แร่เหล็กซึ่งมีไว้สำหรับใช้สนับสนุนทางการทหาร ส่วนใหญ่แล้วจะถูกผูกขาดโดยราชวงศ์

 

หากค้นพบแร่เหล็กในเขตแดนที่ตัวเองครอบครอง จะต้องถวายให้แก่ราชวงศ์โดยไม่มีข้อยกเว้น หลังจากนั้นอาจจะได้รับการเลื่อนตำแหน่งหรือเขตแดนอื่นเพิ่มเป็นการตอบแทน

 

แน่นอนว่าอังเกนัสไม่ยอมทำเช่นนั้น

 

พวกนั้นอ้างเหตุผลว่า ปริมาณแร่เหล็กมีน้อยเกินไป พวกเขาจึงไม่ยอมมอบเหมืองให้และได้กลายเป็นตระกูลที่ครอบครองแร่เหล็กอย่างเป็นทางการในที่สุด

 

“แต่ที่ข้าต้องการไม่ใช่แร่เหล็กหรอกค่ะ”

 

แถมตั้งแต่แรกปริมาณแร่เหล็กที่ขุดเจาะได้ก็ไม่ได้มีมากอะไรขนาดนั้นด้วย

 

แน่นอนว่าแร่เหล็กพวกนั้นเธอคิดไว้แล้วว่าจะเอาไปใช้ประโยชน์เรื่องอื่นแทน

 

“เอาเป็นว่าเรื่องอื่นไว้ค่อยคุยกันหลังประมูลเหมืองนั่นได้สำเร็จก็แล้วกันนะคะ”

 

ถ้าเธอเล่าแผนการที่วางไว้ทั้งหมดออกไปในตอนนี้ มีแต่จะสร้างความตื่นตกใจให้เครย์ลีบันกับไวโอเล็ตเปล่าๆ

 

ฟีเรนเทียลุกขึ้นจากที่นั่งในขณะที่สั่งงานไวโอเล็ต

 

“ช่วยไปสืบเกี่ยวกับเหมืองถ่านหินลีลาร์มาด้วยนะคะ ไวโอเล็ต”

 

“ค่ะ ท่านฟีเรนเทีย”

 

เพราะมันเป็นงานแรกที่ได้รับคำสั่งจากเธอ นัยน์ตาของไวโอเล็ตจึงลุกโชนไปด้วยความมุ่งมั่น

 

“ส่วนเครย์ลีบัน อีกไม่กี่วันให้หลังเดี๋ยวเข้าเมืองหลวงไปพร้อมกันกับข้านะคะ”

 

อัญมณีที่จะค้นพบในครั้งนี้เป็นสิ่งที่อัญมณีทั่วไปเทียบไม่ติด

 

จำเป็นต้องมีช่างผู้เชี่ยวชาญที่มีฝีมืออยู่ในระดับต้นๆ ของอาณาจักร และจะต้องเป็นคนที่มีความสามารถและมีประสบการณ์โชกโชน

 

ภายใต้ฝีมือของคนคนนี้ อัญมณีชนิดนั้นจะได้เปล่งประกายเผยโฉมออกสู่โลกภายนอกเป็นครั้งแรก

 

ไหนๆ ก็แย่งสิ่งนั้นมาจากอังเกนัสได้แล้ว เธอเลยตั้งใจว่าจะลองทำให้ดีที่สุด

 

เอาให้อังเกนัสที่พลาดเหมืองแร่ไปต่อหน้าต่อตาต้องเจ็บท้องจนกลิ้งลงไปร้องโอดครวญเลย

 

ลอมบาร์เดียเป็นพวกที่ตอบแทนบุญคุณสิบเท่า แต่แก้แค้นร้อยเท่าเสียด้วยสิ

 

ใช่แล้ว มันต้องใจกว้างเสียหน่อย

 

ใครใช้ให้คิดที่จะขโมยกิจการของท่านพ่อไปล่ะ

 

เช้าตรู่ เครย์ลีบันออกเดินทางไปเมืองหลวงพร้อมกับเธอ

 

แน่นอนว่าข้ออ้างบังหน้าคือไปทัศนศึกษาเมืองหลวงกับอาจารย์

 

เธอสวมใส่ชุดอย่างประณีต ดูเอาใจใส่มากกว่าทุกวันเล็กน้อย บนคอสวมสร้อยคอที่เฟเรสช่วยแกะสลักทับทิมเป็นรูปทรงดอกไม้ให้

 

ถนนที่เชื่อมต่อระหว่างเมืองหลวงกับเมืองลอมบาร์เดียมีคนใช้งานเป็นจำนวนมากทุกวัน มันถูกปัดกวาดอย่างดี ทำให้ง่ายต่อการเดินทางเป็นอย่างมาก

 

ผ่านไปไม่นานพวกเราก็มาถึงย่านการค้าเซดาคิวนาร์ ซึ่งเป็นถนนสายหลักของเมืองหลวงที่ชนชั้นสูงมักแวะเวียนมาใช้บริการกันเป็นประจำ

 

เป้าหมายแรกของพวกเราคือ ร้านขนมหวานที่มีชื่อว่า ‘คาราเมล อเวนิว’ ที่เพิ่งเปิดใหม่ในย่านเซดาคิวนาร์แห่งนี้

 

พวกเขาใช้หินอ่อนกับไม้ขัดสีช่วยเสริมบรรยากาศให้ดูหรูหรา สถานที่แห่งนี้จึงเป็นสถานที่ที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงนี้

 

วันนี้ตั้งใจแยกนางออกไปก็จริง แต่ลอรีลน่ะ เป็นแฟนพันธุ์แท้ของร้านนี้เลย

 

“เชิญครับ”

 

พนักงานหน้าตาสะอาดสะอ้านยิ้มต้อนรับพวกเรา

 

พนักงานคนนี้มีเรือนผมสีน้ำตาลหยักศกซึ่งถูกหวีเสยไปด้านหลังอย่างหล่อเหลา และนัยน์ตาสีอำพันดูหวานซึ้ง

 

“ข้าเบ๊ตเป็นพนักงานของคาราเมล อเวนิวครับ เชิญชั้นบนดีมั้ยครับ”

 

ชั้นล่างจะเป็นชั้นโชว์ขนมพร้อมขายสำหรับห่อกลับ ส่วนชั้นสองและชั้นสามเป็นพื้นที่สำหรับดื่มชาไปพลางกินของหวานไปด้วย

 

“ไม่เป็นไรค่ะ พวกเราจะซื้อเค้กกลับน่ะค่ะ”

 

“ครับ ถ้างั้นเชิญด้านนั้นเลยครับ”

 

หน้าตาดูดียิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกว่าช่างเหมาะสมกับร้านขนมหวานมากเหลือเกิน

 

เธอเดินตามหลังเบ๊ตไปหยุดยืนอยู่หน้าชั้นที่วางขนมหวานหลากหลายชนิดมากกว่าสามสิบอย่าง

 

“อืม…”

 

ดูน่าอร่อยหมดเลย

 

เลือกยากจัง

 

ว่าแล้วเชียว เวลาแบบนี้เธอก็ไม่ควรมานั่งลังเลอะไรมาก

 

“เอาทั้งหมดเลยค่ะ”

 

“…ครับ?”

 

เบ๊ตเอ่ยถามกลับด้วยใบหน้าที่ยังคงยิ้มแย้ม

 

“เลือกไม่ถูกเลยค่ะ ขอขนมหวานที่วางโชว์อยู่ตรงนี้อย่างละสองชิ้นนะคะ”

 

มันคือวิธีการช็อปปิ้งสุดฮิตอย่าง ‘เอาตั้งแต่ตรงนี้จนถึงตรงโน้น’ ยังไงล่ะ

 

“อ๊ะ! ช่วยห่อแยกเป็นสองที่ให้ทีนะคะ”

 

มีเงินเยอะนี่มันเยี่ยมที่สุดจริงๆ

 

เธอเดินชมข้างในร้านคาราเมล อเวนิวไปพลางรอทางร้านห่อขนมให้อย่างผ่อนคลาย

 

“เดี๋ยวข้าไปจ่ายเงินให้นะครับ”

 

เครย์ลีบันเสนอตัว

 

“ค่ะ เอาตามนั้น”

 

ถึงยังไงก็จะลงบันทึกค่าใช้จ่ายลงบัญชีส่วนของร้านค้าเพลเลสอยู่แล้วแต่เบ๊ตที่ตั้งใจจะพาพวกเราไปคิดเงินกลับเอาแต่จ้องหน้าเครย์ลีบัน

 

“มีอะไรหรือครับ”

 

“ปะ…เปล่าครับ ขออภัยครับ ข้าจะคิดเงินให้นะครับ”

 

พอเครย์ลีบันถามด้วยความอารมณ์เสีย เบ๊ตก็รีบขอโทษยิ้มๆ

 

“ที่ห่อกลับนี่อันหนึ่งเอากลับบ้านไปกินกับลอรีล ส่วนอีกอันฝากส่งให้เฟเรสผ่านกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียทีนะคะ ทำได้ใช่มั้ยคะ”

 

“ครับ ท่านฟีเรนเทีย”

 

พอหันกลับไปมอง ก็เห็นว่านัยน์ตาสีอำพันของเบ๊ตกำลังมองเธออยู่ด้วยแววตาเดียวกันกับที่มองเครย์ลีบันเมื่อครู่

 

เธอส่งยิ้มให้เขา

 

“ไปกันเถอะค่ะ อาจารย์เครย์ลีบัน”

 

“ครับ คุณหนู”

 

เครย์ลีบันถือกล่องใบใหญ่ที่ใส่เค้กเอาไว้บนมือทั้งสองข้าง แล้วเดินตามหลังเธอออกมา

 

และสายตาของเบ๊ต พนักงานร้านคาราเมล อเวนิว ก็มองตามพวกเรามาสุดสายตาจนกระทั่งพวกเราก้าวเท้าขึ้นรถม้าจากไป