เซี่ยยวี่หลัวพุ่งพรวดไปข้างหน้าอย่างไม่ลืมหูลืมตา ไม่ทันสังเกตเห็นคนที่เดินสวนมาบนคันนาแคบๆ เลยสักนิด
นางพุ่งชนใส่สิ่งกีดขวาง เพราะวิ่งเร็ว คนตรงหน้าโดนนางชนจนเกือบล้ม เขาประคองนางและถอยหลังไปหลายก้าว จึงทรงตัวได้
ส่วนเซี่ยยวี่หลัวก็ตกใจจนใบหน้าเล็กขาวซีด สีหน้าตกใจจนสติเตลิด
ท่าทางนั่นช่างดูน่าสงสารยิ่งนัก
นางแนบติดบนกายเขา มือคู่เล็กแสนอ่อนนุ่มจับเขาไว้แน่นราวกับเป็นคีมขนาดเล็ก ราวกับจะคว้าฟางหนึ่งเส้นที่ช่วยให้รอดชีวิตไว้ได้
“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านเป็นอะไรไป? ท่านเป็นอะไรไป? ”
เซียวจื่อเมิ่งตามอยู่ด้านหลัง พอเห็นท่าทางน่าสงสารของพี่สะใภ้ใหญ่ ก็กอดขาเซี่ยยวี่หลัวพร้อมส่งเสียงร้องไห้ “โฮ” ออกมา
“พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านอย่าทำให้จื่อเซวียนตกใจขอรับ ท่านเป็นอะไรไปขอรับ? ” เซียวจื่อเซวียนก็รู้สึกไม่สบายใจเหมือนกัน กอดเอวเซี่ยยวี่หลัวไว้ รู้สึกไม่สบายใจจนแทบจะร้องไห้ออกมา
พวกเขาไม่เคยเห็นพี่สะใภ้ใหญ่ในสภาพตกใจจนสติเตลิดเช่นนี้มาก่อน
เซียวยวี่ขมวดคิ้ว เด็กสองคนเป็นห่วงเซี่ยยวี่หลัวจากใจจริง!
เซี่ยยวี่หลัวยังสงบสติไม่ได้ เพิ่งพบว่าตัวเองกอดคนผู้หนึ่งไว้
ขณะนางเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นเซียวยวี่กำลังขมวดคิ้วพอดี
น่าจะรังเกียจการสัมผัสจากนางกระมัง!
เซี่ยยวี่หลัวรีบปล่อยมือ ถอยหลังสองก้าว หันไปย่อตัวลง ปลอบโยนเด็กน้อยสองคน “พี่สะใภ้ใหญ่ไม่เป็นอะไร ไม่เป็นอะไร เด็กน้อยอย่าร้องไห้”
ร้องไห้จนนางแทบใจสลาย
เมื่อครู่ตกใจเพราะงู นางหวาดกลัวจนใจแทบสลาย คราวนี้ได้ยินเด็กสองคนร้องไห้ ไม่สบายใจจนใจแทบสลายอีกครั้ง
“พี่สะใภ้ใหญ่ เมื่อครู่ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ? ท่านทำให้อาเมิ่งตกใจแทบตาย! ” เซียวจื่อเมิ่งกอดคอเซี่ยยวี่หลัวไว้แน่น ร้องไห้จนน้ำตาอาบแก้ม
เซียวจื่อเซวียนก็กล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้น “พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านเป็นอะไรขอรับ! ”
เซี่ยยวี่หลัวสูดลมหายใจทีหนึ่ง ตบไหล่เซียวจื่อเมิ่งเบาๆ พร้อมกล่าวปลอบ “พี่สะใภ้ใหญ่ไม่เป็นอะไร เพียงแค่เห็นงูตัวหนึ่ง”
พูดแล้วก็รู้สึกขายหน้าเล็กน้อย
โตขนาดนี้แล้ว พอเห็นงู ก็ตกใจจนสติเตลิด ตกใจจนใจหาย
เซียวจื่อเมิ่งกะพริบตาคู่โตที่ยังมีหยาดน้ำตาคลอ เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสะอื้น “พี่… พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านก็… ก็กลัวงูหรือเจ้าคะ? ”
“อืม กลัวสิ! ” เซี่ยยวี่หลัวหวนคิดดูยังรู้สึกหวาดกลัวอยู่ในใจ “ข้าสัมผัสโดนงูตัวนั้น ตัวทั้งลื่นและเย็น ข้าตกใจแทบตาย”
นางตกใจจริงๆ ตกใจจนใบหน้าเล็กขาวซีด
เซียวยวี่ที่อยู่ข้างๆได้ฟังดังนั้น เห็นท่าทางนางที่ตกใจจนสติเตลิด ก็ขมวดคิ้วมุ่น โตขนาดนี้แล้ว กลับยังกลัวงูเหมือนเด็กก็มิปาน
เดิมคิดอยากปลอบโยนสักหนึ่งประโยค แต่พอจะกล่าว กลับไม่รู้ว่าควรกล่าวอย่างไร ควรกล่าวอะไร เขาถอนหายใจยาว สาวเท้าเดินเข้าไปในที่นา
เซี่ยยวี่หลัวสงบสติอารมณ์ พร้อมปลอบโยนเด็กสองคนเสร็จ หันมองอีกครั้ง ก็เห็นเซียวยวี่ถือถังมูลสัตว์โน้มตัวใส่ปุ๋ยให้ต้นกล้าถั่วอยู่
อย่างไรก็เป็นถึงท่านราชบัณฑิตน้อย จะให้เจ้ามาทำงานที่ทั้งสกปรกและเหม็นเช่นนี้ได้อย่างไร!
เซี่ยยวี่หลัวรีบตามไป “คือ.. เดี๋ยวข้าทำเอง! ”
เซียวยวี่ยืนตัวตรง หันมองนาง กวาดสายตามองดูต้นกล้าถั่วสีเขียวที่ขึ้นเต็มพื้นที่ “เจ้า… แน่ใจ? ”
ต้นกล้าถั่วขึ้นอย่างหนาแน่น ยืนอยู่ในนั้นมองไม่เห็นเท้าด้วยซ้ำ ใครจะรู้ว่ายังมีงูอีกหรือไม่!
เซี่ยยวี่หลัวตกใจจนรีบถอยหลังไปหลายก้าว ช่างเถอะ เมื่อครู่นางตกใจขนาดนั้น ตอนนี้จึงไม่กล้าแล้ว
เซียวยวี่เห็นเซี่ยยวี่หลัวมีความลังเล จึงหันไปก้มตัวใส่ปุ๋ยต่อ
เซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่งยืนอยู่ข้างๆ เซี่ยยวี่หลัว กอดแขนเซี่ยยวี่หลัวไว้คนละข้าง เหมือนกำลังคุ้มครองนาง “พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านอย่าไปเลย พี่ใหญ่ไม่กลัวงู! ”
“ใช่แล้ว พี่สะใภ้ใหญ่ ต่อไปงานในที่นาข้าจะทำเอง ท่านไม่ต้องไปอีกแล้วขอรับ” เมื่อครู่เซียวจื่อเซวียนตกใจไม่น้อยไปกว่าเซี่ยยวี่หลัวเลย เห็นท่าทางสติเตลิดของพี่สะใภ้ใหญ่ เซียวจื่อเซวียนก็สติเตลิดเหมือนกัน
เซี่ยยวี่หลัวลูบผมของเด็กสองคน ก่อนมองดูเซียวยวี่ที่รูปร่างซูบผอมสูงโปร่งซึ่งกำลังก้มตัวทำงานอยู่ในที่นา ภายในใจเกิดความรู้สึกอบอุ่น
เซียวยวี่แทบไม่เคยทำไร่ทำนา เมื่อก่อนตอนครอบครัวฐานะดี เขาไม่จำเป็นต้องทำ ภายหลังบิดามารดาล้มป่วย เขาก็ไม่มีเวลาทำ ต้องดูแลบิดามารดาและน้องชายน้องสาว หลังจากนั้น เซี่ยยวี่หลัวไม่ให้เขาทำ บอกว่าจะทำให้เขาที่เป็นคนเรียนหนังสือขายหน้า
คิดดูก็ช่างประหลาดนัก สตรีผู้นี้…
เมื่อก่อนบอกว่าหากเขาทำไร่ทำนาจะขายหน้า ไม่ให้เขาทำ ตอนนี้นางกลับมาปลูกเสียเอง นอกจากนั้น ยังปลูกต้นกล้าถั่วได้ดีถึงเพียงนี้
ดูท่าว่าปีนี้น่าจะเก็บเกี่ยวถั่วเหลืองในที่นาได้ผลผลิตดีทีเดียว!
เซียวยวี่ใส่ปุ๋ยคอกเสร็จ ก็ล้างถังไม้ในคูน้ำจนสะอาด จากนั้นจึงหิ้วถังไม้และอุปกรณ์อื่นๆ เดินมาทางนี้
เซี่ยยวี่หลัวรู้สึกเกรงใจ นางเป็นคนจะมาใส่ปุ๋ยเอง กลับให้เซียวยวี่ทำ จึงรีบไปหยิบถังไม้ เซียวยวี่เบี่ยงตัวเล็กน้อย เดินผ่านเซี่ยยวี่หลัวไป
เซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่งประคองเซี่ยยวี่หลัว “พี่สะใภ้ใหญ่ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ! ”
ก็ได้ นางกลายเป็นคนที่ต้องได้รับการคุ้มครองมากที่สุดไปเสียแล้ว
ทั้งสามคนกลับถึงบ้าน เซี่ยยวี่หลัวตักน้ำให้ทุกคนล้างมือให้สะอาด แล้วจึงเข้าห้องครัวไปเตรียมอาหารเย็น เซียวจื่อเซวียนช่วยงานเซี่ยยวี่หลัวอยู่ที่ห้องครัว
เซี่ยยวี่หลัวดูในตู้ หั่นเนื้อหมูออกมาหนึ่งชิ้น สับจนละเอียด จากนั้นจึงบีบเป็นก้อนเล็กๆ เทน้ำสะอาดลงในชามใหญ่ ใส่ก้อนเนื้อหมูที่บีบเสร็จแล้วลงไป โรยเกลือ หั่นขิงหนึ่งแผ่น ซาวข้าวเสร็จแล้วใส่ในหม้อ นำชามใหญ่วางไว้บนเข่งนึ่ง หมูตุ๋นน้ำแดงผัดหน่อไม้ที่กินช่วงเที่ยงยังกินไม่หมด เซี่ยยวี่หลัวนำไปนึ่งในหม้อพร้อมกัน แล้วจึงเริ่มหุงข้าว
เซี่ยยวี่หลัวไปเด็ดพริกมาห้าถึงหกเม็ดจากสวนหลังบ้าน หยิบไข่ไก่มาสามฟอง หั่นพริกเสร็จ รอข้าวสุกแล้วก็เริ่มผัดอาหาร
เซียวจื่อเซวียนใส่ฟืนอยู่ข้างเตาไฟ ไฟสีแดงจากเตาไฟ สาดส่องจนใบหน้าของเขาเป็นสีแดง เซียวจื่อเมิ่งอยู่ข้างกายเซี่ยยวี่หลัว พูดคุยกับนาง เสียงหัวเราะดังขึ้นจากห้องครัวเป็นระยะ
เซียวยวี่อ่านตำราอยู่ในห้องหนังสือเพียงลำพัง อ่านแค่สองหน้าก็ไม่อาจอ่านต่อไปได้ เสียงหัวเราะที่ดังมาจากห้องครัว ทำให้เขารู้สึกจิตใจไม่สงบ
หลังจากหุงข้าว เซี่ยยวี่หลัวทำไข่ผัดพริกเสร็จ ก็สามารถกินข้าวได้แล้ว
น้ำแกงหมูสับหนึ่งชาม หมูตุ๋นน้ำแดงผัดหน่อไม้ที่กินเหลือจากช่วงเที่ยง ไข่ผัดพริกหนึ่งชาม ยังมีข้าวที่หุงจนหอมกรุ่น
เซียวจื่อเซวียนและเซียวจื่อเมิ่งกินน้ำแกงหมูสับกับข้าวชามใหญ่ เซียวยวี่ก็กินไปไม่น้อย กินข้าวไปสองชาม เซี่ยยวี่หลัวกินมื้อเย็นค่อนข้างน้อย กินไปเพียงครึ่งชาม
เซี่ยยวี่หลัวไม่กินอาหารค้างคืน ดังนั้นตอนเย็นนางจะทำค่อนข้างน้อย ตัวเองกินน้อยลง ทว่าอย่างไรก็ต้องกินอาหารในวันนี้ให้หมด ไม่เหลืออาหารแม้แต่น้อย อาหารในจานชามหมดเกลี้ยง
เซียวจื่อเซวียนยังคงไปล้างชามที่ห้องครัว เซี่ยยวี่หลัวล้างหม้อใหญ่สองใบเสร็จ ก็เทน้ำลงไปเริ่มต้มน้ำเพื่อใช้อาบช่วงเย็น
วันนี้อากาศร้อนเป็นพิเศษ ทุกคนไปทำงานในที่นา เซี่ยยวี่หลัวรักสะอาด ต้องอาบน้ำจากหัวจรดเท้า
นางไปเตรียมเสื้อผ้าให้เด็กสองคนในห้อง บัดนี้เซียวจื่อเซวียนอาบในห้องอาบน้ำเดียวกับเซียวยวี่ เซี่ยยวี่หลัวและเซียวจื่อเมิ่งอาบในห้องของตัวเอง ไม่รบกวนซึ่งกัน จะได้ไม่อึดอัด
เมื่อเตรียมเสื้อผ้าและล้างอ่างอาบน้ำเสร็จ น้ำก็ต้มเสร็จแล้ว
เซียวจื่อเซวียนหิ้วน้ำเข้าไปในห้องของเซียวยวี่ “พี่ใหญ่ น้ำต้มเสร็จแล้ว มาอาบน้ำขอรับ! ”
เสียงฝีเท้าดังขึ้นจากด้านใน ผ่านไปครู่หนึ่งก็มาถึงห้องข้างนอก “เจ้าอาบก่อนเถอะ อีกครู่หนึ่งข้าค่อยอาบ”
เซียวจื่อเซวียนพยักหน้า “เช่นนั้นก็ได้ขอรับ พี่ใหญ่ ข้าอาบก่อน ข้าจะไปหยิบเสื้อผ้าก่อนขอรับ”
เซียวยวี่เดินตามเซียวจื่อเซวียนออกมา เห็นเซี่ยยวี่หลัวหิ้วน้ำถังหนึ่งเข้าไปในห้องตัวเอง เซียวจื่อเมิ่งใส่เสื้อซับใน ปล่อยผมสยาย เดินตามนางเข้าไปในห้อง
ประตูห้องถูกปิดแล้ว
เซียวจื่อเซวียนหยิบเสื้อผ้ามาอย่างรวดเร็ว
“เร็วถึงเพียงนี้เชียว? ”
“ขอรับ วางอยู่บนเตียง พี่สะใภ้ใหญ่หยิบออกมาให้ข้าแล้ว” เซียวจื่อเซวียนกล่าวขณะถือเสื้อผ้าที่พับไว้อย่างเป็นระเบียบ
เซียวยวี่ขมวดคิ้ว “นางเตรียมเสื้อผ้าให้เจ้าเปลี่ยนไว้แล้ว? ”
เซียวจื่อเซวียนขานตอบทีหนึ่ง “ใช่ขอรับ พี่สะใภ้ใหญ่จะเตรียมเสื้อผ้าให้พวกเราทุกวัน พี่สะใภ้ใหญ่ยังอาบน้ำสระผมให้อาเมิ่งทุกวันด้วย! ทุกครั้งพี่สะใภ้ใหญ่จะอาบให้นางก่อน เสร็จแล้วจึงอาบเองขอรับ”
มิน่าล่ะอาเมิ่งถึงได้ตามเซี่ยยวี่หลัวเข้าไปในห้อง
ไม่นานเสียงหัวเราะก็ดังขึ้นจากห้องข้างๆ อาเมิ่งกับเซี่ยยวี่หลัวกำลังพูดคุยกัน
เสียงหนึ่งอ่อนเยาว์ เสียงใสเจื้อยแจ้ว อีกเสียงหนึ่งอ่อนโยน คอยเตือนคนตัวเล็กเป็นระยะ “ยกแขนขึ้นมา… เช็ดเสร็จแล้ว ทีนี้ก็ขา…”
เซียวจื่อเมิ่งเห็นว่าเท้าตัวเองถูกขัดจนมีของสีเทาออกมาไม่น้อย ก็เอ่ยถามอย่างรังเกียจ “พี่สะใภ้ใหญ่ เมื่อวานข้าขัดเท้าแล้ว ขัดจนสะอาดหมดจด ไม่มีคราบสกปรกแม้แต่น้อย เหตุใดวันนี้ถึงมีอีกเจ้าคะ ข้าขัดไม่สะอาดหรือเจ้าคะ? ”
เซี่ยยวี่หลัวช่วยขัดคราบสกปรกบนเท้าเซียวจื่อเมิ่ง พลางกล่าวตอบ “ไม่ใช่ เจ้าสิ่งนี้จะมีทุกวัน เพราะเหงื่อบนกายพวกเรา ทำให้ฝุ่นผงข้างนอกเกาะตัว ดังนั้น ต่อให้เจ้าอาบจนสะอาดทุกวัน วันต่อมาก็ยังมี”
เรื่องการเผาผลาญของร่างกายและไขมัน เซี่ยยวี่หลัวรู้ว่าต่อให้นางพูดออกมา เซียวจื่อเมิ่งก็ไม่เข้าใจ จึงไม่เอ่ยถึง
เซียวจื่อเมิ่งเข้าใจทันที “อ่อ ข้าเข้าใจแล้ว ฤดูร้อนอากาศร้อน จึงมีของสีเทาๆ นี่มาก ฤดูหนาวไม่มีเหงื่อ ของสีเทาๆ จึงมีน้อย พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านว่าข้ากล่าวถูกหรือไม่เจ้าคะ? ”
เด็กน้อยคนนี้ ฉลาดมีไหวพริบ รู้จักคิดหลากหลายแง่มุมแล้ว
เซี่ยยวี่หลัวประคองใบหน้าของเด็กน้อยไว้พร้อมจุมพิตตรงหน้าผากทีหนึ่ง “จื่อเมิ่ง เจ้าช่างฉลาดเสียจริง! ”
เซียวจื่อเมิ่งหัวเราะคิกคัก
เซี่ยยวี่หลัวก็หัวเราะตาม
เสียงหัวเราะของทั้งสองคนดังออกไปถึงข้างนอก เซียวยวี่ได้ยินเสียงหัวเราะนั่น กลับไม่อาจเดินต่อไปได้
ในบ้านไม่มีเสียงหัวเราะที่อบอุ่นและมีความสุขเช่นนี้นานแล้ว เซียวยวี่รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นแรงมาก ราวกับหัวใจที่ใกล้หยุดเต้นมีชีวิตขึ้นมาอีกครั้งอย่างไรอย่างนั้น
เขาไม่ได้ยิ้มนานแล้ว ต่อให้ยิ้ม ก็เคยยิ้มแค่กับเด็กสองคนเท่านั้น คราวนี้ เขากลับปริปากยิ้ม ดวงหน้าที่ดูดีไร้ซึ่งความเจนจัดและเย็นเยียบตามปกติ กลับอ่อนโยนราวกับสายลมในฤดูใบไม้ผลิที่แสนอบอุ่น
สายลมในฤดูใบไม้ผลิพัดผ่าน สรรพสิ่งทั่วหล้าพลันกลายเป็นสีเขียว