ภาคที่ 1 บทที่ 118 ลูกรักสวรรค์

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 118 ลูกรักสวรรค์

8:00 น.

แผนกแพทย์แผนจีนในโรงพยาบาลเปิดทำการแล้ว

ผู้ป่วยรายแรกมีอาการไม่ซับซ้อน เพียงมีไข้เล็กน้อย ซูเย่สามารถวินิจฉัยอาการได้อย่างง่ายดาย หลี่เคอหมิงเห็นดังนั้นก็พยักหน้าด้วยความชื่นชม

เมื่อวินิจฉัยผู้ป่วยรายแรกเสร็จสิ้น คนไข้รายต่อมาก็เป็นเด็กชายอายุประมาณเจ็ดถึงแปดปีผู้หนึ่ง เขามีอาการตาบวมแดง ซึ่งทำให้พ่อแม่วิตกกังวลเป็นอย่างยิ่ง

“คุณหมอครับ ช่วยลูกของเราด้วยนะครับ” ผู้เป็นพ่อพูดขณะนำตัวเด็กนั่งลงที่โต๊ะตรวจ

“เป็นอะไรมาครับ?”

ซูเย่ถามทันที

“มีอาการเจ็บตาค่ะ” แม่เด็กตอบด้วยน้ำเสียงเป็นกังวล “เป็นมาได้สี่วันแล้ว นอกจากนี้ก็มีอาการตาแดง ตาบวม รู้สึกคันตา แล้วก็เจ็บในตาด้วยค่ะ”

“ว่าไงเรา”

ซูเย่หันมามองหน้าเด็กน้อยด้วยความอ่อนโยน “ไหนบอกหมอหน่อยสิครับว่าเจ็บตายังไง?”

“ตอนแรกมันเจ็บแล้วก็คันนิดหน่อยครับ แต่ตอนหลังมันคันมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็เจ็บมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วย”

เด็กชายพูดอย่างน่าสงสาร

“มีอาการเจ็บตาก่อนหรือว่าคันตาก่อนครับ?”

ซูเย่ซักถามข้อมูลอีกครั้ง

“เจ็บตาก่อนครับ”

เด็กชายยกมือชี้ที่ดวงตาซ้ายของตนเอง ก่อนจะชี้ไปที่ดวงตาข้างขวา และพูดว่า “เจ็บจากข้างนี้ก่อนแล้วมาข้างนี้”

“อธิบายได้ไหมว่ามันรู้สึกเจ็บแบบไหน?”

ซูเย่ถาม

“เจ็บเหมือนมีเข็มทิ่มครับ”

เด็กชายตอบ

พ่อแม่ของหนูน้อยยืนอยู่ด้านข้าง คอยจ้องมองลูกชายของตนเองด้วยความสงสารและวิตกกังวล

ดวงตาของชายหญิงคู่นี้จ้องมองซูเย่ด้วยความสงสัย ทำไมคุณหมอถึงเอาแต่ยืนอยู่เฉย ๆ แล้วให้หมอฝึกหัดคนนี้เป็นคนวินิจฉัยอาการลูกของพวกเขานะ?

แต่ในเมื่อที่นี่คือโรงพยาบาลพวกเขาก็ได้แต่ข่มความสงสัยในใจ และปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามขั้นตอนทางการแพทย์

“นอกจากนี้มีอาการอะไรอีกไหม?”

“มีครับ… ผมรู้สึกเวียนหัวตาลายตอนดูหน้าจอโทรศัพท์ แล้วก็รู้สึกอึดอัดตลอดเวลา จะนั่งก็อึดอัด จะกินก็อึดอัด แม้แต่ตอนนอนก็อึดอัดเหมือนกัน”

“เอาล่ะ มีอะไรอีกหรือเปล่าครับ?”

“แล้วก็มีไข้ด้วยครับ”

“ขอหมอดูมือหน่อยสิ หมอจะลองตรวจชีพจร”

“ชีพจรเต้นรัวเร็ว”

ซูเย่ว่า “เดี๋ยวหมอจะขอตรวจดวงตาหน่อยนะครับ ช่วยลืมตากว้าง ๆ ให้หมอที”

เด็กชายพยายามเบิกตาที่แดงก่ำของเขาให้โตมากที่สุด

ซูเย่พบว่าในดวงตาของเด็กคนนี้มีเส้นเลือดขึ้นอยู่เต็มไปหมด

“ไหนอ้าปากให้หมอดูลิ้นหน่อยครับ”

“อ้า…”

เด็กชายอ้าปาก และแลบลิ้นออกมาอย่างเชื่อฟัง

“ดวงตาบวมแดง น่าจะมาจากอาการตาแห้ง ตาขาวมีเส้นเลือดขึ้น เบ้าตามีอาการบวม และเจ็บ มีไข้ประกอบเล็กน้อย ปลายลิ้นเป็นสีแดง บนลิ้นมีฝ้าเหลืองเล็กน้อย ชีพจรเต้นรัวเร็ว”

“วินิจฉัยได้ว่าในร่างกายมีลมร้อนมากเกินไปครับ”

“วิธีการรักษาคือต้องระบายลมร้อนออกจากร่างกาย และช่วยลดอาการบวมแดงและอาการเจ็บดวงตาให้น้อยลง”

“เหมาะสมสำหรับการฝังเข็มมากครับ”

หลังจากนั้นซูเย่ก็กำหนดจุดฝังเข็มด้วยตัวเอง

พ่อแม่เด็กไม่เข้าใจสิ่งที่ชายหนุ่มพูดออกมาเลยสักอย่างเดียว พวกเขาจ้องมองซูเย่ด้วยความเหลือเชื่อ คุณหมอฝึกหัดคนนี้น่ะหรือที่จะเป็นผู้รักษาลูกของพวกเขา?

จุดฝังเข็มหลักที่ชายหนุ่มเลือกใช้ก็คือจุดชิงหมิง

นอกจากนั้นก็ยังมีจุดไท่โหยว จุดชวีปิ้นและจุดถงจื่อเหลียว

หลังเขียนตำแหน่งการฝังเข็มเสร็จเรียบร้อย ซูเย่ก็ยื่นส่งให้หลี่เคอหมิงตรวจสอบ

“หืม?”

เมื่อหลี่เคอหมิงรับแผ่นกระดาษไปดู ดวงตาของเขาก็ลุกวาว

“ไม่เลวเลยนะ!”

หลี่เคอหมิงพยักหน้าชื่นชมซูเย่ด้วยความพึงพอใจ

ถึงคนไข้เด็กรายนี้จะไม่ได้มีอาการหนักหนาสาหัส แต่ก็ถือว่าซูเย่สามารถวินิจฉัยอาการได้อย่างแม่นยำ

และสามารถทำให้ผู้เป็นอาจารย์ต้องประหลาดใจได้อีกครั้ง

“พวกเราไปที่ห้องฝังเข็มกันดีกว่า”

หลี่เคอหมิงพูด

หลังจากนั้น หลี่เคอหมิง ซูเย่ เด็กน้อย และพ่อแม่ของเขาก็เดินออกจากห้องตรวจเข้าสู่ห้องฝังเข็มเพื่อรับการรักษา

เมื่อเข้ามาอยู่ในห้องฝังเข็มแล้ว บรรดานักศึกษาแพทย์แผนจีนที่มาเพื่อเรียนรู้วิธีการฝังเข็ม ต่างก็หรี่ตามองด้วยความประหลาดใจ

“มาอีกแล้ว!”

ความมหัศจรรย์ที่ซูเย่ได้สร้างเอาไว้เมื่อครั้งที่แล้วยังติดตราตรึงใจพวกเขาอยู่ไม่หาย

ผ่านไปเพียงไม่ทันไร ชายหนุ่มก็กลับมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่อีกแล้วหรือ

นักศึกษาแพทย์แผนจีนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าตนเองกำลังฝันไป

ซูเย่ให้เด็กชายปีนขึ้นไปนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง

หลี่เคอหมิงก้าวเดินออกมาข้างหน้าพร้อมกับพูดว่า “คนไข้ได้รับการวินิจฉัยว่าในร่างกายมีลมร้อนมากเกินไป อาการนี้มีวิธีการรักษาตั้งแต่ยุคโบราณ ไม่ทราบว่าเธอเคยอ่านบทบันทึก “ลำนำมังกรหยก” บ้างไหม?”

“บทบันทึกลำนำมังกรหยกได้กล่าวเอาไว้ว่า อาการตาบวมแดงนั้นเป็นอาการที่รักษาได้ยาก สามารถบรรเทาได้ด้วยการฝังเข็มบริเวณจุดไท่โหยว จุดชวีปิ้น และจุดถงจื่อเหลียวเท่านั้นครับ”

“ใช่แล้ว”

หลี่เคอหมิงพยักหน้าด้วยความพอใจและกล่าวต่อไป “แต่นอกจากการฝังเข็มในบริเวณนี้แล้ว ถ้าจะให้อาการของคนไข้หายขาดจริง ๆ ก็ต้องใช้วิธีการปล่อยเลือดร่วมด้วย เพราะการปล่อยเลือดออกมานั้นจะช่วยระบายลมร้อนออกจากร่างกายได้โดยตรง”

“เข้ามาใกล้ ๆ สิ เดี๋ยวฉันจะทำให้เธอดูว่าการฝังเข็มแบบปล่อยเลือดนั้นต้องทำยังไงบ้าง”

พูดจบอาจารย์แพทย์อาวุโสก็นำชุดเข็มสำหรับการปล่อยเลือดออกมาสาธิตวิธี

“การฝังเข็มแบบปล่อยเลือดนั้นจะเป็นการสะกิดปลายเข็มลงไปบนผิวหนังของคนไข้ เข็มที่ปักลงไปจำเป็นต้องมีน้ำหนักเบา ไม่ลึก รวดเร็ว แต่แม่นยำ โดยทั่วไปแล้วเลือดที่ถูกปล่อยออกมาสามารถมีจำนวนน้อยเพียงไม่กี่หยด ไปจนมากถึงจำนวนหลายมิลลิเมตรตามความยาวของตัวเข็ม”

หลังจากนำอุปกรณ์ทั้งหมดออกมาแสดง และสาธิตวิธีการปล่อยเลือดคร่าว ๆ ให้ดู หลี่เคอหมิงก็หันมาถามกับซูเย่ว่า

“เธอพอจะเข้าใจไหม?”

“เข้าใจหมดแล้วครับ” ซูเย่พยักหน้าอย่างมั่นใจ

เข้าใจหมดแล้วอย่างนั้นหรือ?

แพทย์ฝังเข็มที่ยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านข้างพร้อมกับกลุ่มลูกศิษย์ถึงกับชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบของชายหนุ่ม

การรักษาแบบปล่อยเลือดแตกต่างจากการฝังเข็มทั่วไป

แม้นี่จะเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็อาจเกิดความเสียหายต่อคนไข้ได้ง่ายดายเช่นกัน

แล้วซูเย่กล้าพูดออกมาได้อย่างไรว่าเข้าใจหมดแล้ว?

แต่เมื่อดูสีหน้าของหลี่เคอหมิงก็เห็นได้ชัดว่าผู้เป็นอาจารย์เชื่อในคำพูดของชายหนุ่มคนนี้จริง ๆ

ซูเย่หยิบชุดเข็มสำหรับการปล่อยเลือดออกมาชุดหนึ่ง และเริ่มต้นทดลองกับตัวเอง

ผลก็คือชายหนุ่มสามารถสะกิดเลือดออกมาจากใต้ผิวหนังได้อย่างแม่นยำ และไม่มีปัญหาใด ๆ แทรกซ้อนสักนิด

เมื่อเห็นดังนั้น

เหล่านักศึกษาคณะแพทย์แผนจีนต่างก็ยืนนิ่งอึ้งตกตะลึง

ให้ตายสิ ระดับความสามารถอย่างซูเย่ไม่น่าจะใช่ความสามารถของมนุษย์เดินดินอีกต่อไปแล้ว

แพทย์ฝังเข็มที่ยืนอยู่ด้านข้างหันขวับกลับมามองหน้ากลุ่มลูกศิษย์ของตนเองด้วยสายตาเย็นชา

กลุ่มลูกศิษย์ไม่มีใครกล้าสบตามองหน้าอาจารย์สักคน!

แต่พวกเขาก็จนปัญญาที่จะทำอะไรได้ เพราะตนเองไม่มีความสามารถเลิศล้ำอย่างซูเย่

“ถ้างั้นเรามาเริ่มกันเลยนะ”

หลี่เคอหมิงพยักหน้าส่งสัญญาณบอกซูเย่

ชายหนุ่มเตรียมลงมือรักษาด้วยวิธีการปล่อยเลือด

ทุกคนต่างก็จ้องมองด้วยความตื่นเต้น

ปกติแล้วการรักษาด้วยวิธีนี้ค่อนข้างเป็นเรื่องใหญ่ แต่ซูเย่กลับหยิบจับอุปกรณ์ทุกอย่างด้วยความเยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง

“หมอนี่จิตใจทำด้วยอะไรวะเนี่ย?”

หลี่เคอหมิงได้ยินนักศึกษาแพทย์คนหนึ่งถึงกับอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง

ความอิจฉาริษยาปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนักศึกษาแพทย์เกือบทุกคน

ซูเย่กำลังจะได้เริ่มฝึกการรักษาแบบปล่อยเลือดก่อนคนอื่นอีกแล้ว

พวกเขาก็อยากทำบ้างเหมือนกัน!

จนถึงตอนนี้วิธีการรักษาเดียวที่พวกเขาเพิ่งเริ่มฝึกฝนกันก็คือการครอบแก้ว เพราะอาจารย์บอกว่ามันเป็นวิธีการรักษาที่เรียบง่ายมากที่สุด แม้แต่คนโง่ที่สุดก็ยังสามารถทำได้

ยิ่งเห็นแบบนี้ทุกคนก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตนเองเป็นคนโง่อย่างไรชอบกล!

“คุณหมอหลี่คะ”

ทันใดนั้นมารดาของเด็กชายไม่สามารถระงับความวิตกกังวลได้อีกต่อไป

เธอแค่อยากพาลูกมาหาหมอ ไม่ได้อยากให้ลูกของตนเองกลายเป็นหนูทดลองของคุณหมอหน้าใหม่สักหน่อย

เรื่องนี้เธอย่อมไม่พอใจ!

“แม่ว่าให้คุณหมอที่มีประสบการณ์ทำการรักษาดีกว่านะคะ” แม่เด็กพูดกับหลี่เคอหมิงก่อนจะหันมามองซูเย่ด้วยแววตาตั้งคำถาม “อีกอย่าง คุณหมอคนนี้ก็ยังเป็นแค่หมอฝึกหัดไม่ใช่เหรอคะ?”

“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ”

หลี่เคอหมิงยิ้มแย้มอย่างใจเย็น “ผมขอรับรองว่าเขามีฝีมือดีพอ”

“แต่ถ้าคุณหมอหลี่เป็นคนลงมือรักษาด้วยตัวเอง แม่จะสบายใจขึ้นเยอะเลยค่ะ”

มารดาของเด็กชายได้แต่ส่ายหน้าซ้ำไปซ้ำมาอยู่อย่างนั้น

พ่อเด็กที่ยืนอยู่ด้านข้างก็ขยับเข้ามายืนแทรกกลางระหว่างบุตรชายกับซูเย่แล้วเช่นกัน

เห็นได้ชัดว่าพ่อแม่เด็กไม่เชื่อใจในฝีมือของซูเย่

บรรยากาศในห้องฝังเข็มจึงตกอยู่ในความเงียบ

“คุณหมอหลี่ครับ ผมมาแล้ว”

ทันใดนั้นเสียงที่คุ้นหูของใครคนหนึ่งก็ดังขึ้นนอกห้องฝังเข็ม แต่เสียงนี้มีความสดใสมากกว่าครั้งที่แล้วหลายเท่า

สิ่งที่น่าเหลือเชื่อก็คือนี่คือเสียงพูดของชายชราผู้เป็นอัมพาตครึ่งซีก และได้รับการฝังเข็มเมื่อครั้งก่อน

“ขอบคุณครับ ขอบคุณครับ”

ลูกชายของชายชราเข็นรถเข็นของผู้เป็นบิดาเข้ามาในห้องฝังเข็ม เมื่อชายชราเห็นหน้าหลี่เคอหมิงกับซูเย่ เขาก็ได้แต่กล่าวขอบคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่า “ตั้งแต่รับการฝังเข็มไปครั้งที่แล้ว ผมก็รู้สึกดีขึ้นเยอะเลยครับ ไม่ทราบว่าวันนี้ผมจะขอให้คุณหมอช่วยฝังเข็มให้อีกครั้งได้หรือเปล่า?”

แพทย์ฝังเข็ม และลูกศิษย์ของเขาได้แต่หันมองหน้ากันด้วยความเหลือเชื่อ

ในจังหวะที่พ่อแม่เด็กสงสัยในความสามารถของซูเย่ ชายชราคนนี้ก็ปรากฏตัวขึ้นมาพอดี

อะไรจะถูกที่ถูกเวลาขนาดนี้!

ซูเย่นี่เป็นลูกรักสวรรค์หรือไงนะ!

พวกเขาหันหน้าไปมองพ่อแม่ของเด็กชาย และได้พบว่าพ่อแม่เด็กก็กำลังตกตะลึงไม่แพ้กัน

พ่อแม่เด็กหันไปมองหน้าซูเย่ด้วยความเหลือเชื่อ

หมอหนุ่มคนนี้เป็นยอดฝีมืออย่างนั้นหรือ?

“ถ้าอย่างนั้น…”

หลี่เคอหมิงหันมองพ่อแม่ของเด็กชาย ก่อนจะหันกลับมามองชายชรา และหันไปพูดกับซูเย่ในที่สุดว่า “เอาเป็นว่าซูเย่ เธอฝังเข็มให้คุณตาท่านนี้ก็แล้วกัน เดี๋ยวฉันจะจัดการฝังเข็มให้หนูน้อยคนนี้เอง”

“ได้เลยครับ”

ซูเย่พยักหน้า

ชายชราส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข

หลังจากนั้นลูกชายของเขาก็ช่วยประคองชายชราขึ้นไปนอนเหยียดอยู่บนเตียงคนไข้ และรอคอยการฝังเข็มจากซูเย่อย่างสบายใจ

หลี่เคอหมิงเดินไปยืนอยู่ข้างเตียงของเด็กชายที่อยู่ข้างกัน

อาจารย์แพทย์อาวุโสกำลังจัดเตรียมอุปกรณ์สำหรับการปล่อยเลือด

“เดี๋ยวค่ะ แม่อยากดูฝีมือของคุณหมอคนนี้ก่อนสักหน่อย…” มารดาของเด็กชายหันมองหน้าสามี และรีบร้องบอกต่อหลี่เคอหมิงด้วยน้ำเสียงกระดากใจเล็กน้อย

“ไม่มีปัญหาครับ”

หลี่เคอหมิงพยักหน้า

เห็นไหมล่ะ นึกแล้วเชียวว่าต้องเป็นแบบนี้!

บรรดานักศึกษาแพทย์หันมากระซิบกระซาบกันด้วยความฉุนเฉียว

ซูเย่ตรวจสอบร่างกายของชายชราเพื่อกำหนดจุดฝังเข็ม

ต่อจากนั้นเขาก็เริ่มการฝังเข็มอย่างรวดเร็ว

วิธีการรักษายังคงเป็นเช่นเดิมอย่างครั้งที่แล้ว

ฝังเข็มลงไปก่อน ตามด้วยโคจรพลังลมปราณ

เริ่มจากจุดฝังเข็มบนศีรษะและใบหน้า

จุดป่ายฮุ่ย จุดซ่างซิง…

เมื่อฝังเข็มลงไปบนใบหน้าชายชราเรียบร้อย ซูเย่ก็กระตุ้นจุดลมปราณด้วยการโคจรพลังลมปราณเข้าไปเป็นจำนวนมาก

หลังการฝังเข็มจุดแรกผ่านพ้นไป ชายชราก็รู้สึกสบายตัวมากขึ้น

ก่อนจะตามมาด้วยการฝังเข็มจุดที่สอง การฝังเข็มจุดที่สาม…

ทุกครั้งที่เข็มถูกปักลงไป ร่างกายของชายชราจะมีอาการสั่นเล็กน้อย

จากนั้นก็เป็นการฝังเข็มบริเวณแขนของชายชรา

เมื่อเข็มสุดท้ายถูกปักลงไป

จุดลมปราณในร่างกายช่วงบนของคนไข้ก็เชื่อมต่อกันอย่างสมบูรณ์ พลังลมปราณในร่างกายชายชราไหลเวียนอย่างสะดวกมากขึ้น ดังนั้น ชายชราจึงค่อย ๆ ลองยกแขนของตนเองขึ้นอย่างเชื่องช้า

“ผะ ผมยกแขนขึ้นได้จริง ๆ ด้วย”

ชายชราเบิกตาโต ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น

“หืม?”

เห็นดังนั้นทุกคนที่อยู่ในห้องฝังเข็มก็ต้องอุทานออกมาด้วยความตื่นตะลึง

พวกเขาพูดอะไรไม่ออกอีกแล้ว!

ครั้งที่แล้วหลายคนยังคงเชื่อว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญอย่างปาฏิหาริย์ เหตุการณ์เดิมไม่มีทางเกิดขึ้นอีกครั้งในวันนี้ แต่คิดไม่ถึงเลยว่าชายชราผู้เป็นอัมพาตครึ่งซีก กลับสามารถยกแขนของตนเองขึ้นมาได้อีกครั้ง!

หลังจากนั้น

ซูเย่ก็จัดการฝังเข็มที่ช่วงขาของชายชรา

ใช้เวลาไม่นาน

เมื่อฝังเข็มเสร็จเรียบร้อย ชายชราก็สามารถยกขาขึ้นจากเตียงได้เช่นกัน มิหนำซ้ำเขายังสามารถยกขึ้นสูงกว่าครั้งที่แล้วอีกด้วย

“รีบไปเอามาเร็วเข้า…”

ชายชรารีบร้องบอกลูกชายของตนเอง

ได้ยินดังนั้น

ลูกชายของชายชราก็วิ่งออกไปจากห้อง

“ไม่ต้องหรอกครับ!”

หลี่เคอหมิงรีบตะโกนไล่หลังไปทันที “ครั้งก่อนพวกคุณก็ให้ธงขอบคุณพวกเรามาแล้ว ไม่จำเป็นต้องให้ทุกครั้งก็ได้ แค่คุณดูแลคุณพ่อให้ดีก็พอแล้ว จะว่าไปนี่ก็เป็นหน้าที่ของพวกเรา ไม่ต้องขอบคุณอะไรเป็นพิเศษหรอกครับ!”

เมื่อพ่อแม่ของเด็กชายตาบวมเห็นดังนั้น พวกเขาก็ถึงกับยืนนิ่งอึ้งไปทันที

______________