ตอนที่ 155 : การประชุมพยับเมฆอีกครั้ง
ผู้ใช้อสูรสามารถใช้สกิลของอสูรได้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะใช้ในการต่อสู้ได้อย่างเชี่ยวชาญ
ยังไงซะ อสูรก็ไม่ใช่เครื่องจักร มันไม่ได้มีความฉลาดมากมายนัก ระหว่างมนุษย์และอสูรจำเป็นต้องใช้เวลากว่าจะเข้าใจกลยุทธในการต่อสู้ของกันและกัน
หวังเย่ามีระบบวิวัฒนาการเทพอสูรอยู่กับตัว เขาถึงกับสามารถบังคับให้สัตว์อสูรตัวอื่น ๆ วิวัฒนาการได้ ดังนั้นการสื่อสารกับอสูรจึงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเขา
สำหรับคนอื่นแล้วการฝึกควบคุมสัตว์อสูรในการต่อสู้นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่สำหรับหวังเย่าแล้วมันไม่ได้มีปัญหาอะไรเลย
ดังนั้นการทดสอบนี้หวังเย่าจึงได้คะแนนเต็มไป
สำหรับการทดสอบอีก 5 วิชาอย่างการซ่อนตัวและการสำรวจ, การต่อสู้ระยะประชิดและการลอบสังหาร หวังเย่าเองก็ทำได้ดีอย่างมาก เขาได้ใช้สกิลกลืนกินแสงของตือโป๊ยก่ายและสกิลบินรวมถึงสกิลตบของการ์ฟิลด์ ทำให้เขาผ่านการทดสอบได้อย่างง่ายดาย
มีร้อยวิธีที่จะทำให้เขาพัฒนาขึ้น เขาแค่ต้องจดจำสกิลและฝึกฝนมัน
ด้วยความแข็งแกร่งของหวังเย่าในตอนนี้ มันก็ง่ายที่เขาจะดึงสกิลเหล่านั้นออกมาใช้ได้
สำหรับการสำรวจมิติลับแล้ว มันต้องใช้ประสบการณ์อยู่บ้าง แต่หวังเย่าเคยสำรวจมิติเทือกเขาหินโม่มาแล้ว ดังนั้นเขาจึงถือว่ามีประสบการณ์มากกว่าผู้ทดสอบคนอื่น ๆ
ปัญหาเดียวก็คือกายภาคสัตว์อสูรและการทำยา นอกจากจะต้องใช้ความเชี่ยวชาญแล้วยังต้องมีการทดสอบอีกด้วย หวังเย่าราวกับเป็นนักเรียนแพทย์ เขาต้องเอาศพของสัตว์อสูรมาชำแหละ จนตัวเปื้อนเลือดเล็กน้อย ลึก ๆ ในใจของหวังเย่านั้น เขาไม่อยากจะทดสอบวิชานี้เท่าไหร่นัก
แต่เขาก็ไม่ลังเลที่จะผ่าศพของสัตว์อสูรที่เขาพบ จากนั้นเขาแค่ต้องรู้ว่าชิ้นส่วนไหนที่มีค่า
การทดสอบทั้งหกนั้นแทบจะเว้นช่วงห่างกันไม่มาก มีอาจารย์ 3 คนคอยสังเกตการณ์อยู่ตลอด ทุกคนต่างก็มีชื่อเสียงในมหาวิทยาลัย พวกเขาจับตาดูหวังเย่าทุกการเคลื่อนไหว
ภายใต้การจับตาดูนี้ หวังเย่าไม่ได้กังวลเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าจะมีกล้องตั้งอยู่ข้าง ๆ เขาและคอยถ่ายเขาไว้ตลอด แต่เขาก็ไม่ได้วอกแวกหรือไม่มีสมาธิ เขากลับรู้สึกตื่นเต้นและพอใจกับความรู้สึกนี้ด้วยซ้ำ
เขาเก็บตัวเงียบมากว่า 1 เดือน จนตอนนี้เขาก้าวหน้าขึ้นมาไม่ใช่น้อย จึงเป็นธรรมดาที่เขาอยากจะแสดงความก้าวหน้าของเขาออกมาให้ทุกคนได้เห็น เพื่อจะพิสูจน์ว่าเขานั้นแข็งแกร่งและปิดปากทุกคนที่ดูถูกเขา
การเรียนจบแค่ 1 ปีนั้นถือว่าเป็นข่าวใหญ่สำหรับเมืองเลยก็ว่าได้ เมื่อคิดว่านี่คือหวังเย่าที่เป็นเศรษฐีคนใหม่ บางคนก็คิดว่าเขาอาจจะใช้เงินในการซื้อวุฒิจบการศึกษานี้
แต่เมื่อวิดิโอการทดสอบออกมา มันก็เหมือนกับตบหน้าทุกคนที่คิดแบบนั้น
การต่อสู้ระยะประชิดและการลอบสังหาร 98 คะแนน
การซ่อนตัวและการสำรวจ 99 คะแนน
กายภาคสัตว์อสูรและการทำยา 95 คะแนน
ทักษะเอาตัวรอด 97 คะแนน
การสำรวจมิติลับ 98 คะแนน
การต่อสู้ร่วมกันของผู้ใช้อสูรและอสูร 100 คะแนน
หลังจากทำการทดสอบทั้งหมดเสร็จสิ้น อาจารย์ทั้งสามก็ได้ส่งคะแนนของตัวเองเข้าส่วนกลาง เมื่อทำการคำนวนทุกอย่างแล้ว ก็มีการประกาศคะแนนของหวังเย่าออกมา
ความสำเร็จนี้ช่างน่าทึ่ง ทุกการทดสอบได้มากกว่า 95 คะแนน ไม่ว่าจะเอาผลการทดสอบที่ไหนมาเทียบ ก็เทียบคะแนนของหวังเย่าไม่ได้
การต่อสู้ร่วมกันของผู้ใช้อสูรและอสูรนั้นยิ่งน่าทึ่งเข้าไปอีก เพราะเขาได้คะแนนเต็มไปครอง ในอีกความหมายคือความเข้าใจระหว่างผู้ใช้อสูรและอสูรนั้นอยู่ในระดับสูงสุด มันคือเรื่องที่ไม่มีใครคาดถึงได้
“หวังเย่า นายผ่านการทดสอบข้อเขียน 4 วิชาและการทดสอบภาคสนาม 6 วิชาได้คะแนนมากกว่า 90 คะแนนทั้งหมด มันเยอะกว่า 80 คะแนนที่เรากำหนดไว้ ฉันต้องบอกว่านายเป็นนักเรียนที่โดดเด่นที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นมา แม้แต่ฉันก็ยังรู้สึกเสียดายนาย”
หลังจากได้รับรายงานของอาจารย์ทั้งสามคนแล้ว ลั่วหนาน รองอธิการบดีก็ได้เรียกตัวหวังเย่าเข้าพบ เขาอดไม่ได้ที่จะกล่าวชมหวังเย่าออกมาทันที
หวังเย่าขมวดคิ้วและพูดขึ้นมา “ท่านรองลั่ว ท่านเรียกผมมามีธุระอะไรอย่างงั้นหรือ ? ”
เวลาของเขามีค่า เพราะหวังเย่ายังต้องทำความเข้าใจทักษะพายุสังหาร เขาฝึกมาถึงส่วนที่ 2 แล้ว และกำลังจะทำความเข้าใจส่วนที่ 3 ตราบใดที่เรียนรู้ส่วนที่ 3 ได้ เขาก็สามารถใช้มันต่อสู้ได้
ดังนั้นหวังเย่าจึงรู้สึกร้อนใจ เขาไม่อยากเสียเวลาไปกับเรื่องเล็กน้อยพวกนี้
ลั่วหนานเห็นท่าทีของหวังเย่าก็ยิ้มออกมาและรีบพูดขึ้น “แม้ว่านายจะทำได้ดีในการทดสอบแต่อย่าหยิ่งทะนงไป นายอย่าคิดดูถูกคนอื่น ถ้านายไม่ขึ้นไปถึง 10 อันดับแรก นายก็ไม่ถือว่าเรียนจบ”
หวังเย่าอดไม่ได้ที่จะกรอกตาใส่ เรื่องแบบนี้ไม่จำเป็นที่ลั่วหนานต้องมาเตือน
แต่อีกฝ่ายนั้นหวังดี เขาจึงไม่ถือสา
หวังเย่าลุกขึ้นและกล่าวว่า “ท่านรองลั่ว ผมจะจำที่ท่านพูดเอาไว้ ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ลั่วหนานรู้สึกเสียหน้า หากเปลี่ยนเป็นนักเรียนคนอื่น เดาว่าเขาคงด่าอีกฝ่ายไปแล้วแต่หวังเย่าไม่ใช่เด็กธรรมดา แม้ว่าเขาจะเป็นรองอธิการบดีแต่ก็ไม่มีสิทธิ์สั่งหวังเย่า นี่ไม่ต้องนับการด่าเลย
“งั้นนายไปได้” ลั่วหนานส่ายหน้าแต่ในใจนั้นไม่พอใจอย่างมาก เขาอยากแช่งหวังเย่าให้โดนรถชนตายไปเสีย
แต่หวังเย่าน่ะโชคดี ถึงลั่วหนานจะสาปแช่งยังไงก็ไม่อาจจะทำอะไรเขาได้
เมื่อออกมาจากฝ่ายวิชาการแล้ว หวังเย่าก็ไม่ได้รีบกลับ พรุ่งนี้คือการประชุมพยับเมฆ ที่นี่จึงเริ่มคึกคักขึ้นมา ที่ถนนนั้นเต็มไปด้วยควัน
“ครั้งที่แล้วฉันอยู่อันดับที่ 96 แต่ครั้งนี้มันต่างจากอดีตแล้ว ฉันเดาว่าการเอาชนะอันดับแรกคงไม่ใช่ปัญหาเลยสำหรับฉันในตอนนี้”
หวังเย่าอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา เขาอยากเห็นสีหน้าของฮวงจินเทียนและเย่ฉิวเกาตอนที่แพ้เขาจริงๆ
“เป้าหมายของฉันแน่นอนว่าไม่ได้จำกัดที่ 10 อันดับแรก แต่ต้องขึ้นเป็นที่ 1 ฉันต้องเหนือกว่าทุก ๆ คนที่เคยมีมา”
หวังเย่าพร้อมกับเรื่องนี้แล้ว
วันต่อมา หวังเย่าก็ได้ขี่มอเตอร์ไซค์โดยมีจ้าวเมิ่งซีซ้อนท้าย พวกเขามุ่งหน้าไปที่ห้องโถงของมหาวิทยาลัยเพื่อเข้าร่วมการประชุมพยับเมฆ ตอนนี้มีฝูงชนเป็นจำนวนมากกำลังทยอยเข้ามาในลานประชุม
ตอนที่หวังเย่าเดินเข้ามานั้น นักศึกษาที่เห็นเขาเข้ามาต่างก็มองหน้ากันด้วยตาเป็นประกาย
หวังเย่าไม่ได้ใส่ใจ ยังไงซะเขาก็โด่งดังอยู่แล้ว การที่เขาเป็นที่รู้จักแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เขาก็ไม่ได้หลงตัวเองรึหยิ่งทะนงแต่อย่างใด