ซุนต้าหูจะไม่รู้ได้อย่างไร แต่เขาไม่มีทางอื่นแล้วจริง ๆ เขาต้องการเงินจึงทำได้เพียงเอาเงินไปพนันเท่านั้น
ซุนต้าหูหลบสายตาเจียงป่าวชิง “น้องป่าวชิง ใจข้านั้นรู้ดี”
เจียงป่าวชิงเห็นดังนั้น นางก็พูดอะไรไม่ได้อีก จึงต้องโบกมือและเดินกลับไปทางบ้านตัวเอง ทว่าเมื่อกลับถึงบ้านก็เห็นประตูบ้านเปิดอยู่ เจ้าเสี่ยวหวงกับเจ้าเสี่ยวป๋ายกำลังกระโดดไปมาอยู่นอกบ้าน พวกมันกำลังเล่นกันอย่างเจ้าโถมตัว ข้าไล่ตามทำนองนั้น
เจียงป่าวชิงรู้สึกได้ถึงความผิดปกติแปลก ๆ บางอย่างจึงรีบไล่ต้อนเจ้าเสี่ยวหวงกับเจ้าเสี่ยวป๋ายเข้าไปในบ้านแล้วปิดประตูบ้าน ก่อนจะตะโกนเรียกพี่ชายอย่างลองเชิง
และเป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ ไม่มีเสียงขานรับใด ๆ จากพี่ชายของนาง
เจียงป่าวชิงรู้สึกหนักใจ แต่ก็พยายามเพิ่มระดับเสียงในการเรียกพี่ชายอีกครั้ง ซึ่งก็… ยังคงไม่มีการขานรับใด ๆ
ไป๋จีได้ยินเสียง เขาก็ออกมาจากในห้องหลักที่อยู่ในลานบ้านข้าง ๆ แล้วเรียกเจียงป่าวชิง
เจียงป่าวชิงหันหน้าไปมอง
ไป๋จีพยักหน้าให้นาง “แม่นางเจียงอย่าได้ร้อนใจไป พี่ชายของเจ้าออกไปตามหาฝูฉู”
“เกิดอะไรขึ้นหรือ ?” เจียงป่าวชิงขมวดคิ้ว พี่ชายของนางนั้น เป็นคนที่ถึงแม้ว่าจะยังคงเป็นชายหนุ่มที่โตไม่เต็มที่ แต่เขาสามารถทำเรื่องต่าง ๆ ได้อย่างมั่นคงและรอบคอบมาก แน่นอนว่าจะไม่มีสถานการณ์อย่างเช่นออกจากบ้านโดยที่ลืมแม้กระทั่งปิดประตูบ้านเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
เพราะถึงอย่างไร ที่บ้านก็มีลูกหมาที่ชอบกระโดดโลดเต้นอยู่ในบ้านอีกสองตัว ดังนั้น เหตุการณ์เช่นนี้แสดงว่าจะต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างแน่นอน ถึงทำให้เจียงหยุนชานออกจากบ้านอย่างใจร้อนขนาดที่ว่าลืมปิดประตูบ้านแบบนี้
เจียงป่าวชิงที่เป็นน้องสาวฝาแฝดจะไม่ร้อนใจได้อย่างไรกันล่ะ ?
ทว่าไป๋จีเองก็ไม่ใช่พยาธิไส้เดือนในท้องของฝูฉู เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขารู้เพียงว่าตอนเช้าตรู่ของวันนี้ ฝูฉูได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง จากนั้นนางก็รีบออกจากบ้านไปโดยไม่พาองครักษ์ติดตัวไปด้วย เวลาหนึ่งชั่วยามต่อมา สาวใช้แปลกหน้าคนหนึ่งก็รีบกลับมารายงานข่าวพร้อมกับปิ่นปักผมของฝูฉู นางบอกว่าเกิดเรื่องขึ้นกับฝูฉูและคุณหนูของนาง และบอกว่าพวกนางตกลงไปในหุบเขาโดยไม่รู้ว่าจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
เนื่องจากตอนที่สาวใช้คนนั้นมารายงานข่าว นางไปผิดบ้าน เจียงหยุนชานจึงรู้เรื่องนี้เช่นกัน
“…ดังนั้น” เจียงป่าวชิงขมวดคิ้วมุ่น “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็หมายความว่าพี่ชายของข้าไปช่วยตามหาฝูฉูที่ในหุบเขาน่ะรึ ?”
ไป๋จีพูดขึ้น “แม่นางเจียงไม่ต้องห่วง ตอนหลังพอนายท่านของข้ารู้เรื่องนี้ เขาก็ส่งองครักษ์กลุ่มหนึ่งออกไปตามหาแล้ว ไม่นานก็คงจะได้ข่าวคราวแล้วล่ะ”
เจียงป่าวชิงกัดริมฝีปากล่างเล็กน้อย นางตัดสินใจก่อนจะพูดออกมา “ไม่ได้ ถึงอย่างไรข้าก็ยังคงไม่วางใจอยู่ดี เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้ เกรงว่าพี่ชายของข้าคงจะไม่คุ้นชินกับเส้นทางในภูเขาเท่าข้า เห็นทีข้าต้องไปดูหน่อยแล้ว” พูดเสร็จ นางก็รีบออกจากบ้านไปทันที
ไป๋จีเรียกเจียงป่าวชิง แต่นางกลับไม่หันมาสนใจเขาแม้แต่นิดเดียว ทำเพียงวิ่งออกไปไกลเรื่อย ๆ
ไป๋จีรีบกลับมารายงานกงจี้ที่ในห้อง “นายท่านขอรับ แม่นางเจียงได้ทราบเรื่องแล้ว ตอนนี้นางก็ไปตามหาฝูฉูด้วยเช่นกันขอรับ”
เมื่อเงยหน้าขึ้นมา ไป๋จีก็เห็นว่าสีหน้านายท่านของเขานั้นอึมครึมมาก
“อือ! ข้าได้ยินหมดแล้ว เด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างนางจะไปสร้างปัญหาเพิ่มอีกทำไมกัน ?!” กงจี้สูดหายใจเข้าลึก ๆ “ไป๋จี เจ้าส่งกำลังทหารไปเพิ่มอีก และจับตาดูเจียงป่าวชิงไว้ให้ดี ๆ”
คำพูดประโยคหลังแทบจะกัดฟันพูดออกมาอยู่แล้ว
แต่ไป๋จีกลับมีความลังเลอยู่เล็กน้อย “นายท่าน องครักษ์ที่อยู่ในเงามืดต่างก็ย้ายไปที่อื่นแล้ว ถ้าอย่างนั้น…” ไป๋จียังพูดไม่ทันจบ เขาก็ปิดปากไปทั้งอย่างนั้น ด้วยเพราะเขาเห็นสีหน้านายท่านของตัวเองอึมครึมเหมือนต้องการกินหัวคนอย่างไรอย่างนั้น
ไป๋จีรู้ดีว่าในเวลาเช่นนี้ พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ เขาจึงทำความเคารพและหมุนตัวไปทำการย้ายกำลังคนเสียเลย
……
ในป่าเขาช่วงปลายฤดูร้อนต้นฤดูใบไม้ร่วง เสียงจักจั่นยังคงตะเบ็งเซ็งแซ่ร้องดังหนวกหูอยู่เล็กน้อย เจียงป่าวชิงร้อนใจนัก นางรีบเดินและตะโกนเรียกหาพี่ชายของตัวเองไปด้วย
เนื่องจากมีเทือกเขาหลายลูกในบริเวณใกล้เคียง พื้นที่ที่เป็นลักษณะหุบเขาจึงมีมากและพื้นที่ก็ไม่เล็กเช่นกัน เจียงป่าวชิงไปหาจุดที่ใกล้ที่สุดก่อน นางตะโกนเรียกพี่ชายจนลำคอแห้งผากอีกทั้งเสียงก็แหบนิดหน่อยแล้ว แต่เสียงที่ตอบรับนางกลับมามีเพียงเสียงร้องของจักจั่นเท่านั้น
เจียงป่าวชิงเดินหาคนตามพื้นที่หุบเขา หุบเขาที่นี่มีร่องรอยของคนน้อยมาก เถาวัลย์และวัชพืชป่ามีล้นหลามซึ่งแน่นอนว่าไม่มีทางวางเท้าเลย นางจึงต้องหักกิ่งไม้ที่ค่อนข้างหนา ทำการบุกเบิกทางอย่างยากลำบากและเดินไปข้างหน้าเพื่อตามหาพี่ชายของตัวเองไปด้วย
ครู่ต่อมา กล่องเสียงของเจียงป่าวชิงก็แหบแห้งเหลือจะทน มันแหบจนนางตะโกนไม่ได้อีก
ดีที่ว่าเจียงป่าวชิงโชคดี ตอนที่นางพบหุบเขาที่สาม นางก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของผู้หญิงอย่างราง ๆ ได้ยินดังนั้น นางก็รู้สึกมีชีวิตชีวาทันที จากนั้นก็เดินไปตามเสียงร้อง
ไม่นานนัก นางก็เห็นหญิงสาวสองคนนั่งอยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่ที่ทำความสะอาดเพียงน้อยนิด โดยมีเจียงหยุนชานยืนอยู่ข้างพวกนาง และดูเหมือนเขาจะกำลังพูดปลอบพวกนางอยู่อย่างไรอย่างนั้น
ลมหายใจที่เจียงป่าวชิงถือไว้อยู่ในใจหายไปทันที นางขาอ่อนและเกือบหกล้มลงไปบนพื้นอยู่แล้ว
โชคดีที่ในมือของนางยังมีกิ่งไม้ที่สามารถบุกเบิกทางและสามารถทำเป็นไม้เท้าได้ นางจับกิ่งไม้แน่นเพื่อค้ำยันร่างตนเองไว้ แล้วถึงจะรู้สึกเจ็บที่ฝ่ามือในภายหลัง
ที่แท้นางออกแรงจับมันจนเกินไป ทั้งฝ่ามือจึงถลอกเพราะเกิดจากการเสียดสีอยู่นาน
เจียงป่าวชิงไม่สนใจสิ่งนี้ นางค้ำร่างกายของตัวเองให้มั่นคง จากนั้นก็เดินไปข้างหน้าและเรียกพี่ชายด้วยเสียงที่แหบพร่า “พี่หยุนชาน”
เจียงหยุนชานหมุนตัวกลับมาทันที เขาเห็นเจียงป่าวชิงน้องสาวตัวเองยืนหมดสภาพอยู่ตรงนั้น บนศีรษะของนางยังมีหญ้าป่าที่ไม่รู้ว่าติดมาจากที่ไหน เสื้อผ้าของนางก็ถูกเกี่ยวจนขาดชำรุดไปบ้างบางจุด นางยืนยันไม้เท้าอยู่ตรงนั้น ดูน่าส่งสารเป็นอย่างยิ่ง
เจียงหยุนชานตกใจจนหน้าถอดสี จากนั้นเขาก็รีบเข้าไปพยุงเจียงป่าวชิงทันที “ป่าวชิง เจ้ามาได้อย่างไร ? นี่เจ้าไปทำอีท่าไหนมา ?”
เจียงป่าวชิงถอนหายใจ “พี่ออกมาอย่างรีบเร่ง ไม่ทิ้งข้อความบอกข้าสักคำ ข้ากลับมาถึงบ้านก็หาพี่ไม่เจอ ไป๋จีบอกว่าพี่ออกมาตามหาฝูฉู ข้าไม่วางใจจริง ๆ จึงออกมาตามหาพี่เจ้าค่ะ”
เจียงป่าวชิงไม่ใช่คนที่ชอบโฆษณาให้ตัวเองดูน่าเวทนา แต่นางจำเป็นต้องทำให้พี่ชายของตัวเองตระหนักได้ว่าเขาไม่ได้ตัวคนเดียว
เขาจะมาทำอะไรเอาแต่ใจแบบนี้ไม่ได้ เพราะจะมีคนเป็นห่วงเขา ซึ่งก็คือนาง
เจียงหยุนชานมีสีหน้ารู้สึกผิดจริง ๆ “ข้าไม่ดีเองป่าวชิง ข้าขอโทษ เอ่อ… เจ้ามานั่งพักก่อนสิ”
เจียงหยุนชานพยุงเจียงป่าวชิงอย่างระมัดระวัง เขาพานางมานั่งพักบนก้อนหินขนาดใหญ่
เดิมทีบนก้อนหินก็มีหญิงสาวสองคนนั่งอยู่ก่อนแล้ว หนึ่งในนั้นคือฝูฉู อีกคนเจียงป่าวชิงก็รู้จักนาง ซึ่งเป็นเรื่องบังเอิญอย่างมาก ย้อนไปในตอนที่เจียงป่าวชิงเพิ่งข้ามเวลามา นางเคยเจอกับเจ้านายลูกน้องคู่หนึ่งที่ถูกงูไม่มีพิษกัดอยู่ในป่า เนื่องจากเจียงป่าวชิงรู้สึกไม่สบายใจต่อท่าทีของพวกนาง จึงช่วยเหลือแต่ก็จงใจรีดไถเงินจากพวกนางด้วย
หญิงสาวอีกคนก็คือคุณหนูในตอนนั้นอย่างไรเล่า
ตอนนี้นางกำลังร้องไห้อยู่ โดยมีฝูฉูพูดปลอบอยู่ด้านข้าง
อย่างไรก็ตาม เจียงป่าวชิงไม่ได้พูดอะไร และนางทำเป็นไม่รู้จักคุณหนูคนนี้
เซยู่เสียเองก็จำเจียงป่าวชิงไม่ได้ ถึงแม้ว่าสภาพในปัจจุบันของเจียงป่าวชิงตอนนี้จะดูหมดสภาพมาก แต่ก็ไม่สามารถเทียบได้กับเด็กผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่หน้าตาเหลืองซูบเหมือนขอทานเมื่อตอนที่เพิ่งข้ามเวลามาในครั้งแรก
เซยู่เสียร้องไห้สะอึกสะอื้น “พี่ ส่งเด็กผู้หญิงมาจะมีประโยชน์อะไร ไม่ใช่ว่าพี่บอกว่ามีองครักษ์หรอกรึ ? แล้วเหตุใดถึงยังไม่มีใครมารับเราอีกเล่า ?”
ฝูฉูอดทน นางยังคงโอ๋เซยู่เสียต่อไปอย่างใจเย็น “ยู่เสีย ภูมิประเทศในภูเขาค่อนข้างซับซ้อน องครักษ์จะมาเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร เจ้าทนรออีกหน่อยนะ อีกอย่าง ที่นี่ใช่ว่าจะเป็นสถานที่ที่ไม่มีคนสักหน่อย”
เซยู่เสียสะอื้นอีกสองสามครั้ง จากนั้นนางก็เช็ดน้ำตาและหยุดร้องไห้ในที่สุด
ตอนนี้ฝูฉูถึงจะมีเวลาคุยกับเจียงป่าวชิง “ป่าวชิง ข้าทำให้เจ้าลำบากเสียแล้ว… คนที่ท่านชายของข้าส่งมาไม่ได้มาด้วยกันกับเจ้าหรอกรึ ?”
.