บทที่ 139 หนึ่งฝ่ามือตัดสินแพ้ชนะ!

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

หนึ่งฝ่ามือ ฝ่ามือนี้เย่เทียนเฉินใช้พลังพิเศษขอบเขตจอมราชันโจมตีเต็มกำลัง ดูเหมือนจะกระตุ้นความสามารถของพลังพิเศษในปัจจุบันของตนเองออกมาทั้งหมด

การต่อสู้กันตัวต่อตัวของยอดฝีมือ เมื่อลงมือก็จะออกแรงเต็มกำลัง จะไม่มีความลังเลโดยเด็ดขาด เพราะว่าใครก็ไม่กล้าลำพองใจ ไม่มีใครมีความมั่นใจอย่างเด็ดขาดว่าจะสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ที่มีความสามารถพอๆ กับตนได้

ดังเช่นยอดฝีมืออย่างชางหลางที่ถูกยกให้เป็นผู้แข็งแกร่งหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีน เมื่อเห็นเย่เทียนเฉินซัดฝ่ามือใส่กูตูอ๋างกลางอากาศ ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่หลบซัดฝ่ามือเข้าไปปะทะ ก็ยังถูกทำให้สั่นสะท้านอย่างล้ำลึก  เขาสามารถรู้สึกได้ว่าสองคนนี้ลงมือเต็มที่แล้ว ฝ่ามือนี้จะตัดสินแพ้ชนะ

ตู้ม!

เสียงดังสนั่นหวั่นไหว เย่เทียนเฉินและกูตู๋อ๋างปะทะฝ่ามือกัน ทั้งสองล้วนลงมือเต็มที่ ทำให้บริเวณสิบเมตรรอบด้านถูกแรงสั่นสะเทือนจนฝุ่นฟุ้ง สาเหตุก็คือฝ่ามือกลางอากาศของเย่เทียนเฉินทำให้ก้อนอิฐรอบบริเวณที่กูตู๋อ๋างยืนอยู่ถูกทำลายจนแตกเป็นเสี่ยงๆ กระทั่งสองขาของกูตู๋อ๋างที่ยืนอยู่บนพื้นก็ถูกทำให้จมลงไปสิบเซนติเมตร จินตนาการได้เลยว่าพลังฝ่ามือนี้มากมายขนาดไหน

ตู้ม!

เย่เทียนเฉินพุ่งออกมาท่ามกลางฝุ่นในทันที  หมุนตัวกลางอากาศครั้งหนึ่งแล้วลงมายืนอย่างมั่นคง ระหว่างงามนิ้วในมือขวาของเขามีเลือดไหลออกมา ดูท่าทางฝ่ามือนี้ของกูตู๋อ๋างก็ลงมือสุดกำลังเช่นเดียวกัน พลังทำลายล้างไม่น้อยเลย

“ไอ้หนูถึงกับรอดมาได้เลยหรือ?” ชางหลางมองเย่เทียนเฉินอย่างไม่อยากจะเชื่อแล้วพูดขึ้น

“กูตู๋อ๋างแข็งแกร่งมากจริงๆ มิน่าล่ะถึงอยากจะแย่งตำแหน่งสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนกับคุณ ว่าแต่ทำไมคุณถึงพูดแบบนี้?” เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะถามอย่างแปลกใจ

ชางหลางมองปากแผลที่มีเลือดไหลออกมาบริเวณมือขวาของเย่เทียนเฉิน ในใจอดไม่ได้ที่จะตกตะลึง รู้สึกว่าเย่เทียนเฉินลึกล้ำไม่อาจคาดเดาได้ ต้องทราบว่าเมื่อปีนั้นเขาได้สู้กับกูตู๋อ๋างมาก่อน ตอนนั้นความสามารถของกูตู๋อ๋างไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่นัก ต่อให้เป็นแบบนี้ กว่าที่เขาจะโจมตีให้อีกฝ่ายพ่ายแพ้ได้ก็ต้องแลกมาด้วยค่าตอบแทนใหญ่หลวง แต่กลับไม่คิดเลยว่าเย่เทียนเฉินและกูตู๋อ๋างปะทะฝ่ามือกันอย่างเต็มกำลังจะเพียงแค่บาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น

“นายเข้าใจวิถีหมัดของกูตู๋อ๋างหรือเปล่า?” ชางหลางไม่ได้ตอบเย่เทียนเฉินตรงๆ จ้องเขม็งไปยังบริเวณที่มีฝุ่นฟุ้งกระจายแล้วเอ่ยถามขึ้น

“ไม่เข้าใจหรอกครับ แปลกมาก ระหว่างที่ออกหมัดมามีประกายสีทองด้วย” เย่เทียนเฉินพูดอย่างสงสัย

แน่นอนว่าในช่วงยุดสิ้นโลกมีผู้แข็งแกร่งแห่งพรรควรยุทธโบราณ มียอดฝีมือแห่งโลกผู้มีพลังพิเศษ แล้วยังมีมนุษย์กลายพันธุ์และสัตว์ประหลาด เรื่องแปลกประหลาดทั้งหลายล้วนมีทุกอย่าง ส่วนโลกแห่งนี้ อย่างน้อยเมื่อดูจากตอนนี้แล้ว นอกจากยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ ก็ยังมีผู้มีพลังพิเศษ นอกจากนั้นก็ไม่มีการปรากฏตัวของสิ่งอื่น

ดังนั้นกูตู๋อ๋างไม่ใช่ผู้มีพลังพิเศษแน่นอน ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้เย่เทียนเฉินไม่ได้รู้สึกว่าบนร่างกายของอีกฝ่ายมีการเคลื่อนไหวของพลังพิเศษ ดังนั้นการที่เขาสามารถมีพลังการต่อสู้แบบนี้ได้ ก็คงเป็นยอดฝีมือแห่งพรรควรยุทธโบราณ ภายในพรรควรยุทธโบราณ คนที่จะสามารถกลายเป็นผู้แข็งแกร่งได้จำเป็นต้องฝึกฝนเคล็ดวิชาของพรรควรยุทธโบราณ จะเป็นวิชาหมัดก็ดี วิชากระบี่ก็ดี หรือจะเป็นวิชาฝ่ามือต่างๆ นานาก็ตาม แล้วยังมีวิชามีดบินเหมือนเซี่ยอวี่เหอและศิษย์พี่ของนางเจียงอั้นอีกด้วย

กูตู๋อ๋างฝึกวิชาหมัด ผสมผสานกับพลังภายในอันแข็งแกร่ง จึงสามารถแสดงพลังการต่อสู้ที่ทำให้ผู้คนตะลึงออกมาได้ แต่พลังภายในที่อยู่ภายในหมัดที่ปล่อยออกไป ถึงกับมีแสงสีทองเป็นประกายเล็กน้อย นี่เป็นสิ่งที่เย่เทียนเฉินเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก และไม่แน่ใจชัดเจนว่าเคล็ดวิชาพรรควรยุทธโบราณวิชาใดที่กูตู๋อ๋างฝึกฝนมา ร้ายกาจถึงเพียงนี้ ใกล้จะถึงขั้นเท็จเป็นจริงแล้ว

“หมัดวชิระสยบมาร!” ชางหลางกล่าวเสียงเข้ม

“อะไรนะ? เป็นหมัดนี้เลยหรือ?”

เย่เทียนเฉินได้ยินคำพูดของชางหลางก็อดไม่ได้ที่จะตกตะลึง หมัดวชิระสยบมาร วิชาหมัดประเภทนี้ในช่วงยุคสิ้นโลก สามารถกล่าวได้ว่าทำให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านเป็นอย่างมาก วิชาขุ้นสูงสุดของหมัดนี้ ล่ำลือกันว่าหากฝึกถึงสภาวะขั้นสุดยอด ผสมผสานกับพลังภายในที่แข็งแกร่ง หนึ่งหมัดสามารถล้มมังกรได้ สองหมัดสามารถสยบพยัคฆ์ได้ สามหมัดสามารถปราบมารได้ จะเป็นคำพูดเกินจริงหรือไม่เขาก็ไม่ทราบ เพราะในช่วงยุคสิ้นโลกที่เขาอยู่ไม่เคยสู้ประมือกับยอดฝีมือขั้นสูงที่ใช้วิชาหมัดวชิระสยบมาร คิดไม่ถึงว่าในโลกนี้กูตู๋อ๋างจะเป็นผู้ฝึกฝนวิชาหมัดนี้ ต่อให้ยังไม่ถึงขั้นสุดยอด แต่กลับมีพลังอยู่หลายส่วน

“ถูกต้อง หมัดวชิระสยบมาร คิดว่านายก็คงเคยได้ยินมาบ้าง นายสามารถรอดมาได้ก็นับว่าไม่เลวแล้ว!” ชางหลางพูดอย่างจริงจัง

หากจะบอกว่าไม่รู้สึกอะไรก็เป็นการโกหกแล้ว เย่เทียนเฉินเองก็ดีใจมาก ในตอนแรก เขาไม่ได้ดูแคลนกูตู๋อ๋าง เมื่อลงมือก็กระตุ้นความสามารถขั้นสุดยอดของพลังพิเศษขอบเขตจอมราชัน ฝ่ามือกลางอากาศเมื่อครู่นี้ ไม่เพียงแต่มีแรงเฉื่อย อีกทั้งยังแฝงไปด้วยมีการโจมตีที่แข็งแกร่งสุดที่เขาสามารถใช้ออกมาได้ในปัจจุบันนี้

ฝุ่นควันค่อยๆ เลือนราง เห็นเพียงกูตู๋อ๋างที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม ก้อนหินรอบตัวเขาในบริเวณหลายเมตรถูกคลื่นกระแทกจนกลายเป็นเสี่ยงๆ ขาทั้งสองจมลงไปประมาณสิบเซ็นติเมตร ดูแล้วทำให้ผู้คนตกใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะมือขวาของกูตู๋อ๋าง ที่นิ้วมือทั้งห้าบิดงอเปลี่ยนรูปไปแล้ว กระดูกของนิ้วมือทั้งห้านิ้วหักทั้งหมด เลือดสดๆ ไหลออกมา กูตู๋อ๋างยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน ค่อยๆ มองไปยังเย่เทียนเฉิน

ฝ่ามือเมื่อครู่นี้ กูตู๋อ๋างมีความมั่นใจเป็นอย่างมาก คิดว่าฝ่ามือนี้ของตนเองจะต้องซัดเย่เทียนเฉินจนปลิวได้อย่างแน่นอน เพราะหลายปีมานี้ เขาฝึกอย่างยากลำบากทุกวันคืนเพื่อที่จะเอาชนะชางหลางและแย่งชิงฉายาหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนมาให้ได้ ดังนั้นขอบเขตของหมัดวชิระสยบมารของเขาในตอนนี้ คนละระดับกับเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิง พลังทำลายล้างเพิ่มมากขึ้นไม่รู้กี่เท่า ในความคิดของกูตู๋อ๋าง ต่อให้เย่เทียนเฉินร้ายกาจเพียงใด ก็ไม่สามารถหยุดฝ่ามือนี้ของตนได้

ไหนเลยจะรู้ว่า เมื่อฝ่ามือทั้งสองปะทะกัน กูตู๋อ๋างจะพลันรู้สึกได้ในทันทีว่าฝ่ามือของตนราวกับปะทะเข้ากับภูเขาเหล็กกล้าลูกหนึ่ง ส่วนเย่เทียนเฉินนั้นเคลื่อนไหวโจมตีกระแทกเขาลงไปโดยตรง เขามองเย่เทียนเฉินอย่างยากที่จะเชื่อ ต่อให้กระดูกนิ้วมือขวาทั้งห้านิ้วถูกกระแทกจนหักหมด กูตู๋อ๋างก็ไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวด ในใจของเขาถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกตกตะลึงโดยสิ้นเชิง

เย่เทียนเฉินอายุเพียงยี่สิบปีเท่านั้น ในสายตาของกูตู๋อ๋าง ต่อให้เย่เทียนเฉินจะแข็งแกร่งเพียงใด จะสามารถแข็งแกร่งได้ถึงขนาดไหนกันเชียว? คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตนเองโดยเด็ดขาด ยิ่งไปกว่านั้นนี่เป็นฝ่ามือที่เขาออกแรงทั้งหมดแล้วงั้นหรือ? แต่ว่า ความจริงมักจะยากจะคาดเดา ความสามารถของเย่เทียนเฉินห่างไกลจากจินตนาการของเขาไปมาก

“ฉันแพ้แล้ว เอาไปเถอะ!” กูตู๋อ๋างขยับขาทั้งสอง เดินออกจากรอยประทับลึกสิบเซนติเมตรบริเวณขา มือซ้ายหยิบกระเป๋าตังค์ออกมา โยนไปให้เย่เทียนเฉินแล้วพูดขึ้น

“กลับไปฝึกให้มากๆ อีกสักหลายปีเถอะ ด้วยความสามารถของนาย เชื่อว่าจะกลายเป็นสามราชันนักรบของประเทศจีนได้ไม่ยาก!” เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ

เย่เทียนเฉินไม่ได้มีความแค้นความเกลียดชังอะไรกลับกูตู๋อ๋าง เพียงแค่มีการกระทบกระทั่งกันเล็กน้อยเท่านั้น ส่วนกูตู๋อ๋างก็เป็นคนที่มีความสามารถอย่างแท้จริง แพ้แล้วก็พูดจริงทำจริง นับว่าเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง คนประเภทนี้เย่เทียนเฉินนับถือเป็นอย่างมาก จะพูดไปแล้วเขาก็เป็นคนมีความสามารถคนหนึ่ง ด้วยฝีมือของเขาหากต้องการเป็นหนึ่งในสามราชันนักรบแห่งประเทศจีนย่อมไม่ใช่ปัญหาใหญ่ ตามการคาดเดาของเย่เทียนเฉิน ฝีมือของชางหลางเหนือกว่ากูตู๋อ๋าง ส่วนเรื่องการต่อสู้อย่างสุดความสามารถระหว่างเขากับชางหลาง เป็นเรื่องที่จะช้าจะเร็วก็ต้องเกิดขึ้น

กูตู๋อ๋างมองเย่เทียนเฉิน แล้วมองชางหลาง “หนึ่งปีหลังจากนี้ ฉันจะเอาชนะไอ้หนูนี่ให้ได้ ชางหลาง ถึงตอนนั้น ฉายาราชันนักรบของนายก็จะเป็นของฉัน!”

“ไม่มีปัญหา หนึ่งปีหลังจากนี้ ฉันจะสู้กับนายอีกครั้ง!” เย่เทียนฉินพูดยิ้มๆ

“ดี ถึงตอนนั้นก็ตัดสินแพ้ชนะกันได้จริงๆ!” ชางหลางพูดอย่างจริงจัง

เมื่อเห็นกูตู๋อ๋างจากไป ชางหลางก็ผ่อนลมหายใจ การต่อสู้ของเย่เทียนเฉินและกูตู๋อ๋างสามารถสิ้นสุดลงแบบนี้ได้ก็นับว่าเป็นผลที่ดีมากแล้ว ถ้าทั้งสองสู้กันถึงขั้นเป็นตายจริงๆ เกรงว่าบ้านตระกูลลั่วคงจะถูกทำลายจนหมดสิ้น

“เย่เทียนเฉิน ไอ้หนู นายอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามแบบนี้ได้ไหม ตอนนี้นายฆ่าล้างตระกูลลั่วไปแล้ว ฉันจะดูว่านายจะเก็บกวาดยังไง!” ชางหลางได้สติกลับมา จึงอดไม่ได้ที่จะตะโกนออกไปอย่างโกรธเคือง

“อย่าตะโกนสิ อย่าตะโกน ไม่ใช่ว่ามีคุณแล้วก็มีท่านหยางเหรอ? ผมเชื่อว่าพวกคุณจะสามารถทำให้เรื่องตระกูลฉินและตระกูลลั่วสงบลงได้ หรือพูดให้ถูกก็คือ ผมได้ตอบรับท่านหยางไปแล้ว ตอนที่ไปเรียนที่มหาวิทยาลัยหลงเถิง จะถือโอกาสคุ้มครองดาวมหาวิทยาลัยอะไรนั่นสักหน่อย พวกคุณคิดดูสิ ถ้าผมเกิดเรื่องอะไรขึ้น ใครจะทำภารกิจล่ะ?” เย่เทียนเฉินยิ้มแล้วพูดออกมาอย่างไร้ยางอาย

“นาย…”

“ผมว่าพวกเราไปกันเถอะ เชื่อว่าอีกไม่นานพวกคนรับใช้ของตระกูลลั่วก็จะไปแจ้งตำรวจแล้ว พอตำรวจมาถึงเห็นท่านนายพลชางหลางอย่างคุณอยู่ที่นี่ เรื่องก็คงจะรุนแรงมากขึ้น คนตัวเล็กๆ ไร้ความสำคัญอย่างผมถูกพบก็ไม่เป็นไรหรอก” เย่เทียนเฉินพูดแล้วหัวเราะฮี่ๆ

ชางหลางถูกเย่เทียนเฉินทำให้โกรธจนพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว หมุนตัวเดินไปยังประตูของบ้านตระกูลลั่ว เย่เทียนเฉินเดินตามไปด้วยรอยยิ้มไร้ยางอาย ในตอนที่เพิ่งจะเดินไปถึงประตูบ้านตระกูลลั่ว ตำรวจหน่วยรบพิเศษติดอาวุธเกินหนึ่งร้อยคนเล็งปากกระบอกปืนมาทางเย่เทียนเฉินและชางหลาง การวางกำลังรบแข็งแกร่งมั่นคงมาก

“นี่คงจะเป็นคนของหลูเซิ่งต๋า ดูท่าต้องสั่งสอนเล็กน้อย คนๆ นี้ไม่รู้เรื่องเลย!” เย่เทียนเฉินแล้วกำหมัดแน่น

“ไอ้หนูเพลาๆ ลงบ้างได้ไหม อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม ปล่อยให้ปู่อย่างฉันช่วยนายได้ไหม…” ชางหลางมองเย่เทียนเฉิน พูดด้วยเสียงอันเบา กลัวว่าเจ้าหมอนี่จะทำเป็นเล่น ลงมืออัดตำรวจหน่วยรบพิเศษหลายร้อยคนนี้จนหมอบเข้าจริงๆ ถ้าเป็นแบบนั้นก็จะยิ่งเป็นเรื่องใหญ่ ไม่มีทางเก็บกวาดได้แล้ว

“เห้อ งั้นพวกเราก็รอถูกจับเถอะ!” เย่เทียนเฉินถอนใจครั้งหนึ่งแล้วพูดออกมา

“ท่านหยางจะคิดวิธีได้แน่นอน ขอแค่ไอ้หนูอย่างนายเพลาๆ ลงบ้าง” ชางหลางกล่าวเสียงเข้ม

ในตอนนี้เอง หลูเซิ่งต๋าเดินออกมาท่ามกลางกลุ่มคน เย่เทียนเฉินพูดยิ้มๆ “ที่แท้ก็ท่านผู้อำนวยการหลูนี่เอง กองกำลังยิ่งใหญ่ดีจริงๆ มาจับผมเหรอ?”

“นี่…สะ สหายเย่ ผมเองก็ทำตามคำสั่ง คุณก็อย่าทำให้ผมลำบากใจเลย พี่ชางหลาง ท่านผู้บัญชาการเฉินส่งหมายจับมาด้วยตัวเอง เชิญพวกคุณสองคนไปกับผมหน่อยนะครับ!” หลูเซิ่งต๋าพูดอย่างเกรงอกเกรงใจ  แล้วยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน

ตั้งแต่เรื่องที่เป้ยเฟิงเซวียนในครั้งนั้น หลังจากที่หลูเซิ่งต๋าเห็นกับตาว่าเย่เทียนเฉินอัดฉินเหิงและฉินเทาหยวนสองพ่อลูก เขาก็เข้าใจอย่างลึกซึ้ง อาศัยเขาคงไม่มีทางไปหาเรื่องกับเย่เทียนเฉินได้ เย่เทียนเฉินไม่สร้างปัญหาให้เขาก็ไม่เลวแล้ว จึง ทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการกรมรักษาความมั่นคงสาธารณะของเมืองหลวงไปอย่างซื่อสัตย์ คนที่กล้าหาเรื่องแม้กระทั่งตระกูลฉิน เขาหลูเซิ่งต๋าจะกล้าหาเรื่องได้อย่างไร ความสูงส่งของเย่เทียนเฉิน ค่อยๆ ไปถึงระดับที่เขาแตะต้องไม่ได้แล้ว