เล่มที่ 6 บทที่ 169 นางเป็นคนถ่อยที่เห็นแก่ผลประโยชน์

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

เซียวยวี่ยืนอยู่ข้างนอก เมื่อเห็นว่าภายในห้องดับไฟแล้ว เขาจึงเดินไปยังห้องของเซียวจื่อเซวียน

เซียวจื่อเซวียนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ หอบหมอนไว้กำลังจะเดินออกไป

เซียวยวี่ขมวดคิ้ว “ดึกขนาดนี้แล้ว จะไปไหน? ”

“พี่ใหญ่ ข้าจะไปห้องพี่สะใภ้ใหญ่ขอรับ” เซียวจื่อเซวียนกล่าวด้วยรอยยิ้มเบิกบาน

เซียวยวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าไปห้องนางทำไม? ”

“ท่านไม่อยู่บ้าน ปกติข้าก็นอนอยู่ในห้องพี่สะใภ้ใหญ่ขอรับ”

“อาเมิ่งเล่า? เหตุใดถึงไม่อยู่ในห้อง? ” เซียวยวี่มองดูโดยรอบ กลับไม่เห็นคน

“ตั้งแต่วันที่สองหลังท่านไป อาเมิ่งก็นอนกับพี่สะใภ้ใหญ่แล้วขอรับ”

วันที่สองหลังเขาไป เซี่ยยวี่หลัวก็คอยดูแลอาเมิ่งแล้ว?

จู่ๆ เซียวยวี่ก็นึกถึงวันแรกที่เขาออกเดินทางแต่เช้า ถ้อยคำที่เซี่ยยวี่หลัวกล่าวกับเขาจากตำแหน่งที่ห่างออกไป

“เซียวยวี่ ข้าจะรอเจ้ากลับมา! ”

คำพูดนี้ เขาแทบจะลืมไปแล้ว

“คืนนี้เจ้าไม่ต้องไป อยู่คุยกับพี่ใหญ่ก่อน” เซียวยวี่เข้าไปในห้อง

เซียวจื่อเซวียนมองไปทางห้องข้างๆ อย่างรู้สึกเสียดาย ก่อนเดินตามเซียวยวี่เข้าไปในห้องด้วยท่าทางเสียดายเต็มประดา

พี่ใหญ่ให้เขาอยู่ด้วย เขาจะไม่อยู่ได้อย่างไร!

แม้นิทานจะสนุกเพียงใด ก็ได้แต่ให้พี่สะใภ้ใหญ่ช่วยเล่าให้เขาฟังอีกรอบพรุ่งนี้แล้ว

เซี่ยยวี่หลัวกับเซียวจื่อเมิ่งรออยู่ในห้องครู่หนึ่ง ไม่เห็นเซียวจื่อเซวียนมา เกรงว่าคงถูกเซียวยวี่รั้งตัวไว้

เมื่อมาไม่ได้พวกเขาก็เล่านิทานก่อนนอนกันก่อน

เซี่ยยวี่หลัว “เราเล่านิทานกันก่อนแล้วกัน พวกเราเล่าเสร็จก็นอนเลย”

“ไม่รอพี่รองหรือเจ้าคะ? ” เซียวจื่อเมิ่งเอ่ยถามเสียงใส

“พี่รองของเจ้าน่าจะมาไม่ได้แล้ว” เซี่ยยวี่หลัวหันมองดูข้างนอก พร้อมกล่าวอย่างเรียบสงบ

เซียวยวี่ย่อมต้องไปหาเซียวจื่อเซวียนเพื่อถามเรื่องบางอย่าง!

นางเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้ เซียวยวี่เป็นคนฉลาดปราดเปรื่อง เขาต้องดูออกนานแล้วแน่

สองพี่น้องนั่งลงภายในห้อง

ห้องของเซียวจื่อเซวียนคือห้องเดิมของเซียวยวี่ เมื่อก่อนห้องของเขาคับแคบมาก ทั้งต้องวางเตียง ทั้งต้องวางโต๊ะ รอบข้างมีแต่ตำราวางระเกะระกะ ทั้งบนเตียง บนโต๊ะ บนพื้น วางอยู่ทั่วห้อง

หลังจากย้ายข้าวของของเขาไปแล้ว ภายในห้องก็เหลือเพียงเตียงหนึ่งเตียง ตู้ขนาดเล็ก ตู้นี่ทำขึ้นใหม่ มีประตูบนกับล่างสองบาน ด้านบนวางเสื้อผ้าตามฤดูกาล ส่วนตู้ด้านล่างวางเครื่องนอนกับเสื้อผ้าที่ไม่ได้ใส่

เซียวยวี่เปิดตู้เสื้อผ้าดู ภายในตู้มีเสื้อใหม่สองตัว

“เสื้อใหม่? ” เซียวยวี่หันกลับมาถามเซียวจื่อเซวียน

เซียวจื่อเซวียนยิ้มจนตาหยีขณะขึ้นเตียง “ขอรับ พี่สะใภ้ใหญ่ทำให้ข้า”

เซียวยวี่มาถึงข้างเตียง บนเตียงมีเครื่องนอนสะอาดและใหม่ปูไว้ เซียวยวี่จำได้ว่าเมื่อก่อนเครื่องนอนบ้านเขาเต็มไปด้วยรอยปะ เวลานี้เก็บกวาดอย่างสะอาดและเรียบร้อย

เซียวยวี่นั่งลงข้างเตียง จ้องมองเซียวจื่อเซวียนโดยละเอียด

เด็กคนนี้ตัวสูงขึ้นมาก เมื่อก่อนหิวโซจนมีแต่หนังหุ้มกระดูก เวลานี้ใบหน้ามีน้ำมีนวล ผิวสีชมพูอ่อนนุ่ม บนกายสวมใส่เสื้อซับในสีขาวผ่องดุจหิมะ นั่งอยู่ตรงนั้นพร้อมเผยรอยยิ้มที่มุมปาก เหมือนกับเขาในอดีตที่มีอายุเท่ากับจื่อเซวียนในขณะที่ท่านพ่อท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ไม่มีผิด

ในอดีต เขาเองก็ไร้ทุกข์ไร้กังวล เพียงตั้งใจเรียนหนังสือ ไม่จำเป็นต้องกลัดกลุ้มใจในเรื่องใด

มองดูอยู่นาน ครุ่นคิดอยู่นาน จึงเอ่ยถามเซียวจื่อเซวียน “อาเซวียน เจ้าบอกข้าตามตรง ระหว่างที่พี่ใหญ่ไม่อยู่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ”

“พี่ใหญ่ ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนี่ขอรับ” เซียวจื่อเซวียนไม่เข้าใจความหมายของพี่ใหญ่

เซียวยวี่ขมวดคิ้ว “เจ้าไม่คิดจะอธิบายให้ข้าฟังหน่อยหรือ ว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในบ้าน และเงินที่เจ้าให้ท่านอาเซียวเหลียงส่งไปเป็นมาอย่างไร? ”

เซียวจื่อเซวียนเข้าใจทันที “พี่ใหญ่ ท่านหมายถึงเรื่องนั้นหรือขอรับ นั่นเป็น เป็น เป็นเงินของบ้านเราขอรับ! ”

“เงินของบ้านเรา? ” เซียวยวี่เอ่ยถาม “ตอนข้าไป แบ่งเงินเป็นสามส่วน เจ้าห้าตำลึง นางห้าตำลึง ข้าพกติดตัวไปสองตำลึง นอกเหนือจากนั้น ในบ้านก็ไม่มีอะไรอีก เงินสิบเจ็ดตำลึงที่เจ้าส่งไปในภายหลัง เอามาจากไหน? ”

เซียวจื่อเซวียนครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว

เขาอยากพูดความจริงกับพี่ใหญ่ แต่พี่สะใภ้ใหญ่เคยบอกไว้ ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็จะบอกเรื่องที่พี่สะใภ้ใหญ่เขียนหนังสือเป็นไม่ได้

เว้นเสียแต่พี่สะใภ้ใหญ่จะบอกด้วยตัวเอง

แต่นี่เป็นพี่ชายแท้ๆ ของเขา ไม่ใช่คนอื่นเสียหน่อย!

เซียวจื่อเซวียนแสดงสีหน้าลำบากใจ คนหนึ่งเป็นพี่ใหญ่ อีกคนเป็นพี่สะใภ้ใหญ่ ล้วนเป็นคนที่เขาสนิทที่สุด ถ้าไม่ใช่ทรยศพี่สะใภ้ใหญ่ก็ต้องโกหกพี่ใหญ่ อย่างไรก็ต้องผิดต่อฝ่ายหนึ่ง จะดีจริงหรือ?

เซียวยวี่เห็นว่าเซียวจื่อเซวียนเงียบอยู่นาน จึงถามอีกครั้ง “เอาเงินมาจากไหนกันแน่? ”

เซียวจื่อเซวียนรีบลุกขึ้นยืน “พี่ใหญ่ เงินนั่นข้าได้มาจากการคัดตำราขอรับ! ”

“เจ้าได้มาจากการคัดตำรา? ” ในห้วงภวังค์ของเซียวยวี่หวนคิดถึงตัวหนังสือของเซียวจื่อเซวียนที่เขาเพิ่งเห็นเมื่อครู่ แม้จะมีความก้าวหน้าขึ้นมาก แต่ก็ไม่ได้ดีถึงขั้นจะคัดตำราให้คนอื่นได้

“เป็นเงินที่ได้จากการช่วยพี่เซียวยิงคัดตำราขอรับ! ” เซียวจื่อเซวียนตอบ

“ตัวหนังสือที่เจ้าเขียน จะเข้าตาพี่เซียวยิงหรือ? ” เซียวยวี่ขมวดคิ้ว ถึงแม้ว่าตัวหนังสือในตอนนี้จะดูดีขึ้นไม่น้อย แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะคัดตำราได้

เซียวจื่อเซวียนกัดริมฝีปาก ได้แต่โกหกต่อ “ข้าคัดตำราจริงขอรับ ระหว่างที่ท่านไม่อยู่บ้าน ข้าฝึกเขียนพู่กันตลอด ลายมือของข้าดูดีขึ้นมากแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น พี่เซียวยิงบอกว่าตำรานั่นไม่ได้มีเงื่อนไขอะไรมาก ขอเพียงเขียนตัวหนังสือที่อ่านออกและชัดเจนได้ก็พอ ดังนั้นเขาจึงให้งานข้าทำ”

ตำราเหล่านั้นส่งไปให้พี่เซียวยิงนานแล้ว พี่ใหญ่คงไม่สามารถไปขอตำรามาดู

เซียวยวี่ขมวดคิ้ว เข้าใจเรื่องราวแล้ว

พี่เซียวยิงดีต่อเขามาตลอด เช่นนั้นดูท่าว่าไม่ใช่อีกฝ่ายต้องการตัวหนังสือของเซียวจื่อเซวียน แต่เซียวยิงจงใจปล่อยผ่าน ไม่อยากให้เงินต่อหน้า จึงได้แต่ช่วยดูแลอย่างลับๆ

เรื่องนี้ต้องเป็นเพราะพี่เซียวยิงช่วยดูแล ดูท่าครั้งหน้าต้องขอบคุณพี่เซียวยิงต่อหน้าแล้ว

“แล้วเรือนหลังนั้นเล่า? เงินที่ใช้ปลูกเรือนและตัดเย็บเสื้อผ้ามาจากไหน? ”

เซียวจื่อเซวียนกรอกตาไปมา “เป็นสินเดิมของพี่สะใภ้ใหญ่ขอรับ”

เซียวยวี่รู้ว่าตอนเซี่ยยวี่หลัวแต่งเข้ามานำหีบใบหนึ่งมาด้วย แต่หีบนั่นใส่กุญแจไว้อย่างแน่นหนาตลอด ใครจะรู้ว่าในนั้นมีอะไร

พอได้ยินว่าเซี่ยยวี่หลัวนำสินเดิมมาเป็นทุนปลูกเรือน และซื้อเสื้อผ้าใหม่ เซียววี่จึงพยักหน้า “อ่อ เป็นเช่นนี้เอง”

เขาเชื่อแล้ว เพียงแต่ไม่อาจคาดเดาได้ว่าเซี่ยยวี่หลัวทำเช่นนี้ไปเพื่ออะไร!

เซี่ยยวี่หลัวเป็นคนที่รักเงินทองยิ่งชีพ เป็นคนตระหนี่ถี่เหนียวที่ไม่ยอมเสียเงินแม้แต่อีแปะเดียว ตัวเองกินดีอยู่ดีก็พอแล้ว ไม่เคยคิดเผื่อคนอื่นแม้แต่น้อย คราวนี้ เหตุใดนางถึงใจกว้างถึงเพียงนี้ ไม่เพียงให้เด็กสองคนได้กินอาหารดี ทั้งยังปลูกเรือนหลังใหม่ และตัดเสื้อใหม่ด้วย?

หรือว่า นางคิดว่าเขาสอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉแล้วจริงๆ นางจะได้เป็นฮูหยินขุนนาง ดังนั้นจึงทำเช่นนี้หรือ?

“นางปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างไรบ้าง? ” เซียวยวี่เอ่ยถาม

เซียวจื่อเซวียนได้ฟังคำถามนี้ ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย พยักหน้าราวกับลูกไก่ที่กำลังจิกเมล็ดข้าวก็มิปาน “พี่สะใภ้ใหญ่ดีต่อพวกเรามากขอรับ ทำอาหารอร่อยให้พวกเรากินทุกวัน ท่านดูสิ เสื้อใหม่เหล่านี้พี่สะใภ้ใหญ่ก็เป็นคนทำให้พวกเราขอรับ”

ตอนนี้บนกายเด็กๆ สะอาดหมดจด ไม่มีรอยฟกช้ำดำเขียวแม้แต่น้อย ดูท่าว่าเซี่ยยวี่หลัวไม่ได้ทารุณเด็กสองคนแล้วจริงๆ ทั้งยังดูแลเด็กสองคนเป็นอย่างดี

เซียวยวี่ผ่อนลมหายใจยาวด้วยความรู้สึกโล่งใจ

“นี่ก็ดึกแล้ว รีบเข้านอนเถอะ” เซียวยวี่ตบศีรษะเซียวจื่อเซวียนเบาๆ หันตัวเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง

เซียวจื่อเซวียนขยับริมฝีปากเบาๆ ก้มหน้าด้วยความรู้สึกผิดเต็มประดา

ภายในใจรู้สึกผิดยิ่งนัก พี่ใหญ่ ขอโทษจริงๆ ข้ารับปากกับพี่สะใภ้ใหญ่ก่อนแล้วว่าจะไม่บอกใครทั้งนั้น

ตอนนี้เซียวจื่อเซวียนเพิ่งตระหนักได้ ที่แท้ภายในใจเขา พี่สะใภ้ใหญ่มีความสำคัญเท่ากับพี่ใหญ่แล้ว

เซียวยวี่กลับห้องไปด้วยความรู้สึกหนักหน่วงในใจ

นอนลงบนเตียง ฟูกด้านล่างอ่อนนุ่ม กลิ่นหอมอ่อนๆ ของสบู่ที่แฝงเร้นด้วยกลิ่นอายของแสงอาทิตย์ลอยแตะจมูก ทั้งหอมทั้งอบอุ่น

เขาทั้งรู้สึกดีใจ ทั้งรู้สึกว่าน่าขัน

กลับมาจากจังหวัดจิ้นชาง เดิมทีคิดว่ากลับถึงบ้านจะต้องเปิดศึกวิวาทกันอย่างรุนแรง ตลอดการเดินทาง เซียวยวี่ไม่เคยรู้สึกผ่อนคลายแม้แต่วินาทีเดียว พอกลับถึงบ้าน ทุกอย่างต่างจากที่เขาจินตนาการ เขากลับไม่รู้สึกดีใจ

ทั้งยังรู้สึกรังเกียจ

นางเป็นคนถ่อยที่เห็นแก่ผลประโยชน์ ต่อให้ดีต่อเด็กๆ มากเพียงใด ก็เป็นเพราะคิดว่าเขาจะสอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉจึงทำเช่นนี้

หากรู้ว่าเขาสอบไม่ผ่าน นางต้องกลับสู่สภาพเดิมแน่ คงกลับไปเป็นเซี่ยยวี่หลัวคนเดิม

เซียวยวี่มองดูมุ้งสีขาวผ่องดุจหิมะที่อยู่เหนือศีรษะพร้อมยิ้มอย่างเย็นเยียบ

ช่างเป็นคนถ่อยที่รู้จักประจบเอาใจเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองจริงๆ