษ กระทั่งซูหว่านเสร็จพิธีกลับมาที่บ้านหลังใหม่แล้ว นางก็หมดแรง นางมองไปยังเตียงนอนลายมังกรและหงส์ที่แสนนุ่มสบายในบ้านหลังใหม่ ซูหว่านถอดมงกุฎหงส์ที่หนักด้านบนศีรษะของนางอย่างง่ายดายพร้อมกับทิ้งตัวลงบนเตียง สบายจังเลย สบายมากๆ
เมื่อเห็นซูหว่านเผลอหลับไปบนเตียงนอนลายมังกรและหงส์ สาวใช้ในจวนก็ไม่ปลุกนางทั้งยังเอาใจใส่ด้วยการห่มผ้าให้ซูหว่านอีกด้วย ดังนั้นเมื่อซูรุ่ยกลับจากห้องโถงด้านหน้าของจวนมาที่บ้านหลังใหม่เมื่อไหร่ พอเปิดประตูเข้ามาเขาก็จะไม่ได้เห็นหวังเฟยแสนน่ารักที่รอดื่มเหล้ามงคล แต่จะเห็นเป็นแมวขี้เกียจตัวน้อยที่กำลังหลับอยู่นั่นเอง