จือหมิงลูกชายเจ้าของรีสอร์ทถูกเด็กวัยรุ่นหลายคนจับกดลงพื้น ตะกร้าใส่งูที่เขาพกติดตัวตลอดคว่ำลง อวี๋หมิงหลางพอไปถึงก็รีบตะโกนให้หยุด
“หยุดนะ!”
จือหมิงห่อตัวนอนขดอยู่ที่พื้น เสี่ยวเชี่ยนวิ่งเข้าไปถามเขา
“ไม่เป็นไรนะ?”
จือหมิงไม่ตอบ แต่ไหล่ของเขาสั่นเทา
“แกเป็นใครวะ?” เด็กวัยรุ่นเหล่านั้นมองอวี๋หมิงหลางอย่างหาเรื่อง ดูจากการแต่งตัวแล้วเหมือนพนักงานของโรงแรมที่อยู่ในเขตท่องเที่ยวนี้ มีคนหนึ่งสวมผ้ากันเปื้อนสีขาวที่เลอะคราบน้ำมัน
“ฉันเป็นใครไม่สำคัญ ประเด็นคือเป็นคนบ้านเดียวกันทั้งนั้น มีอะไรก็คุยกันดีๆสิ ทำไมต้องลงไม้ลงมือกันด้วย”
คำพูดของอวี๋หมิงหลางไม่ได้ทำให้คนพวกนี้หยุดใช้ความรุนแรง คนที่เป็นหัวโจกหัวเราะเสียงดัง ชี้ไปที่จือหมิงที่นอนอยู่พลางพูดเย้ยหยัน
“พวกแกอยู่ให้ห่างๆไอ้บ้านี่ไว้ ปู่มันเป็นบ้า มันเองก็เป็นบ้า! ไปเรียนมอปลายกลับมาทำอวดดีไม่ทักทายใคร ถุย!”
เด็กวัยรุ่นคนนั้นคิดจะถีบจือหมิง แต่ถูกอวี๋หมิงหลางห้ามไว้
“เฮ้พวก ขอเตือนไว้ก่อนอย่ามาใช้กำลังต่อหน้าฉัน ฉันไม่ปลื้มเท่าไร”
เด็กวัยรุ่นที่เป็นหัวโจกถูกอวี๋หมิงหลางล็อคแขนไว้ ถูกหักหน้าต่อหน้าคนมากมาย ในฐานะที่เป็นนักเลงประจำถิ่น นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าหักหน้า ดังนั้นหลังจากที่อวี๋หมิงหลางเข้ามาห้าม สิ่งแรกที่หัวโจกคนนี้ทำก็คือ—
“พวกเรา!ลุย!”
สิ้นเสียงตะโกนคนที่เหลือก็พุ่งเข้าไปรุมอวี๋หมิงหลาง
จากนั้นแต่ละคนกระเด็นกระดอนไปทิศทางไหนล้วนเกิดขึ้นภายในชั่วพริบตา อวี๋หมิงหลางเตะทีเดียวล้มลงไปกองกับพื้นสองคน
ส่วนอีกสองคนที่เหลือได้ถูกหมัดกับขาของเขาทำให้ล้มลง
“การใช้กำลังคือพวกสัตว์ ดังนั้นรับมือกับพวกนายที่มีพฤติกรรมไร้สติแบบนี้ก็คือการทำตัวแบบสัตว์สมัยยุคดึกดำบรรพ์ ฉันมีอาวุธแค่อย่างเดียว นั่นก็คือพละกำลัง!”
อวี๋หมิงหลางปัดมือ แล้วพูดกับหัวโจกที่ถูกเขาถีบล้มลงอย่างไม่แคร์
“ยังไม่ไสหัวไปอีก!”
สมัยก่อนที่พี่หลางทำตัวเป็นนักเลง ไอ้กร๊วกพวกนี้ยังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกอยู่เลยด้วยซ้ำ คิดจะมาทำอวดเก่งต่อหน้าเขา ทำแค่นี้ยังเบาไป!
กลุ่มเด็กเกเรรีบหนีกันกระเจิง
เสี่ยวเชี่ยนนั่งยองๆตบบ่าที่สั่นเทาของจือหมิง
“ไม่เป็นไรแล้วนะ พวกนั้นไปแล้ว ไม่มีใครทำร้ายนายแล้ว”
จือหมิงก็อายุ18-19แล้ว ทำไมยังถูกรังแกได้ เสี่ยวเชี่ยนคิดมาตลอดว่าพฤติกรรมยกพวกรุมคนอื่นแบบนี้จะมีแค่ในวัยเท่าน้องชายเธอเท่านั้น
“พวกเขารังแกผมแบบนี้มาตลอด…” ใบหน้าของจือหมิงซุกอยู่กับพื้น เขาพูดด้วยน้ำเสียงเหมือนร้องไห้
“ไม่เป็นไรแล้ว พวกนั้นไปหมดแล้ว ไม่มีใครมารังแกนายได้อีก” เสี่ยวเชี่ยนปลอบอย่างใจเย็น ด้วยสัญชาตญาณทางอาชีพของเธอสัมผัสได้ว่าเด็กที่ยังไม่โตเต็มที่คนนี้กำลังตกใจกลัวมาก
และความกลัวนี้เป็นไปได้ว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่ปรากฏ คนพวกนั้นทำเหมือนเป็นเรื่องธรรมดา ดูก็รู้ว่ารังแกจือหมิงบ่อย
“พวกเขาหัวเราะเยาะที่ผมสอบไม่ติด หัวเราะเยาะชื่อของผม แม้แต่ชุ่ยเอ๋อพวกเขาก็ไม่เว้น…ชุ่ยเอ๋อ!” อยู่ๆจือหมิงก็เงยหน้าขึ้นรีบไปพลิกตะกร้าขึ้นมาดูด้วยความลนลาน
งูเขียวที่อยู่ในนั้นดูอ่อนแรง ร่างกายขดงออย่างไม่เป็นธรรมชาติ หัวย้อยลงต่ำ จือหมิงประคองสัตว์เลี้ยงของตัวเองด้วยมืออันสั่นเทา แต่งูเขียวก็ไม่พันตัวที่แขนของเขาอย่างตอนปกติอีกแล้ว
อวี๋หมิงหลางแค่เห็นก็รู้ว่างูตัวนี้ไม่รอดแน่
80-90%ถูกคนทำกระดูกหัก สิ่งมีชีวิตจำพวกงูถ้ากระดูกหักล่ะก็ รอความตายอย่างเดียว
ไม่ว่าจะที่ไหนผู้อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง เรื่องจำพวกนี้ไม่ใช่แค่ตามหมู่บ้านในชนบท แม้แต่ในเมืองก็มีให้เห็นเยอะ เพียงแต่ในสถานที่ที่ความเจริญเข้าไม่ค่อยถึงแบบนี้ เรื่องแบบนี้จะค่อนข้างเป็นที่เปิดเผย
“ชุ่ยเอ๋อ!” จือหมิงร้องไห้ออกมาเสียงดัง เสี่ยวเชี่ยนเห็นแบบนั้นแล้วก็หน้าบึ้ง
“คนพวกนั้นทำเกินไปแล้ว!”
อวี๋หมิงหลางพยักหน้า “อันที่จริงพวกนั้นก็เป็นแค่เด็กที่เพิ่งโต ผู้ใหญ่ไม่ค่อยได้สั่งสอน โตมาถึงได้ทำอะไรโง่ๆ คนโง่ก็มักจะชอบแสดงออกด้วยการใช้กำลัง วงจรอุบาทว์วนเวียนกันอยู่อย่างนี้เลยเกิดเป็นแก๊งค์นักเลงตามหมู่บ้านในชนบทหรือแม้แต่ในเมือง เป็นขยะสังคม”
อวี๋หมิงหลางมีวิชาป้องกันตัวชั้นสูง แต่เขาไม่เคยใช้ความสามารถในทางที่ผิด เขาจะใช้มันปกป้องคนที่ตัวเองอยากปกป้องเท่านั้น ไม่ใช่ไว้ใช้รังแกคนไม่มีทางสู้
“ถ้าพี่ผมอยู่ก็คงดี พี่ผมไม่มีทางปล่อยให้คนพวกนั้นรังแกผมแน่…ผมทำอะไรก็ไม่ดีสักอย่าง” จือหมิงประคองงูเขียวที่ค่อยๆตายไป น้ำตาที่อยู่บนหน้ายังไม่แห้ง ดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้นมองไปทางที่เด็กเกเรพวกนั้นวิ่งหนีไป
“ไปเถอะ กลับไปกับพวกเรา ร่างกายเธอมีแผลต้องไปทำแผลก่อน” เสี่ยวเชี่ยนพูดกับจือหมิง
แต่จือหมิงกลับมองไปทางคนพวกนั้นพลางพูดพึมพำ “ถ้าจือฮูอยู่เราไม่มีทางโดนรุมแน่นอน พี่จะปกป้องเรา พี่…”เขาเอามือกำไปที่พื้นแน่น ดวงตาแดงกล่ำ ท่าทางดูแปลกมาก
เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกสถานการณ์ไม่ชอบมาพากล ขณะที่กำลังจะทำการพูดจูงใจเธอก็เห็นจือหมิงถืองูที่ตายแล้ววิ่งไปทิศทางตรงกันข้าม ความเร็วของเขานั้นไวเสียจนอวี๋หมิงหลางยังคิดว่าสุดยอด คล้ายกับสัตว์ป่า
“เด็กคนนี้คงไม่เป็นอะไรนะ?” เสี่ยวเชี่ยนถาม
“เดี๋ยวผมตามไปดูดีกว่า” อวี๋หมิงหลางเองก็รู้สึกไม่วางใจ ปฏิกิริยาของจือหมิงไม่ค่อยเหมือนคนปกติ
ขณะที่อวี๋หมิงหลางเตรียมจะวิ่งตามไปนั้นก็เห็นลุงเจ้าของรีสอร์ทเดินมา
“ลุงคะ จือหมิงมีเรื่องกับพวกเด็กเกเร เขาวิ่งไปทางนั้นแล้ว หนูกำลังจะให้คู่หมั้นวิ่งตามไปค่ะ” เสี่ยวเชี่ยนชี้ไปทางที่จือหมิงวิ่งไป
“เห้อ เดี๋ยวลุงไปตามเอง พวกเธอกลับไปเถอะ พวกเธอไม่รู้จักทางในภูเขาดี” ลุงเจ้าของพอได้ยินเสี่ยวเชี่ยนพูดแบบนั้นก็หน้านิ่ว ไม่ได้มีสีหน้าตกใจ คล้ายกับชินแล้วที่ลูกชายถูกแกล้ง
“ไม่ให้ผมไปช่วยจริงๆเหรอครับ?” อวี๋หมิงหลางถาม
ลุงเจ้าของส่ายหน้า มองอวี๋หมิงหลางด้วยสายตาระแวง แล้วพูดอย่างไม่เกรงใจ
“เรื่องของครอบครัวเรา พวกเธอเป็นคนนอกอย่ามายุ่ง!”
ลุงที่ดูใจดีมาตลอดอยู่ๆก็พูดด้วยน้ำเสียงไร้มารยาท เสี่ยวเชี่ยนกับอวี๋หมิงหลางมองหน้ากันแล้วตัดสินใจปล่อยไป คนเป็นพ่อพูดขนาดนี้แล้ว ถ้าพวกเขายังดื้อดึงจะไปช่วย อาจเป็นการเพิ่มความยุ่งยากให้อีกฝ่าย
ระหว่างทางกลับอวี๋หมิงหลางถามเสี่ยวเชี่ยน
“ในมุมมองทางจิตวิทยามองสภาพอารมณ์ที่ดูเกินจริงของลุงเมื่อกี้ยังไงเหรอ?”
“คนที่มีความเคารพในตัวเองสูงกับคนที่ชอบดูถูกตัวเอง”
“หมายความว่ายังไง?”
“ถ้าลองลากเส้นตรงแสดงถึงการมีความเคารพในตัวเอง ถ้าอย่างนั้นคนปกติก็จะอยู่ตรงกลาง คนที่ชอบดูถูกตัวเองจะอยู่ด้านล่างของคนปกติ ส่วนคนที่มีความเคารพในตัวเองสูงจะอยู่ด้านบน คนที่มีมากหรือต่ำเกินไปล้วนไม่ใช่สภาวะจิตใจที่ปกติ คนที่มีความเคารพในตัวเองสูงจะค่อนข้างเซ้นซิทีฟ ใครล้ำเส้นไม่ได้เลย ซึ่งก็คือพวกที่เห็นแก่หน้าตัวเอง คนรอบตัวพวกเราหลายคนเป็นแบบนี้ ว่าแค่หน่อยเดียวหัวใจก็เปราะบางเหมือนกระจก เป็นคนที่เคารพตัวเองสูงมาก ดูอย่างพวกเราพักที่นี่มาหนึ่งคืนแล้วนายได้ยินลุงเจ้าของด่าจือหมิงไปกี่ครั้งแล้วล่ะ? แทบจะทุกครั้งที่เอาแต่เน้นย้ำว่าจือหมิงสู้พี่ชายไม่ได้”