ตอนที่ 149 : ระบบการประมูล
“ เริ่มเลยไหม ? ” ในวันที่ 15 หวังเย่าก็ได้เข้าไปในมิติลับ เพราะข่าวเรื่องกิเลนไฟอาศัยอยู่ที่นั่นได้แพร่กระจายออกไป จึงทำให้นอกจากหวังเย่าแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าเข้าไปที่นั่นอีก
ตามที่ตกลงกันไว้ หวังเย่าต้องช่วยวิวัฒนาการลูกทั้งสองของกิเลนไฟให้ได้ในกลางเดือน 1 ตัวและปลายเดือนอีก 1 ตัว
เพราะกิเลนไฟกลายพันธุ์ทั้งสองอาศัยอยู่ใจกลางแร่ไฟมานานและมีแม่คอยชี้แนะ จึงทำให้เกิดมาไม่กี่ปีก็มีเลเวลถึง 50 แล้ว บวกกับการดูดซับแร่ไฟเข้าไปเป็นจำนวนมากจึงทำให้ร่างกายของมันมีพลังงานจำนวนมากที่ยังไม่ได้ถูกใช้ ซึ่งระบบมองว่ามันเป็นค่าประสบการณ์ที่สามารถใช้วิวัฒนาการและเพิ่มเลเวลได้
“เริ่มกันเลย”
ครั้งที่แล้วเจ้าสามก็เข้ามาในห้องลับนี้แล้ววิวัฒนาการได้ คาดว่ากิเลนไฟสวรรค์ก็น่าจะรู้กระบวนการคร่าว ๆ ของเขาแล้ว แต่หวังเย่าก็เลือกที่จะอยู่เพียงลำพังในห้องลับไม่ให้ใครเข้ามาเห็นเขาวิวัฒนาการ มันคงจะดีกว่าถ้าไม่มีใครเห็นขั้นตอนที่เขาทำ เพราะบางทีกิเลนไฟสวรรค์อาจจะมองบางอย่างออก ซึ่งหวังเย่าไม่อยากให้เป็นแบบนั้น
หวังเย่าได้เข้าไปในห้องพร้อมกับชื่อรื่อ เขาแสร้งสะบัดมือไปมาคล้ายสวดคาถาก่อนจะชี้นิ้วไปที่ชื่อรื่อแล้วพูดขึ้น “วิวัฒนาการ”
จากนั้นตัวของชื่อรื่อก็รู้สึกชา เซลล์ในตัวได้วิวัฒนาการขึ้น โครงสร้างของเซลล์ได้ขยายตัวออกพร้อมแสงสีทองที่ส่องประกายออกมา ท่ามกลางลำแสงนั้นร่างของชื่อรื่อก็ได้เพิ่มขนาดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ไม่นานการวิวัฒนาการก็เสร็จสิ้น มันโตขึ้นมากกว่าเดิมถึงเท่าตัว ร่างกายของมันแผ่คลื่นพลังที่ไม่ใช่แค่ระดับสวรรค์ แต่เป็นระดับศักดิ์สิทธิ์ออกมา
ชื่อรื่อมองไปที่ร่างกายของตัวเอง มันยากที่จะปกปิดความตื่นเต้นที่มีได้ มันอึ้งไปสักพัก ก่อนจะถามตัวเองว่าตอนนี้มันขึ้นมาอยู่ในระดับศักดิ์สิทธิ์แล้วจริง ๆ งั้นหรือ ?
มันยังเหลือเชื่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นแต่เมื่อนึกถึงตอนที่หวังเย่าช่วยน้องมันวิวัฒนาการ มันในฐานะพี่ก็ยับยั้งความตื่นเต้นที่มีเอาไว้ ก่อนจะหันไปพยักหน้าให้กับหวังเย่า
“ช้าก่อน” หวังเย่าห้ามมันไว้และพูดขึ้น “ฉันมีอะไรจะให้อีก”
ชื่อรื่อมองไปที่หวังเย่าด้วยสีหน้าเหลือเชื่ออีกครั้ง แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ ?
เมื่อเห็นว่าหวังเย่าชี้นิ้วมาที่ตัวมัน มันก็พบว่ามีแสงสีทองกระพริบขึ้นที่ตัวของมันถึง 2 ครั้ง แสงนี้ส่องประกายออกมาไม่นานนัก
ไม่นานแสงสว่างก็จางลง ชื่อรื่อรับรู้ได้ว่าความแข็งแกร่งของมันเพิ่มขึ้นมาอย่างมาก ตอนนี้เลเวลของมันเพิ่มขึ้นมา 2 เลเวลแล้ว
นี่มัน ?
สัตว์อสูรอย่างพวกมันเป็นธรรมดาที่จะเติบโตได้เร็วกว่าสัตว์อสูรทั่วไปหรือสัตว์อสูรระดับต่ำ แต่มันมีกฎอยู่ข้อหนึ่ง ที่ว่ายิ่งเลเวลสูงเท่าไหร่ก็ยิ่งวิวัฒนาการยากเท่านั้น
ชื่อรื่อคือสัตว์อสูรระดับสวรรค์ขั้นสูง ดังนั้นจึงใช้เวลาเพียงไม่นานมันก็ขึ้นมาถึงขั้นราชา แต่หลังจากทะลวงมาถึงขั้นนี้ ความเร็วของมันก็เริ่มช้าลง แต่ก็ยังมีพื้นที่ให้พัฒนาอยู่ ทว่าเมื่อเข้าสู่ขั้นราชันย์ การจะเลื่อนเลเวลก็เริ่มยากขึ้น ถ้าหากเลเวลของมันขึ้นมาถึง 60 ก็จะกลายเป็นขั้นจักรพรรดิ พอมาถึงตรงนี้การพัฒนาก็ยิ่งช้าลงกว่าเดิม
ปกติแล้วสัตว์อสูรระดับสวรรค์เมื่อขึ้นไปถึงขั้นจักรพรรดิเลเวล 60 ก็ถือว่าใช้พรสวรรค์ในตัวหมดแล้ว
ดังนั้นการที่หวังเย่าช่วยให้มันแข็งแกร่งขึ้นเช่นนี้จึงเป็นการช่วยมันอย่างมาก
ชื่อรื่อมองไปที่หวังเย่าด้วยท่าทีซาบซึ้งก่อนจะวิ่งออกมาด้วยความตื่นเต้น
เมื่อชื่อหยวนจื่อเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เธอก็มองมาที่หวังเย่าด้วยสายตาที่อ่อนโยน “หวังเย่า ข้าจะจดจำบุญคุณในครั้งนี้เอาไว้”
หวังเย่าป้องมือ “ ไม่จำเป็นต้องสุภาพมากนัก ท่านเองก็ช่วยผมไว้มากเช่นกัน”
…
อีกครึ่งเดือนเขาก็ต้องมาวิวัฒนาการให้กับชื่อเยว่ต่อ
ไม่กี่วันต่อมาบรรดาบริษัทและองค์กรขนาดใหญ่จากเมืองหัวเซี่ยก็แห่กันมาที่นี่ แม้กระทั่งสามสมาคมรวมถึงสามตระกูลใหญ่ของเมืองก็ยังมาที่นี่
หลงปู้หยู๋ได้แนะนำคนเหล่านั้นให้กับหวังเย่า “นี่คือเป่ยเซียนฉี ผู้จัดการใหญ่ของสมาคมจันทร์เหนือ, นี่คือซ่งเสี่ยวหลง ผู้จัดการใหญ่ของสมาคมชาติสงบสุข, นี่คือเผิงเซี่ยนอวี่ ผู้จัดการใหญ่ของสมาคมฟ้าคำราม ส่วนนั่นคือผู้อาวุโสสามเย่กว่างเฉวียน จากตระกูลเย่, นี่คือผู้อาวุโสสี่ฮวงกู่หยวน จากตระกูลฮวง และนั่นผู้อาวุโสสามหัวซานซง จากตระกูลหัว”
หวังเย่าจดจำคนเหล่านี้เอาไว้ก่อนจะเข้าไปทักทาย
แม้ว่าเขาจะพบ 6 คนนี้เป็นครั้งแรกแต่ก็พอรู้จักตระกูลเย่และตระกูลฮวงอยู่บ้าง เย่ฉิวเกามาจากตระกูลเย่ ฮวงจินเทียนมาจากตระกูลฮวง
เย่ฉิวเกาและฮวงจินเทียนคือคนที่โด่งดังในมหาวิทยาลัยหัวเซี่ย ฮวงจินเทียนเป็นอันดับหนึ่งของมหาลัย ส่วนเย่ฉิวเกาเป็นอันดับ 6 ของมหาลัย
ระหว่างหวังเย่า เย่ฉิวเกาและฮวงจินเทียนคงเรียกว่าเป็นคนรู้จักกันไม่ได้ เพราะทั้งสองต่างก็เป็นคนที่เย่อหยิ่ง เป็นธรรมดาที่ไม่อยากเห็นหวังเย่าได้ดีไปกว่าพวกเขา
ถึงจะมีความขัดแย้งเกิดขึ้นก็ตาม ก็ไม่อาจจะขวางไม่ให้ตระกูลเย่และตระกูลฮวงเข้ามาทำธุรกิจกับหวังเย่าได้ เรื่องเล็กน้อยแบบนี้พวกผู้ใหญ่ไม่คิดจะสนใจ
ตัวหวังเย่าเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจออกมา เขาก้าวออกไปต้อนรับทั้งหกคน และเขาถึงกับได้รับคำชมจากทั้งหก
“นายจะเริ่มประมูลตอนไหนกัน ? ” เป่ยเซียนฉีถามขึ้น
ทุกคนต่างก็มองหน้ากันด้วยความสงสัย เพราะพวกเขาไม่รู้เลยว่าการประมูลจะเริ่มตอนไหนและมีกฎยังไง
หวังเย่าคิดสักพักและตอบกลับ “ผมเชื่อว่าทุกท่านคงส่งตัวแทนมาตรวจสอบแร่ไฟเมื่อสองวันก่อนแล้ว แร่ไฟขั้นต้นมีทั้งหมด 6,000 ล้านกิโลกรัม ส่วนไร่ไฟขั้นกลางมีทั้งหมด 6 ล้านกิโลกรัม แร่ไฟขั้นกลางนั้นมีพลังมากกว่าแร่ไฟขั้นต้นร้อยเท่า “
“แร่ไฟนั้นมีประโยชน์อย่างมาก นอกจากจะใช้เป็นแหล่งพลังงานแล้วมันยังมีพลังธาตุไฟ ซึ่งนำไปใช้ทำยาธาตุไฟได้ ดังนั้นนี่จึงไม่ใช่การตกลงทั่วไป เราจะให้เวลาทุกคนได้คิด”
แม้ว่าข่าวเรื่องแร่ไฟจะเผยแพร่มานานแล้วแต่ก็ไม่ได้มีคนกล้ามาที่นี่ คนส่วนมากที่มามีแต่คนจากองค์กรใหญ่
ดังนั้นหวังเย่าจึงจะรออีก 2 วันเผื่อมีคนเข้าร่วมประมูลมากกว่านี้ เมื่อแรงกดดันในการประมูลเพิ่มขึ้น งั้นก็เป็นธรรมดาที่ราคาจะเพิ่มขึ้นไปด้วย
แน่นอนเขามีแร่ไฟอยู่เป็นจำนวนมาก เขาต้องเตรียมทุกอย่างและทุกคนให้พร้อมเพื่อที่เขาจะได้เริ่มการประมูล
จากนั้นเขาก็พูดต่อ “เมื่อพิจารณาจากจำนวนแร่ไฟแล้ว ผมตัดสินใจจะประมูล 6 ครั้งในทุกๆ 2 วัน การประมูลแต่ละครั้งนั้นจะมีแร่ไฟขั้นต้น 1,000 ล้านกิโลกรัม และแร่ไฟขั้นกลาง 1 ล้านกิโลกรัม แต่ละครั้งจะแบ่งเป็น 10 รอบ แต่ละรอบจะมีแร่ไฟขั้นต้น 100 ล้านกิโลกรัม และแร่ไฟขั้นกลาง 100,000 กิโลกรัม“
“อะไรนะ ? ” สีหน้าของตัวแทนทั้งหกพลันเปลี่ยนไป บางคนถึงกับสีหน้าบิดเบี้ยว ดูเหมือนว่าโอกาสที่พวกเขาจะได้แร่ไฟทั้งหมดนี้กลับไปคงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะไม่มีใครชนะการประมูลทุกรอบได้