เล่มที่ 6 บทที่ 175 หญิงงามหิ้วมูลสัตว์

ทะลุมิติไปเป็นภรรยาชาวสวนของท่านบัณฑิต

ตื่นจากนอนกลางวัน เซี่ยยวี่หลัวมายังลานหน้าบ้าน พลิกผลหยางเหมยที่ตอนเที่ยงแช่น้ำเกลือไว้ครึ่งชั่วยามกว่า ล้างสะอาดและตากแดดไว้ด้านนอก ลองดูอย่างละเอียด ลมธรรมชาติเป่าน้ำที่ติดเปลือกจนแห้งแล้ว วางโถหมักดองที่ล้างสะอาดแล้วคว่ำไว้ ตากลมมาตลอดช่วงเที่ยงจนแห้งแล้วเช่นกัน

เซี่ยยวี่หลัวคัดผลหยางเหมยออกมาหนึ่งชามใหญ่ วางไว้ข้างๆ ส่วนนี้อีกประเดี๋ยวจะนำมาทำน้ำซวนเหมย

ใส่ผลหยางเหมยที่แห้งสนิทแล้วลงไปในโถหมัก จากนั้นเทสุราขาวที่ซื้อมา สุดท้ายจึงปิดปากโถ วางไว้ในสถานที่ร่มและแห้ง รออีกหนึ่งเดือนกว่า ก็ดื่มสุราหยางเหมยได้แล้ว

หมักสุราหยางเหมยนั้นง่าย วิธีทำน้ำซวนเหมยก็ง่ายมากเช่นกัน

หมักผลหยางเหมยในชามใหญ่ด้วยน้ำตาลทรายขาวเป็นเวลาหนึ่งเค่อแล้ว นางใช้สบู่ล้างมือจนสะอาด จากนั้นจึงกรีดเอาเมล็ดหยางเหมยออกมา บีบเนื้อหยางเหมยจนแหลก ใส่น้ำตาลกรวดลงไปหลายก้อน แล้วจึงเคี่ยวอย่างต่อเนื่อง

เคี่ยวผลหยางเหมยจนได้น้ำมาไม่น้อย เซี่ยยวี่หลัวใช้ช้อนตักน้ำที่เคี่ยวได้ออกมาทั้งหมด ใส่ไว้ในชามใหญ่ หลังจากต้มน้ำจนเดือดแล้ว จึงเคี่ยวต่อด้วยไฟอ่อน

ตลอดขั้นตอนทั้งหมด เด็กสองคนทำได้เพียงใส่ฟืน ไม่สามารถช่วยอะไรได้ เพียงย่อตัวอยู่ข้างๆ ดูเซี่ยยวี่หลัวทำ

“พี่สะใภ้ใหญ่ หยางเหมยป่าเปรี้ยวถึงเพียงนี้ น้ำที่เคี่ยวออกมาจะดื่มได้หรือขอรับ? ” เซียวจื่อเซวียนเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“ดื่มได้แน่นอน นอกจากนั้น อีกเดี๋ยวจะทำให้เจ้าดื่มจนไม่อยากวางชามลงเลย” เซี่ยยวี่หลัวคนไปพลางหัวเราะพร้อมกล่าวไปพลาง

เพียงแต่เสียดายที่ยุคสมัยนี้ไม่มีตู้เย็น หากแช่เย็นในตู้เย็นสักหนึ่งหรือสองชั่วยาม ค่อยนำออกมาดื่ม ถึงจะรู้สึกชื่นใจอย่างแท้จริง!

ช่างน่าเสียดายนัก

เด็กสองคนได้ฟังว่าอีกเดี๋ยวจะดื่มจนไม่อยากวางชามลง ดวงตาคู่โตทั้งสองคู่ก็เพ่งมองของในหม้ออย่างไม่ละสายตา

พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่าอร่อย เช่นนั้นก็ต้องอร่อยจนพวกเขาแทบกัดลิ้นแน่นอน

ตักน้ำจากการเคี่ยวผลหยางเหมยออกมา น้ำหยางเหมยเข้มข้นในหม้อก็เสร็จแล้ว

เซี่ยยวี่หลัวเทน้ำต้มสุกที่เย็นแล้วลงในถ้วยจำนวนหนึ่ง จากนั้นจึงเทน้ำหยางเหมยและน้ำหยางเหมยเข้มข้นเข้าไป น้ำต้มสุกที่เดิมทีโปร่งใสพลันกลายเป็นสีชมพู

ทั้งดูดีทั้งหอม

เด็กสองคนดูน้ำสีชมพูด้วยอาการน้ำลายไหล

“เร็ว ดื่มคนละถ้วย” เซี่ยยวี่หลัวยิ้มพร้อมกล่าว

ถึงแม้จะไม่ใช่น้ำซวนเหมยตามแบบฉบับ ไม่มีซานจาและชะเอม แต่ทำออกมาได้เช่นนี้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว

เด็กสองคนดื่มคำโต น้ำตาลกรวดหวานฉ่ำ หยางเหมยรสเปรี้ยว เมื่อผสมรวมกันก็เป็นรสเปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยเป็นพิเศษ

“พี่สะใภ้ใหญ่ อร่อยมากจริงๆ เจ้าค่ะ! ” เซียวจื่อเมิ่งดื่มคำโต ก่อนกล่าวอย่างมีความสุข

รสชาติเปรี้ยวๆ หวานๆ อร่อยจนอิ่มเอมไปถึงในใจ

เซียวจื่อเซวียนดื่มพลางเอ่ยถาม “พี่สะใภ้ใหญ่ เหตุใดท่านถึงมีวิธีทำอาหารอร่อยมากมายถึงเพียงนี้ขอรับ? ”

เซียวจื่อเมิ่งก็กล่าวอย่างเลื่อมใส “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านมีความรู้มากจริงๆ เจ้าค่ะ”

“ที่ข้ารู้ล้วนอ่านมาจากตำรา หากพวกเจ้าอยากมีความรู้มาก ก็ต้องอ่านตำราให้มาก ความรู้ในตำราสามารถทำให้เรามีความรู้เพิ่มขึ้น บุกเบิกวิสัยทัศน์ของเรา อ่านตำราหมื่นเล่มเหมือนเดินทางหมื่นลี้ เมื่อมีความรู้ ในอนาคตไม่ว่าจะไปถึงไหน ใครก็ไม่กล้ารังแกหรือดูแคลนพวกเรา เข้าใจหรือไม่? ” เซี่ยยวี่หลัวสอนสั่งอย่างตั้งอกตั้งใจ

เด็กสองคนพยักหน้าราวกับเป็นลูกไก่น้อยที่กำลังจิกเมล็ดข้าวก็มิปาน “เข้าใจแล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ พวกเราจะอ่านตำราให้มากแน่นอน! ”

ยังเหลืออีกหนึ่งถ้วย เซี่ยยวี่หลัวรอจนเด็กสองคนดื่มหมดแล้ว จึงกล่าว “ถ้วยนี้แบ่งไว้ให้พี่ใหญ่ของพวกเจ้า ยกไปให้พี่ใหญ่ของพวกเจ้าสิ! ”

เด็กสองคนยกน้ำซวนเหมยไปหาเซียวยวี่อย่างมีความสุข

เซียวยวี่กำลังอ่านตำราอยู่ในห้อง ยามเขาอ่านตำราจะตั้งใจเป็นอย่างยิ่ง ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเพียงใด จึงรู้สึกว่าตัวเองหิวน้ำ แต่ในกาน้ำข้างๆ ไม่มีน้ำแล้ว เขาได้แต่ลุกขึ้น คิดจะออกไปรินน้ำมาดื่มเสียหน่อย

เด็กสองคนยกน้ำซวนเหมยมาพอดี

“พี่ใหญ่ ดื่มน้ำซวนเหมย ดื่มน้ำซวนเหมยเจ้าค่ะ! ” เซียวจื่อเมิ่งกระโดดโลดเต้น วิ่งไปพลางตะโกนไปพลาง

เซียวจื่อเซวียนยกถ้วยเข้ามา “พี่ใหญ่ นี่คือน้ำซวนเหมยที่พี่สะใภ้ใหญ่ทำขอรับ ทั้งหวานทั้งเปรี้ยว อร่อยมากเลย ท่านรีบชิมดูขอรับ! ”

เซียวยวี่เห็นน้ำสีแดงภายในถ้วย ดมดูทั้งเปรี้ยวทั้งหวาน แค่ได้กลิ่นก็ทำให้น้ำลายสอแล้ว

“นี่คือหยางเหมยที่พวกเจ้าไปเด็ดมาในช่วงเช้างั้นหรือ? ” เซียวยวี่เอ่ยถาม

“ขอรับ พวกเราไปเด็ดมาตอนเช้า พี่สะใภ้ใหญ่นำส่วนหนึ่งไปหมักสุรา ที่เหลือก็ทำเป็นน้ำซวนเหมยขอรับ” เซียวจื่อเซวียนกล่าว

เมื่อเห็นเด็กสองคนอยากกินจนราวกับลูกลิงก็มิปาน เซียวยวี่ยิ้มพร้อมกล่าว “พวกเจ้าดื่มเถอะ”

เซียวจื่อเมิ่งไม่พอใจทันที “พวกเราดื่มแล้วเจ้าค่ะ นี่เป็นส่วนที่พี่สะใภ้ใหญ่แบ่งให้ท่านโดยเฉพาะ! ”

แบ่งให้เขาโดยเฉพาะ?

เซียวจื่อเซวียนก็ยกถ้วยพร้อมพูดไม่หยุด “ใช่แล้วขอรับ พี่ใหญ่ พวกเราดื่มกันแล้ว มีเพียงท่านที่ยังไม่ดื่ม ท่านรีบดื่มเถอะ อร่อยมากขอรับ! พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่า รออีกสองวัน หากหยางเหมยบนเขาสุกงอมแล้ว นางค่อยไปเด็ดมาทำน้ำซวนเหมยให้พวกเราดื่มอีก”

เซียวยวี่ได้ฟังดังนั้น ได้แต่รับมา ดื่มคำน้อย

ซวนเหมยนั้นเปรี้ยวมาก ในนี้ต้องใส่น้ำตาลกรวดแน่ ทั้งเปรี้ยวทั้งหวาน พอดื่มเข้าไป ทั้งดับกระหายและคลายร้อน อร่อยมากจริงๆ

เมื่อเห็นพี่ใหญ่ดื่มสองคำ เซียวจื่อเมิ่งก็เอ่ยถามอย่างรีบร้อน “เป็นอย่างไรบ้าง พี่ใหญ่ อร่อยใช่หรือไม่เจ้าคะ? ”

เซียวยวี่ยิ้มพร้อมพยักหน้า “อืม อร่อย”

เซียวจื่อเซวียนที่อยู่ข้างๆ กล่าวด้วยท่าทางเสียดาย “พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่า บ้านเราไม่มีบ่อน้ำ หากมีบ่อน้ำ แช่เย็นน้ำซวนเหมยในบ่อครู่หนึ่ง จะอร่อยยิ่งขึ้นขอรับ! ”

แช่เย็น?

เซียวยวี่คิดครู่หนึ่ง หากแช่เย็นได้ ต้องอร่อยขึ้นแน่นอน

เขาทำทีเป็นกล่าวอย่างไม่ตั้งใจ “พี่สะใภ้ใหญ่ของเจ้ามีความรู้มากเสียจริง”

เซียวจื่อเซวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงเลื่อมใส “ข้าก็กล่าวเช่นนี้ขอรับ พี่สะใภ้ใหญ่บอกว่า สิ่งเหล่านี้นางอ่านมาจากตำรา ทั้งยังกำชับให้ข้ากับจื่อเมิ่งอ่านตำราให้มาก! บอกว่าหากในหัวมีความรู้ ไปถึงไหนก็จะไม่โดนคนอื่นรังแก”

เซี่ยยวี่หลัวให้อาเซวียนกับอาเมิ่งอ่านตำรา?

เซียวยวี่ได้ฟังดังนั้นแทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง!

เซี่ยยวี่หลัวพูดมาตลอดว่าการเรียนหนังสือ มีแต่คนที่ไม่ได้ความถึงจะทำกันไม่ใช่หรือ?

ทั้งยังบอกว่า เรียนหนังสือดีเพียงใดหากไม่ได้เป็นขุนนางจะมีประโยชน์อะไร มีเงินยังจะมีประโยชน์กว่า! มาบัดนี้ นางกลับสอนสั่งให้เด็กสองคนอ่านหนังสือให้มาก?

นางดูแคลนคนเรียนหนังสือไม่ใช่หรือ!

พระอาทิตย์จะตกดินแล้ว เซี่ยยวี่หลัวจะออกไปข้างนอก

เด็กสองคนได้ยินว่าพี่สะใภ้ใหญ่จะไปในที่นา ก็รีบบอกว่าจะตามไปด้วย

เซียวจื่อเมิ่งวิ่งกลับห้องใช้ผ้าห่อตัวเองไว้อย่างแน่นหนา ใส่หมวกประดับดอกไม้ใบเล็ก รอบหมวกดอกไม้ใบเล็กเย็บผ้าโปร่งสีขาวไว้ เช่นนี้สามารถกันแสงแดดได้บ้าง เซียวจื่อเซวียนไม่ได้ใส่อะไรเลย บอกว่าลูกผู้ชายไม่กลัวการตากแดดจนตัวดำ แบกอุปกรณ์จะไปเหมือนกัน

ขณะเซียวยวี่ออกมา เห็นการแต่งกายของเซียวจื่อเมิ่งก็รู้สึกสงสัย “อาเมิ่ง เจ้ากำลังจะทำอะไร? ”

“พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่จะไปรดน้ำในที่นา ข้าจะไปด้วยเจ้าค่ะ” เซียวจื่อเมิ่งกล่าวเสียงใส

เซียวยวี่เอ่ยถามด้วยความประหลาดใจ “ไปที่นาที่ไหน? ”

เซียวจื่อเซวียน “พี่ใหญ่ ลืมบอกท่านไป พี่สะใภ้ใหญ่หักร้างถางพงที่นาผืนหนึ่งใต้ตีนเขา ปลูกต้นถั่วไว้จำนวนมาก พวกเรากำลังจะไปรดน้ำใส่ปุ๋ยขอรับ! ”

เซี่ยยวี่หลัวเดินออกมาจากห้อง นางใส่กางเกงขายาวและเสื้อคลุมยาว ใช้แถบผ้าผูกปลายแขนเสื้อและขากางเกงไว้แน่น ใส่หมวกคลุมและหน้ากากที่นางทำขึ้นเอง แต่งกายอย่างรัดกุมเช่นกัน

รูปร่างของนางบอบบางอรชร และเพราะเคยเรียนเรื่องมารยาท ยามก้าวเดินจึงดูงามสง่า เคลื่อนไหวอย่างงดงาม ในมือหิ้วถังไม้หนึ่งถัง ได้กลิ่นเหม็นโชยมาแต่ไกล ในนั้นใส่ปุ๋ยคอกที่เก็บสะสมไว้

หญิงงามร่างอรชรผู้หนึ่ง หิ้วถังมูลสัตว์ไว้ในมือ…

พูดถึงเซี่ยยวี่หลัวในอดีต ตีให้ตายก็ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้

เซี่ยยวี่หลัวเห็นว่าเซียวยวี่อยู่ด้วย จึงยิ้มพร้อมกล่าวทักทาย “คือ พวกเราไปในที่นาก่อน”

นางไม่รู้ว่าควรเรียกเซียวยวี่ว่าอะไร

เรียกเซียวยวี่? รู้สึกจะเสียมารยาท

เรียกท่านราชบัณฑิตน้อย? แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่ท่านราชบัณฑิตน้อยนี่นา!

ท่านพี่? อย่าเลย นางเรียกไม่ไหว

คิดไปคิดมา ไม่เรียกอะไรเลยจะดีกว่า จะได้ไม่อึดอัด!

เซี่ยยวี่หลัวกล่าวทักทายเสร็จ ก็ยกถังมูลสัตว์ไปแล้ว

เด็กสองคนตามหลังไปติดๆ เดินตามทุกฝีก้าว

บ้านที่เมื่อครู่นี้ยังมีกันสี่คน เพียงชั่วพริบตาก็เหลือเซียวยวี่เพียงคนเดียว

เซียวยวี่ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ จู่ๆ ก็เกิดความรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง เมื่อก่อนเด็กสองคนตามเขาไม่เคยห่าง!

เซี่ยยวี่หลัวหิ้วถังใส่มูลสัตว์ไปยังที่นา เมื่อเห็นต้นกล้าถั่วที่เติบโตเต็มพื้นที่ ภายในใจก็รู้สึกยินดียิ่งนัก ตอนนี้ก็เดือนห้าแล้ว เดือนหน้าต้นกล้าถั่วจะผลิดอก เดือนเจ็ดก็กินถั่วแระต้มได้แล้ว

ในภพก่อน เวลาเซี่ยยวี่หลัวกินมื้อดึกเป็นครั้งคราว ก็มักจะสั่งถั่วแระต้มหนึ่งจาน

หยิบถั่วแระขึ้นมาหนึ่งเม็ด ใช้ฟันกัดทีหนึ่ง มือออกแรงบีบ ถั่วเม็ดหนึ่งก็ถูกบีบเข้าปาก เคี้ยวสองที กลิ่นหอมของถั่วและรสชาติของเครื่องปรุงก็เข้ามาอยู่ในปาก แล้วดื่มเบียร์สักหนึ่งแก้ว รสชาตินั้นช่างถึงอกถึงใจจริงๆ ยังมีหอยขม ปลาย่าง ของปิ้งย่างนานาชนิด…

แค่คิดดู ก็แทบน้ำลายไหลแล้ว

ช่วงที่ถั่วกำลังเจริญเติบโตต้องได้รับปุ๋ยอย่างเพียงพอ ปกติเซี่ยยวี่หลัวจะเก็บสะสมปุ๋ยคอกจำนวนหนึ่ง ทุกครึ่งเดือนจะใส่ปุ๋ยหนึ่งครั้ง

ไม่ได้มาแค่ห้าถึงหกวัน ในที่นามีหญ้ารกขึ้นอีกไม่น้อย เซี่ยยวี่หลัวก้มตัวถอนหญ้าจากคันนาเข้าไปในที่นาทีละนิด

ต้นกล้าถั่วเติบโตอย่างหนาแน่น ภายในที่นาเต็มไปด้วยใบไม้สีเขียวมรกต เซี่ยยวี่หลัวก้มตัว แหวกใบไม้ ถอนหญ้าบนพื้น นางถอนไปเรื่อยๆ จนเดินไปถึงตรงกลางที่นาโดยไม่รู้ตัว

เซี่ยยวี่หลัวยังคงก้มตัว ใต้เท้ามีหญ้าต้นใหญ่ เซี่ยยวี่หลัวยื่นมือเข้าไปในดงหญ้า จับหญ้ารกไว้กำลังจะออกแรงถอน

เพียงแต่ คราวนี้สิ่งที่สัมผัสโดนไม่ใช่หญ้าแข็งๆ แต่เป็นของอ่อนนุ่ม เย็นเยียบ มองผ่านช่องระหว่างใบหญ้า งูตัวเล็กสีเขียวมรกตเลื้อยผ่านข้างเท้าเซี่ยยวี่หลัวไปจนเกิดเสียง “สวบ”

เย็นเยียบ และลื่นไหล เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกขนหัวลุก ขนลุกไปทั้งตัว

“อ๊า…” เซี่ยยวี่หลัวส่งเสียงร้องดังลั่น ส่งเสียงร้องพร้อมเหยียบต้นกล้าถั่ววิ่งขึ้นบนพื้นราบ

เด็กสองคนกำลังเล่นอยู่ตรงคันนา ได้ยินเสียงร้องของพี่สะใภ้ใหญ่ ตกใจจนสติแทบเตลิด หันไปก็เห็นพี่สะใภ้ใหญ่จับกระโปรงวิ่งไปทางบ้านอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์

“พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไป? ” เด็กสองคนก็ตกใจ ไม่รู้ว่าเซี่ยยวี่หลัวเป็นอะไร วิ่งตามเซี่ยยวี่หลัวไม่หยุด

เซี่ยยวี่หลัวกลัวงู!

นางกลัวงูเป็นที่สุด

เมื่อครู่งูนั่นอยู่ตรงหน้านาง และนางก็สัมผัสโดนมันด้วย เซี่ยยวี่หลัวกลัวจนหัวใจแทบหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม