ตอนที่ 148 : ตัวแทนสมาคม
เมื่อออกมาพบกับหลงปู้หยู๋ หวังเย่าก็ต้องแปลกใจ อีกฝ่ายดูเหนื่อยล้าราวกับเดินทางมาไกลโดยที่ไม่ได้หยุดพัก
“ทำไมนายถึงมีสภาพแบบนี้ได้ ? ” หวังเย่าอดไม่ได้ที่จะถามขึ้นมา
หลงปู้หยู๋หอบหายใจออกมาและพูดขึ้น “ลูกพี่ ฉันทำภารกิจสำเร็จลุล่วงแล้ว พรุ่งนี้จะมีตัวแทนขององค์กรและบริษัทขนาดใหญ่เดินทางมาที่นี่ แต่ทำไมฉันถึงมีสภาพเป็นแบบนี้ มันบอกได้ยาก”
เขาแสดงสีหน้าปวดใจออกมา หวังเย่าอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ลูกน้องของเขาทำงานหนักจนเป็นแบบนี้ แล้วเขาจะอยู่เฉยได้ยังไง ? มันจะไม่ดูหน้าด้านไปหน่อยรึไง ?
“ถ้าเรื่องมันยาวนักก็สรุปก็พอ”
หลงปู้หยู๋แสดงท่าทีลังเลออกมาก่อนจะเห็นว่าหวังเย่าเริ่มหมดความอดทน เขาจึงได้พูดขึ้น “เมื่อก่อนฉันมีกิเลนไฟกลายพันธุ์ ก็อดไม่ได้ที่จะเลือดร้อนไปบ้าง ตอนนั้นฉันก็เลยไปล่วงเกินสัตว์อสูรตัวหนึ่งเข้า ก็อย่างที่ว่าคนเรามักจะเจอศัตรูในที่แคบ ครั้งนี้ฉันโชคไม่ดีไปเจอกับมันเข้า มันก็เลยอยากจะกินฉันทั้งเป็น ลูกพี่ก็รู้ว่าพลังของฉันในตอนนี้เป็นยังไง ดังนั้นฉันก็ได้แต่หนีหัวซุกหัวซุนมาตลอดทางอย่างนี้ไง”
“ฉันไม่นึกเลยว่า มันอยากจะฆ่าฉันมากขนาดนี้ มันตามล่าฉันมาตลอดทาง ฉันใช้วิธีการทุกอย่างเพื่อสลัดมันให้หลุด ทั้งหลบในถ้ำ ซ่อนใต้น้ำ แต่โชคร้ายที่ไม่อาจจะซ่อนตัวจากมันได้ การที่ฉันรอดมาได้นี่ก็ถือว่าโชคดีแล้ว” สีหน้าของเขาบิดเบี้ยวไป
หวังเย่าได้ยินแบบนั้นก็เผยรอยยิ้มออกมา สิ่งที่เรียกว่าหายนะนั้นบางทีอาจจะเป็นโชคก็ได้
“ลูกพี่ เรื่องแบบนี้นายยังยิ้มได้อีกหรือ ? ” หลงปู้หยู๋มองค้อน หวังเย่ารู้เรื่องที่เขาเจอมาแต่กลับยิ้มออกมาได้ มันน่าหงุดหงิดจริง ๆ
หวังเย่าเห็นว่าอีกฝ่ายหงุดหงิดจึงหัวเราะออกมา “ฮ่าฮ่า เรื่องมันน่าสนใจดี”
หลงปู้หยู๋ไม่สนใจอีกฝ่ายและหันหลังกลับทันที
“รอก่อน” หวังเย่ายื่นมือออกไปจับอีกฝ่ายเอาไว้และพูดขึ้น “อย่าน้อยใจไป ชีวิตคนเราก็ต้องเจอกับเรื่องตลกบ้าง นายจะหัวเราะฉันรึฉันหัวเราะนายมันแปลกตรงไหน ? ”
สีหน้าของหลงปู้หยู๋บิดเบี้ยวไป เขาแทบจะตะโกนออกมา “แต่ฉันเห็นรอยยิ้มเยาะเย้ยของนาย อย่างงี้นายจะอธิบายมันยังไง ? ”
“นี่…ฉันไม่ได้เยาะเย้ย แน่นอนว่าสีหน้าตอนหัวเราะของทุกคนน่ะมันไม่เหมือนกัน” หวังเย่ารีบลูบจมูกและแสดงสีหน้าเฉยเมยออกมา
เมื่อได้ยินแบบนั้นหลงปู้หยู๋ก็ไม่อาจจะเถียงอะไรออกมาได้
หวังเย่าหยุดหัวเราะและพูดขึ้น “ก็ได้ ฉันไม่หัวเราะแล้ว แล้วสัตว์อสูรที่ไล่ล่านายน่ะเป็นสัตว์อสูรของโลกนี้งั้นหรือ ? ”
สีหน้าของหลงปู้หยู๋บิดเบี้ยวไปก่อนจะตอบกลับ “ใช่ สัตว์อสูรนั่นมีเลเวลที่สูงและอยู่ระดับสวรรค์ด้วย”
หวังเย่าแปลกใจทันทีเมื่อได้ยิน สัตว์อสูรของโลกนี้ส่วนใหญ่อยู่ในระดับที่ต่ำ และสัตว์อสูรระดับสวรรค์ก็หาได้ยากยิ่งนัก
“มันเป็นสัตว์อสูรแบบไหนกัน ? ” หวังเย่าอดไม่ได้ที่จะสนใจขึ้นมา
“บอกไปนายก็อาจจะไม่เชื่อ” หลงปู้หยู๋ไม่ได้สนใจท่าทีของหวังเย่าและตอบกลับตามตรง “งูเขียว”
“งูเขียวงั้นหรือ ? ” หวังเย่าแสดงท่าทีสับสนออกมา เขาเป็นคนจีน เป็นธรรมดาที่จะเคยได้ยินตำนานนางพญางูขาว งูขาวบำเพ็ญเพียรมาหลายพันปี ส่วนงูเขียวบำเพ็ญเพียรมากว่า 500 ปี
แต่เมื่อมายังโลกนี้ ไม่ต้องพูดถึงตำนานเหล่านั้นเลย หลังจากพวกงูได้เกิดการกลายพันธุ์ขึ้นมา ไม่ว่าจะงูเขียวหรืองูขาว อย่างมากพวกมันก็ขึ้นมาได้แค่ระดับเงินเท่านั้น สัตว์อสูรในโลกนี้มีระดับเงินอยู่นับไม่ถ้วน แม้แต่ในหมู่สัตว์อสูรระดับเงินแล้ว งูเขียวและงูขาวก็เป็นสัตว์อสูรธรรมดา
“ฉันบอกแล้วว่านายคงไม่เชื่อ มันมีแต่จะทำให้ฉันดูโง่ ถ้านายไม่เชื่อฉัน ฉันจะพานายไปดูเอง” หลงปู้หยู๋พูดขึ้น
“ไม่ ฉันเชื่อนาย” หวังเย่าโบกมือแล้วครุ่นคิด “แต่งูระดับเงินมันสามารถขึ้นไปอยู่ระดับสวรรค์ได้ยังไง ? มันดูไม่เข้าท่าเลยนี่ ? ”
หากคิดหาเหตุผลไม่ออกก็ต้องหาข้อมูลเพิ่ม
หลงปู้หยู๋พูดขึ้นมา “งูตัวนี้ไม่ได้ใหญ่มากนัก ตัวมันยาวเพียง 5-6 เมตร แต่น่าจะเลเวลประมาณ 45 สกิลของมันก็แปลกมาก มันสามารถพ่นสิ่งที่เหมือนกับลมหายใจมังกรออกมาได้ เปลี่ยนลมกรรโชกให้กลายเป็นพายุที่รุนแรง เป็นพายุหนาวหรือพายุร้อนก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถพ่นพิษที่ร้ายแรงออกมาได้ มิหนำซ้ำ ดวงตาของมันยังเรืองแสงเป็นสีต่าง ๆ ได้ สีแดงสามารถหลอมละลายทองได้ สีเขียวสามารถดูดซับพลังชีวิตของต้นไม้ได้ สีฟ้าสามารถมองทะลุความมืดได้ สีม่วงเมื่อมองไปที่ไหนก็ทำให้ที่นั่นระเบิดได้ พลังของมันถือว่าแข็งแกร่งเอามาก ๆ ”
เมื่อได้ยินแบบนั้นหวังเย่าก็ยิ่งสงสัยมากกว่าเก่า เขาไม่คิดเลยว่างูนั่นจะขึ้นไปถึงระดับสวรรค์และยังมีสกิลแปลก ๆ แบบนั้นอีก แต่เมื่อลองคิดทบทวนดูแล้ว หวังเย่าก็ทิ้งความคิดในการทำสัญญากับมัน ตอนนี้เขามีอสูรอยู่ 3 ตัวแล้ว การเติบโตของอสูรแต่ละตัวก็ต้องใช้ทรัพยากรและพลังงานอย่างมาก
บวกกับการที่เขาแข็งแกร่งขึ้นและมุมมองที่กว้างขึ้น สัตว์อสูรระดับสวรรค์จึงไม่ได้น่าสนใจแบบที่เคยอีกต่อไป
“หลงปู้หยู๋ นายไม่อยากได้งูนั่นมาเป็นอสูรของตัวเองเลยหรือ ? ” หวังเย่ามองไปที่หลงปู้หยู๋
สัตว์อสูรระดับสวรรค์ของโลกนี้ แม้จะเทียบกับสัตว์อสูรในมิตินอกไม่ได้ แต่หากอยู่ในโลกแล้วก็ถือว่าเป็นตัวตนที่แข็งแกร่ง
“ระดับสวรรค์แบบนั้นใครบ้างจะไม่สนใจ ? แต่การทำสัญญากับมันก็ต้องทำตอนที่มันเลเวล 1 และเพิ่งจะเกิด งูนั่นเลเวลตั้ง 45 แล้ว แน่นอนว่าคงไม่อาจจะทำสัญญากับมันได้” หลงปู้หยู๋ส่ายหน้าอย่างหมดหวัง
จุดนี้ทำให้หวังเย่าฉุกคิดขึ้นมาได้ เขากลับลืมเรื่องนี้ไปได้ยังไง ระบบวิวัฒนาการเทพอสูรน่าจะมีวิธีการทำสัญญากับงูนี่ได้
หวังเย่าไม่เคยทดสอบมาก่อน เขาเลยไม่มั่นใจ ยังไงก็ต้องไปเจอกับงูนั่นก่อน
“นายไปพักก่อนเถอะ” หวังเย่าโบกมือสั่งให้หลงปู้หยู๋กลับไป
บ่ายวันต่อมา ตัวแทนบริษัทและองค์กรต่าง ๆ ก็มาถึงที่นี่ พวกเขาได้ทำการตรวจสอบแร่ไฟและต้องทึ่งกับพลังของมัน เพราะมันคือแหล่งพลังงานชั้นดี มันดียิ่งกว่าน้ำมันและก๊าซเสียอีก
พวกเขามาที่นี่เพื่อดูว่ามันมีแร่ไฟจริง ๆ รึไม่และมีคู่แข่งมากเท่าไหร่กัน
หลังจากที่ตรวจสอบแล้ว ตัวแทนก็เขียนรายงานส่งกลับไปที่องค์กรและบริษัทของตัวเอง
สำหรับการลงทะเบียนของตัวแทนของแต่ละที่นั้น หวังเย่าไม่ได้เข้าไปยุ่ง หลี่ว่านเฟิงและเฉี่ยนเจินเฉียนเองก็ไม่ได้สนใจ
ทั้งสองแค่มาคอยช่วย พวกเขาไม่อยากจะเข้าไปยุ่งเรื่องการทะเลาะเพี่อแย่งชิงกันของเหล่าตัวแทน ทุกเรื่องถูกส่งให้หลงปู้หยู๋เป็นคนจัดการ
ในวันเดียวกันนั้นเมื่อส่งรายงานเสร็จ เหล่าตัวแทนก็พากันไปหาที่พักของตัวเอง
หวังเย่าเห็นแบบนั้นก็ไม่ได้ใส่ใจ คุณค่าของแร่ไฟนี้มากกว่าที่เขาเดาเอาไว้อย่างมาก และเขาไม่จำเป็นต้องใส่ใจว่าพวกนี้จะเอามันไปใช้ยังไง