ภาคที่ 3 บทที่ 78 ถุงมือ

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 78 ถุงมือ

“ปุ ๆ!”

เหล็กหลอมดาวเหลว ๆ ถูกเทลงในแบบที่เตรียมไว้ จากนั้นก็นำไปวางในกล่องน้ำแข็งเพื่อทำให้มันเย็นตัวลงอย่างรวดเร็ว

ก่อนที่จะถูกดึงออกมาจากกล่อง ทำให้ของเหลวยังไม่ทันจะแข็งตัว จากนั้นเทมันลงในสารละลายอีกตัวแล้วผสมให้เข้ากัน เกิดเป็นสสารหนืดเหนียวที่ค่อย ๆ แข็งตัวขึ้น

จากนั้นเข็มพิเศษก็ถูกใช้วาดผ่านผิวหน้าของสสารนั้น เกิดเป็นลายสลักลวดลายซับซ้อน

“ควบคุมพลังต้นกำเนิดเจ้าให้ดี อักขระไม่ได้สำคัญอะไรมาก แต่เป็นจำนวนพลังที่เจ้าใส่ลงไปต่างหาก ที่ต้องสลักอักขระวาดลวดลายก็เพื่อสร้างทางให้พลังต้นกำเนิด แม้จะแตกต่างกันบ้าง แต่หากจุดหมายปลายทางเหมือนกันก็ไร้ปัญหา สำคัญที่พลังต้นกำเนิด !” ผ้าเท่อลั่วเค่อเอ่ยเสียงเบา

“อาจารย์ในสถาบันมังกรซ่อนเร้นเชื่อว่าปรมาจารย์ค่ายกลที่เก่งกาจคือคนที่สามารถวาดอักขระได้ถูกต้องที่สุด ท่านกำลังสอนในสิ่งตรงกันข้ามกับพวกเขาเลย” ซูเฉินตอบ มือก็ยังวาดลวดลายต่อไป

แม้ชายหนุ่มจะไม่เชี่ยวชาญค่ายกล แต่ก็เคยทำเช่นนี้มานับร้อยนับพันครั้ง และตอนนี้เขาก็ได้ใช้ประโยชน์จากมันเสียที

“เจ้าพวกนั้นก็เป็นเพียงช่างฝีมือ ไม่ใช่ปรมาจารย์ !” ผ้าเท่อลั่วเค่อเอ่ยเสียงขุ่น “อาจารย์ของสถาบันระดับสูงหรือ ? ก็งั้น ๆ สถาบันที่ดีจริง ๆ ไม่สอนวิชาที่สมบูรณ์แล้วให้เจ้าหรอก แต่จะสอนวิธีคิดมากกว่า ก็เหมือนฉือไคฮวงที่สอนเพียงค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดให้เจ้า”

“เขาสอนสุเมรุสูญและหัตถ์วิโมกข์ให้ข้าด้วย”

“พวกนั้นมันก็เป็นเพียงของเสริมเท่านั้น หากเจ้ามีสติปัญญาคิดอ่านได้เองจึงจะสำคัญที่สุด” ผ้าเท่อลั่วเค่อเอ่ยเสียงโกรธ “ปรมาจารย์อาร์คาน่าทุกคนจากอาณาจักรอาร์คาน่าถูกสั่งสอนตั้งแต่เล็กให้รู้จักคิดอ่านได้ด้วยตนเอง คลี่คลายปัญหาด้วยมันสมองตน ให้มีเป้าหมายจุดมุ่งหมายเป็นจองตนเอง เป็นเพราะมีแนวคิดเช่นนี้อาณาจักรจึงเติบโตเบ่งบานได้อย่างงดงาม สร้างสิ่งประดิษฐ์กล้าแกร่งออกมานับไม่ถ้วน !”

“ข้านึกว่าอาณาจักรอาร์คาน่าสรรค์สร้างสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ขึ้นมาได้เพราะมีนัยน์ตามองโลกระดับจุลภาคเสียอีก”

“ไร้สาระ !”

“ท่านไม่ต้องเชื่อข้าก็ได้ แต่ลองคิดตามดู หากแนวคิดนั้นมีประโยชน์จริง เหตุใดอาณาจักรอาร์คาน่าที่สอง ที่เพิ่งตั้งได้ไม่นานหายไปเร็วเช่นนั้น ?

หลังจากอาณาจักรอาร์คาน่าถูกทำลายล้างไป อาณาจักรอาร์คาน่าที่สองก็ถูกตั้งขึ้นโดยตานเนี่ยวอิงปู้หลี่ ที่หมายจะทำให้อาณาจักรรุ่งเรืองขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

แต่ในความเป็นจริง อาณาจักรอาร์คาน่าที่สองไม่อาจฟื้นคืนความรุ่งเรืองในกาลก่อนมาได้ แต่กลับหายวับไปอย่างรวดเร็ว

มีอยู่หลายเหตุผลที่ทำให้อาณาจักรอาร์คาน่าที่สองถูกกวาดล้างหายไป ไม่ว่าใครต่างก็มีเหตุผลเป็นของตนเอง

ซูเฉินเชื่ออว่าอาณาจักรอาร์คาน่าที่สองไม่รุ่งเรืองเป็นเพราะตานเนี่ยวอิงปู้หลี่ไม่ใช่เผ่าอาร์คาน่าระดับสูง

เผ่าอาร์คาน่าระดับสูงมีเนตรมองโลกจุลภาค ส่วนเผ่าอาร์คาน่าระดับธรรมดานั้นไม่มี

หลังอาณาจักรอาร์คาน่าล่มสลาย เผ่าอาร์คาน่าระดับสูงเกือบทั้งหมดก็ถูกสังหารทิ้ง

แม้ตานเนี่ยวอิงปู้หลี่จะสร้างอาณาจักรที่สองขึ้นมา แต่เขาไร้เนตรมองโลกจุลภาคเพราะเขาไม่ใช่อาร์คาน่าระดับสูง

เมื่อไร้เนตรมองโลกจุลภาคจึงไม่อาจเห็นโลกระดับจุลภาค ดังนั้นจึงขาดพื้นฐานที่ทำให้เผ่าอาร์คาน่าเป็นเผ่าอาร์คาน่าไป

และเผ่าอาร์คาน่าที่ไร้เนตรมองโลกจุลภาคก็ไม่มีอันใดดี

นั่นเป็นความเห็นของซูเฉิน

แต่เขาก็ไม่ปฏิเสธว่ายังมีเหตุผลอื่นอยู่อีกที่ทำให้อาณาจักรอาร์คาน่าที่สองล่มสลายลง แต่เรื่องนี้ย่อมเป็นสาเหตุสำคัญที่สุดแน่นอน

ผ้าเท่อลั่วเค่อเห็นซูเฉินอธิบายมาเช่นนั้นก็โกรธไม่ลง

แต่ชายชราก็ยังคงยึดหลักการเดิม “ข้าก็ยังเชื่อว่าสถาบันที่กล่อมเกลาศิษย์ตนให้คิดวิเคราะห์เองทำเองเป็นถึงจะนับเป็นสถาบันที่ดี”

“ข้าไม่ปฏิเสธ แต่มันทำไม่ได้จริงมากนัก จริง ๆ แล้ววิธีมันเรียบง่ายมาก หากส่งเสริมให้คิดเองทำเองเป็นอย่างเดียว แล้วจะประเมินเรื่องพละกำลังความแข็งแกร่งอย่างไร ? หากไร้หนทางการประเมินแล้ว จะให้พวกเขาโอ้อวดไปอย่างนั้นโดยไร้หลักฐานหรือ ?”

“สถาบันก็เหมือนกิจการหนึ่ง จำเป็นต้องมีมาตรฐานระดับเดียวกัน ฉือไคฮวงอาจสอนข้าแตกต่างจากคนอื่น ๆ แต่หากใช้วิธีนี้กับคนอื่นก็อาจไม่ได้ผล แท้จริงแล้วเด็กหัวดีก็มีเพียงหยิบมือ ส่วนคนที่คิดเองสร้างอะไรขึ้นมาได้เอง… จริง ๆ แล้วคนส่วนมากรู้จักเพียงการทำเลียนแบบซ้ำของเดิมที่เคยมีอยู่ แต่โลกก็ดำเนินไปก็เพราะเหล่าคนพวกนี้เช่นกัน”

“แล้วเจ้าเล่า ? เจ้าเป็นอะไร ?” ผ้าเท่อลั่วเค่อถามขึ้น

“ข้าหรือ ?” ซูเฉินคิดครู่หนึ่งก่อนตอบ “ผู้บุกเบิก”

“ผู้บุกเบิก ?”

“ถูกต้อง ใต้หล้าต้องการทั้งผู้บุกเบิกและผู้สร้าง ซึ่งอย่างแรกเป็นยากกว่าอย่างหลังนัก”

“เจ้าก็เลยเผยแพร่วิชาทะลวงด่านกลั่นโลหิตโดยไร้สายเลือดออกไปหรือ ? เพราะเจ้าเป็นผู้บุกเบิก ?”

“พูดให้ถูกก็คือหลังจากข้าเผยแพร่วิชาทะลวงด่านกลั่นโลหิตออกไป ก็กลายเป็น” ชายหนุ่มเอ่ย ปรับเปลี่ยนเหตุผลเล็กน้อย

ก่อนที่เขาจะหัวเราะแล้วพูด “ข้าเพียงทำให้เผ่ามนุษย์ก้าวหน้าขึ้นอีกก้าวหนึ่งเท่านั้น ส่วนจะเดินหน้าไปอย่างไรต่อก็ขึ้นอยู่กับพวกเขา”

“อีกไม่นานเจ้าก็จะนำพวกเขาก้าวหน้าไปอีกก้าวแล้วกระมัง” ผ้าเท่อลั่วเค่อว่า

ฉือไคฮวงแจ้งข่าวดีเรื่องการทะลวงด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดมาแล้วว่ามันใกล้สำเร็จเต็มที

“ข้ามุ่งมั่นทำก้าวนี้ให้มั่นคงก่อนจะดีกว่า” ซูเฉินพึมพำ

เขาทำการสลักเสร็จไปข้างหนึ่ง จึงหมุนอีกด้านหนึ่ง เริ่มลงมือสลักอีกด้านหนึ่งต่อ

ที่เขากำลังสร้างขึ้นมานั้นคือถุงมือ

เป็นถุงมือข้างซ้ายเพียงข้างหนึ่ง

และเมื่อสลักลายให้ถุงมือทั้งสองด้านแล้ว ซูเฉินก็ยกเข็มโลหะออก หยิบผงสีดำออกมาแล้วโปรยลงไปในแบบ

ผงสีดำนี้มีสสารเงาอยู่

ซูเฉินนำสสารเงาที่เหลืออยู่ออกมาใช้จนหมด

หลังจากนั้น ซูเฉินก็เทยาอีกขวดลงไปในแบบหล่อ เสริมผิวชั้นนอกให้มันอีกชั้น ก่อนจะผนึกไว้ด้วยค่ายกลที่อยู่ด้านในถุงมือ

ก่อนที่จะเริ่มการสลักอักขระอีกครั้ง

จากนั้นก็ทำซ้ำไปเรื่อย ๆ เทยาโปรยสสารเงา ตามด้วยใช้ของเหลวใสเคลือบไว้อีกชั้น

โดยเขาทำเช่นนี้ทั้งหมด 7 ชั้น เพื่อผนึกค่ายกล 6 ประเภทไว้ด้านใน และใช้สสารเงาจนหมดเกลี้ยง ก่อนที่สุดท้ายจะสร้างถุงมือขึ้นมาสำเร็จ

เขาพลันดึงถุงมือออกจากแบบหล่อ เห็นได้ชัดว่าแม้ถุงมือจะมี 7 ชั้น แต่ก็ไม่ได้หนามาก ให้สัมผัสนุ่มมือ และเพราะมีสีคล้ายเนื้อหนังมนุษย์ หากใครดูให้ดีก็จะไม่รู้ว่ามันคือถุงมือ

ซูเฉินสวมถุงมือ ลองขยับมือสักเล็กน้อยก่อนเอ่ยขึ้น “ใส่สบายเหมือนกัน”

“เหลือขั้นสุดท้าย” ผ้าเท่อลั่วเค่อว่า

“ใช่แล้ว !” ซูเฉินถอนใจ

เส้นด้ายสีดำบาง ๆ เส้นหนึ่งถูกเชื่อมกับถุงมือตรงส่วนข้อมือ ซูเฉินค่อย ๆ จับมันขึ้นมาตรวจดู “ตาแก่ วิธีนี้ท่านคิด หากใช้ไม่ได้ผล อย่าหาว่าข้าทำแผ่นหินท่านพังนะ”

ผ้าเท่อลั่วเค่อหัวร่อ “ไม่ต้องห่วง ข้าเคยทำการผสมผสานทางชีวภาพเช่นนี้มานับพันครั้งแล้ว”

“เช่นนั้นลงมือเถอะ”

เขาพลันใส่พลังต้นกำเนิดลงในเส้นด้ายนั้น ทำให้มันแข็งตัวขึ้นคล้ายกับเข็มเล่มหนึ่ง

และเมื่อเส้นบางนี้ทะลุเข้าร่างเข้าไป มันก็แผ่ขยายเส้นสายบาง ๆ นับพันออกมา หยั่งรากลงในร่างซูเฉินเราวกับพืชหยั่งรากลงดิน จากนั้นก็เริ่มดูดกลืนเลือดและพลังต้นกำเนิดอย่างรวดเร็ว

“อึก !” ซูเฉินร้องออกมา

เมื่อพลังถูกสูบออกไปกะทันหัน มันก็ทำให้สายตาชายหนุ่มพร่าจนแทบหมดสติ

โชคดีที่ซูเฉินเตรียมการไว้แล้ว รีบเปิดจุกยาขวดหนึ่งแล้วกระดกลงคอไป

เขากินยาขวดแล้วขวดเล่า

ถุงมือนี่ราวกับผีดูดเลือด มันดูดทั้งเลือดและพลังต้นกำเนิดเขาไป แม้ซูเฉินจะกระดกยาตามไปราวกับคนบ้าคลั่ง แต่ก็ยังไม่อาจทนทานกับพลังที่ถูกดูดไปได้

ผ้าเท่อลั่วเค่อร้องตะโกน “ทนไว้ก่อน ! ทนอีกนิด ! เกือบเสร็จแล้ว !”

จากนั้นถุงมือก็เริ่มแผ่สีแดงจาง ๆ ออกมา

แสงสีแดงเข้มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งกลายเป็นสีแดงแสบตา ก่อนจะมีลำแสงพุ่งออกมาจากมัน

“สำเร็จ !” ผ้าเท่อลั่วเค่อโห่ร้อง

ชายหนุ่มรีบกระชากเส้นด้ายและเส้นสายที่แผ่ออกมาจากร่าง

“ฝ่ออออ !” ถุงมือกลับส่งเสียงขู่รวมกับไม่เต็มใจ เส้นสายเล็ก ๆ ทั้งหลายลอยเลื้อยไปในอากาศอย่างบ้าคลั่ง ก่อนจะค่อย ๆ หายไปในที่สุด

ชายหนุ่มรีบถอดถุงมือออก โยนมันทิ้งลงพื้น ปล่อยให้ถุงมือดิ้นไปมาอยู่บนพื้น ก่อนจะกระโดดเด้งขึ้นลง เกิดเป็นรูปร่างประหลาดมากมาย

“บัดซบแล้ว นี่ข้าสร้างอะไรขึ้นมาเนี่ย ?” ซูเฉินสบถด่า “ท่านแน่ใจหรือว่ามันคือเครื่องมือต้นกำเนิด ?”

“ไม่” ผ้าเท่อลั่วเค่อตอบ “มันคือตัวนำพลังต้นกำเนิด”