อวี๋เสี่ยวเฉียงได้สร้างเรื่องมหัศจรรย์ขึ้นมากมาย
อย่างเช่น เขาได้ทำให้ผลไม้ที่แสนบริสุทธิ์สดใสอย่างแตงโมแฝงไว้ด้วยความหมายลามก
เขายังทำให้โรคย้ำคิดย้ำทำที่เธอแสนเกลียดใส่สีจนไม่อาจบรรยาย ต่อไปเธอคิดว่าเธอคงไม่สามารถรักษาผู้ป่วยโรคย้ำคิดย้ำทำเสพติดการล้างมือได้อีกแล้ว
เพราะแค่เธอได้ยินชื่อนี้ก็จะนึกถึง—
“หน้าแดงเป็นลูกตำลึงแบบนี้คิดอะไรอยู่? นึกถึงตอนที่พี่ฉีดยาให้อยู่หรือเปล่า?”
เสี่ยวเชี่ยนชี้หน้าเขาอย่างหมดความอดทน
“อวี๋หมิงหลาง ถ้านายยังกล้าใช้พฤติกรรมไร้ยางอายสร้างความแปดเปื้อนให้กับงานของฉันอีกล่ะก็ ออกไปอยู่ข้างนอกเลย”
“สร้างความแปดเปื้อนอะไรกัน…ผู้นำยุคหนึ่งเคยสอนพวกเราว่า จะแมวดำแมวขาวถ้าจับหนูได้ก็เป็นแมวดีหมด เข็มบนตัวพี่กับเข็มฉีดยาของหมอ แค่มันรักษาโรคย้ำคิดย้ำทำได้มันก็คือเข็มเหมือนกันแหละน่า”
อวี๋หมิงหลางเห็นเสี่ยวเชี่ยนมองซ้ายมองขวาคล้ายกับกำลังหาอะไร เขาจึงถามด้วยความสงสัย
“ลูกเชี่ยนหาอะไรอยู่เหรอ?”
“มีด ฉันจะสับไอ้เข็มเจ้าปัญหาของนายทิ้ง”
“เอ่อ…ก่อนจะถูกสับ ผมขอใช้มันหาความสุขเป็นครั้งสุดท้ายก่อน มาเถอะลูกเชี่ยน มามอบความสุขให้พี่คนนี้หน่อย”
“ออกไปเลย”
เสี่ยวเชี่ยนก็พูดไปงั้น เธอจะสับจริงได้ยังไง
หลังจากถูกอวี๋หมิงหลางทั้งจูบทั้งคลำจนหายโมโห เขาจึงจับเธอนั่งบนตัก เธอนั่งเอนพิงไหล่ของเขาพลางกินข้าวเช้า+กลางวันที่เขาป้อนให้ประหนึ่งเป็นราชินี
“พูดตามตรง ช่วงหยุดจะให้ฉันอยู่บ้านกับนายทำเรื่องอย่างว่าทั้งวันไม่ได้หรอกนะ”
เสี่ยวเชี่ยนพูดกับเขาด้วยท่าทีจริงจัง
เธอคิดว่าถ้าไม่พูดให้ชัดเจน เขาได้ใช้ร่างกายพิสูจน์เพลงจำเลยรักแน่ๆ ‘ผมจะทำตั้งแต่ฟ้าสางยันฟ้ามืด ตั้งแต่ครัวไปถึงห้องน้ำ ผมจะถลกหนังคุณให้ราบคาบ ทายาแล้วก็จะทำต่อ ’
ก็ได้ เธอแก้เนื้อเพลงบางส่วน แต่เธอคิดจริงๆนะว่า ด้วยแรงมหาศาลอย่างกับสัตว์เขาทำแบบนั้นได้จริงๆ
เธอไม่อยากถูกขังอยู่กับผู้ชายที่กินไม่อิ่มแรงก็ยังมหาศาลถึงห้าวันหรอกนะ
เธอจินตนาการอีกห้าวันให้หลังตัวเองต้องถือไม้เท้าเดินออกจากบ้าน เดินขาถ่างแบบทุลักทุเล สายตาทอดยาวไปไกลพูดด้วยลมหายใจกระท่อนกระแท่น กลายเป็นผู้หญิงน่าสงสารคนแรกที่ถูกคนทำจนช่องคลอดระเบิด เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกขนลุก เธอหันไปมองเขาด้วยความระแวง
ถึงแม้ว่าพอลงจากเตียงเขาจะชอบยิ้มโง่ๆทำตัวอ่อนโยนกับเธอเสมอ แต่นั่นก็ไม่อาจปิดบังพฤติกรรมไร้ยางอายของเขาในเรื่องบนเตียง อีกทั้งพอได้เริ่มก็ไม่สนการขัดขืนของเธอ ทำตัวประหนึ่งมีวิญญาณสัตว์ร้ายเข้าสิง เผด็จการบนเตียง
“มากสุดก็แค่ให้นายได้ตอนเย็น กลางวันไม่ได้” เสี่ยวเชี่ยนยื่นคำขนาดในการต่อรอง
“ผมก็แค่อยากรักษาโรคจิตเวชของคุณเท่านั้นเอง” เขาพูดด้วยความน้อยใจ
“ฉันไม่ต้องการ ฉันคิดว่าตอนนี้ฉันโอเคสุดๆ จิตใจสดชื่นกระปรี้กระเปร่า โรคย้ำคิดย้ำทำหายไปแล้ว สามารถขึ้นบันไดห้าชั้นโดยไม่เหน็ดไม่เหนื่อยเลยล่ะ”
อยู่ๆอวี๋หมิงหลางก็อยากเปลี่ยนชื่อเป็น ‘บันไดห้าชั้น’
แต่พอนึกถึงแผนรักษาที่ศาสตราจารย์หลิวให้ เรื่องเปลี่ยนชื่อเป็น ‘บันไดห้าชั้น’ ก็ขอพักไว้ก่อนชั่วคราว
“ผมตั้งใจจะช่วยคุณปรับสภาพอารมณ์นะ ช่วงนี้คุณฝันร้ายหนักมาก ตอนผมอยู่ก็ยังดีหน่อย แต่ถ้าผมกลับค่ายไปแล้ว คุณต้องฝันร้ายทุกคืนอีกเหรอ?”
อันที่จริงแผนรักษานี้ศาสตราจารย์หลิวเป็นคนทำ
“ฉันยอมฝันร้ายทุกคืนดีกว่าเล่นกิจกรรมเข้าจังหวะกับนายทุกคืน”
อวี๋หมิงหลางหอมแก้มเสี่ยวเชี่ยนอย่างขำๆ “คุณคิดมากไปแล้ว การรักษาของผมไม่ได้ฉีดยา—แน่นอนว่าก็ยังต้องมีฉีด แต่จะให้ทำทั้งวันได้ยังไง ผมรู้ว่าเรี่ยวแรงของผมมันมีมากเกินไป คุณไม่เคยได้รับการฝึกมาก่อน ถ้าผมปลดปล่อยกับคุณหมด คุณก็คงไม่ไหว ผมรู้น่า”
“เหอๆ…” นี่ขนาดรู้เมื่อคืนยังอย่างนั้น อย่างนั้น อย่างนั้น
สายตาของเสี่ยวเชี่ยนเหลือบไปมองที่ชั้นวางรองเท้าที่ตอนนี้ถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ไหนจะประตูห้องนอน สุดท้ายก็เตียงที่น่าสงสารที่เจอมรสุมมานับไม่ถ้วน
อวี๋หมิงหลางกระแอมเสียงด้วยความเขิน “แค่กๆ ที่พวกนี้คุณไม่ชอบเหรอ ไม่ชอบเดี๋ยวพี่เปลี่ยนที่ให้—คุณว่า พวกเราไปตั้งแคมป์กันเป็นไง?”
“แคมป์เหรอ?”
“ใช่ หน้าร้อนวิวในภูเขาสวยนะ พวกเราเอาเต็นท์กับข้าวของเครื่องใช้ไปตั้งแคมป์กันดีไหม? ตอนเย็นยังนอนดูดาว ดูหิ่งห้อยด้วยกันได้ด้วย ซ้อมฮันนีมูน”
ฟังดูช่างเป็นอะไรที่สวยงาม บริสุทธิ์ไร้เดียงสา
หลังจากที่เสี่ยวเชี่ยนกลับชาติมาเกิดเธอก็ยุ่งเรื่องเรียนกับทำงานมาตลอด ไม่ได้มีเวลาเที่ยวเล่นเลย พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ก็ตื่นเต้น
แต่ก็ยังแอบกังวลเล็กน้อย
“ไม่อันตรายเหรอ? อย่างเช่นถูกหมาป่าจับกิน ถูกหมูป่ากัด หรือมีเผ่ามนุษย์กินคนมัดพวกเราไปต้ม?”
อวี๋หมิงหลางขำ
“คุณคิดอะไรเนี่ย ผมจะพาคุณไปเขาเสี่ยวเจียวที่อยู่ในจุดชมวิวของเมืองนี้นะ ในเขตหมู่บ้านท่องเที่ยวแบบนั้นจะมีหมาป่าได้ยังไง?”
“…กางเต็นท์ในหมู่บ้านเนี่ยนะ พี่ชาย พี่ช่างเก่งจริงๆ”
นี่ไม่ใช่เรื่องโง่ๆหรอกเหรอ?
เสี่ยวเชี่ยนสามารถจินตนาการสีหน้าของชาวบ้านที่มาเห็นพวกเขาทำแบบนั้น ไม่แน่อาจไปเม้าท์กันลับหลัง พวกคนเมืองสมองมีปัญหากันหรือเปล่า?
เธอไม่มีทางไปลดระดับภาพลักษณ์คนเมืองกับเขาแน่นอน
“ในภูเขาอุณหภูมิแตกต่างกันเยอะ ไปนอนในป่ากลางคืนจะไม่เป็นหวัดเอาเหรอ? ผมน่ะไม่เป็นไร แต่รูปร่างผอมบางอย่างคุณทนไม่ไหวแน่ ดังนั้นครึ่งแรกเราก็ไปดูดาวชมหิ่งห้อย ครึ่งหลังเราก็นอนบนเตียงอุ่นๆมองแสงจากหลอดไฟ ฟังเสียงเสียวเหม่ยของผมร้อง—”
“อวี๋หมิงหลาง นายสิร้อง” เสียวเหม่ยโมโห
“อืมๆ ผมร้องๆ ต่อไปเวลาทำผมจะร้องแทนคุณเอง อ๊า~ดี~สุดยอดเลย~”
เสี่ยวเชี่ยนหยิบหมั่นโถวมาบี้หน้าเขา ลาก่อน
สุดท้ายเสี่ยวเชี่ยนก็เก็บข้าวของตามเขาไปเข้าป่า
เธอกับอวี๋หมิงหลางต่างงานยุ่งทั้งคู่ โอกาสที่จะได้มีเวลาว่างอยู่ด้วยกันนั้นมีไม่มาก ตอนนี้เธอได้ลาหยุดส่วนเขาเองก็มีเวลา ได้ออกไปเที่ยวข้างนอกด้วยกันก็ดีไม่น้อย
จากเขตเมืองเข้าสู่เขตภูเขาใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า เขาเสี่ยวเจียวที่จะไปครั้งนี้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับAAA สูงจากระดับน้ำทะเลมากกว่าหนึ่งพันเมตร มาตอนหน้าร้อนอากาศเย็นสบายพืชพรรณเขียวชอุ่ม ก่อนมาอวี๋หมิงหลางบอกว่าพามาหลบร้อน แต่เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกว่าตัวเองโดนหลอก
ดวงอาทิตย์ยิ้มแฉ่งแบบนี้ หลบร้อนกับผีสิ
เสี่ยวเชี่ยนพกร่มกันแดดมาด้วย ซึ่งก็ได้กลายเป็นเหตุผลในการแซะเธอของอวี๋หมิงหลาง
“ลูกเชี่ยน ฝนไม่ได้ตกคุณยังจะเอาร่มมา แต่งตัวก็เหมือนจะไปกู้ระเบิด ใส่หมวกเท่าหลังคาบ้าน ไม่ร้อนเหรอ?”
ศาสตราจารย์หลิวบอกอวี๋หมิงหลาง ขอแค่เขาพาเสี่ยวเชี่ยนมาเที่ยวที่นี่สองสามวัน รับรองกลับไปขอแต่งงานสำเร็จแน่
ก่อนมาเขาก็คิดว่าเที่ยวกลับไปครั้งนี้เสียวเหม่ยจะต้องรักเขามากขึ้นชัวร์
แต่ ไม่เลย…
เสี่ยวเชี่ยนเอาร่มในมือแทงไปที่อวี๋หมิงหลาง
“ยังจะมาพูด ฉันบอกให้ขับรถขึ้นมานายก็ไม่ฟัง”