เสี่ยวเฉียงไปแล้ว วันหยุดหนึ่งอาทิตย์ที่เขาขอให้เธอก็เห็นได้ชัดว่าช่างยาวนาน ทางสถานีโทรมาถามพอดีว่าเสี่ยวเชี่ยนจะกลับไปทำงานเมื่อไร พิธีกรคนใหม่เอาไม่อยู่ ยอดคนฟังน้อยลงเรื่อยๆ เสี่ยวเชี่ยนคิดอยู่ว่าตัวเองก็ว่างๆเลยกลับไปทำงานดีกว่า
พอไปถึงผู้กำกับก็ทำหน้าดีใจเหมือนได้เจอคนสนิท รีบโผเข้าไปหาเธอ
“เหม่ยเหวย! ในที่สุดก็กลับมา! ฉันจะเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว รีบมารักษาฉันหน่อยเร็ว!”
“มีอะไรเหรอคะ?”
“ตอนที่เธอไม่อยู่นะ รู้ไหมว่าใครมาทำแทน? นางฟ้าสายฝนยังไงล่ะ! ฉันไม่เคยทำงานกับเขามาก่อน ไม่รู้เลยจริงๆว่าเบื้องหน้ากับเบื้องหลังตัวตนของเขาจะต่างกันขนาดนี้ ทำงานด้วยเหนื่อยมาก เขาให้ฉันช่วยกรองสายที่โทรเข้ามา สายไหนที่ปัญหาซับซ้อนมากๆเขาก็ไม่รับ นี่ไม่เอานั่นก็ไม่ดี เรื่องเยอะมาก นี่ยังไม่เท่าไรนะ พอฉันโอนสายเข้าไป เขาคุมสถานการณ์ไม่อยู่ ตอบคำถามคนฟังที่โทรเข้ามาไม่ได้ อีกทั้งยังใช้มุกตลกในรายการตลกที่ตัวเองทำมาเล่าขัดจังหวะ ทำให้คนฟังที่กำลังร้องไห้อยู่ถึงกับอารมณ์ขึ้นเกือบปาดข้อมือตัวเอง แฟนเขามาเอาเรื่องที่สถานีเลยนะ ปรากฏว่านางฟ้าสายฝนกลับผลักภาระมาที่ฉัน บอกว่าฉันไม่กรองคนโทรเข้ามาให้ดี ฮือๆๆ!”
โชคดีที่หัสหน้าสถานีฉลาด รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่อย่างนั้นเธอคงได้ตกงานแน่!
พอเห็นแบบนี้ถึงได้รู้ว่าเหม่ยเหวยสุดยอดจริงๆ ถึงปกติจะเสแสร้งเอาใจใครไม่เป็น ทำตัวเย็นชาแข็งกระด้าง แต่มีความสามารถในการทำงาน ไม่กลัวหลอกของปลอม กลัวของจริงจะไม่เจ๋งพอมากกว่า เหม่ยเหวยกลับมาแล้วนี่แหละความสุข!
พิธีกรดีกับพิธีกรแย่ ดูจากมาตรฐานในการจัดรายการแล้ว การคุมรายการของเสี่ยวเชี่ยน ความเป็นมืออาชีพของเธอ ต่อให้มีเย่เสียวอวี่สิบคนก็สู้ไม่ได้
พอเห็นเสี่ยวเชี่ยนจัดรายการอย่างราบรื่น ผู้กำกับก็ดีใจแทบน้ำตาไหล
เหม่ยเหวยสุดยอดที่สุด!
ไม่จำเป็นต้องคัดกรองคนฟังที่โทรเข้ามามากมาย ไม่ต้องเสียความรู้สึก เวลาเหม่ยเหวยอยู่ทำงานได้อย่างมีความสุข ผู้กำกับถูกเย่เสียวอวี่ทรมานได้สองวันก็ได้กลับสู่วันเวลาแห่งความสงบที่ได้ทำงานกับเสี่ยวเชี่ยน เหมือนมีเสียงเพลงเคล้าคลออยู่ตลอดเวลาทำงาน
เสี่ยวเชี่ยนจัดรายการจนเสร็จอย่างราบรื่น เธอเก็บของแล้วขับรถกลับบ้าน ตอนที่ขับผ่านร้านขายเนื้อย่างเสียบไม้เธอก็นึกถึงช่วงเวลาแห่งความสุขที่ได้กินเนื้อย่างกับเขา ท้องร้องขึ้นมาพอดี ไม่มีแฟนเอาใจก็ต้องซื้อให้ตัวเองนี่แหละ
ขณะที่เธอกำลังเดินเข้าร้าน ก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินโซซัดโซเซออกมาพยายามจะเดินเข้ามาหาเธอ หวังจะเอาตัวมาเบียด เสี่ยวเชี่ยนไม่ลนลาน เธอเอามือล้วงเข้าไปจับสเปรย์พริกไทยในกระเป๋าเตรียมพร้อมป้องกันตัว
เสี่ยวเฉียงไม่อยู่ด้วย อีกทั้งยังมีคนโรคจิตโทรเข้ามา ดังนั้นพอเลิกงานตอนดึกเธอจึงต้องเตรียมพร้อมป้องกันตัวไว้เสมอ
นอกจากสเปรย์พริกไทยแล้ว เสี่ยวเชี่ยนยังมีที่ช็อตไฟฟ้าเหน็บอยู่ตรงเอว ซึ่งของสิ่งนี้เป็นของต้องห้าม แต่ในช่วงเวลาสำคัญถ้าไม่พกของแบบนี้ไว้ใครจะวางใจทำงานตอนกลางคืนได้ล่ะ?
“น้องสาวจ๊ะ ดึกดื่นป่านนี้มาคนเดียวเหรอจ๊ะ ไม่มีใครเที่ยวเป็นเพื่อนเหรอ มาดื่มกับพี่หน่อยไหมจ๊ะ แล้วเดี๋ยวเราไปเล่นอะไรสนุกๆกันดีไหม เอาให้ขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ดเลย~”
ผู้ชายที่เนื้อตัวมีแต่กลิ่นเหล้ายืนอยู่ตรงหน้าเสี่ยวเชี่ยนพลางใช้สายตาลามกมองเธอ
“กับนายอะนะ? เหอๆ ฝันเหรอ” เสี่ยวเชี่ยนใจเย็น รู้ว่าถ้ายิ่งลนลานคนแบบนี้ก็จะยิ่งได้ใจ
“เฮอะ นังกระแดะ! อุตส่าห์พูดจาดีๆ—โอ๊ย!”
ผู้ชายอันธพาลเอามือจับตา เขาถูกเสี่ยวเชี่ยนพ่นสเปรย์พริกไทยใส่ตา! ประธานเชี่ยนไม่กลัวคนขี้เมาแบบนี้หรอก
ขณะที่เสี่ยวเชี่ยนเตรียมจะใช้ที่ช็อตไฟฟ้าทำให้ชายขี้เมาคนนี้ได้ ‘ขึ้นสวรรค์’ ทันได้นั้นก็มีเสียงแหบๆแต่ไพเราะของผู้หญิงดังอยู่ข้างเธอ
“คนสวย อย่าให้ต้องเปลืองไฟเลย จัดการด้วยมือฉันลดโลกร้อนกว่านะ!”
เสี่ยวเชี่ยนหันไปมอง ผู้หญิงรูปร่างสูงเกิน170คนหนึ่งกำลังถือเนื้อย่างเสียบไม้ยืนอยู่ข้างเธอ หน้าตาดูดี แต่สีผิวค่อนข้างพิเศษ จะอธิบายยังไงดีล่ะ ไม่ถึงกับดำ ผิวคล้ำแบบคนสุขภาพดี ใครเห็นก็รู้สึกชอบ
ผู้หญิงทั่วไปจะชอบให้ตัวเองผิวขาวผ่อง แต่ผิวเข้มของผู้หญิงคนนี้กลับทำให้คนดูสบายตามากกว่า โดดเด่นท่ามกลางฝูงชน ถึงขนาดที่ทำให้รู้สึกว่าถ้าเธอผิวขาวคงไม่ดูดีเท่าตอนนี้ ดูมีเอกลักษณ์
“ทำอะไรน่ะ เป็นผู้ชายเมาแล้วทำกร่างใส่ผู้หญิงคิดว่าดูเท่ห์นักเหรอ?”
“พวกแก นังผู้หญิงอวดดี…ไม่อยากถูกตบก็ถอยไป!” ผู้ชายที่ถูกพ่นสเปรย์ใส่ตาพยายามลืมตาอย่างยากลำบาก แสบตาจนน้ำตาไหลก็ยังไม่ยอมแพ้ ขู่ผู้หญิงสองคนตรงหน้าต่อ
“โอ้โหเฮะ! นอกจากพี่หลางแล้วก็มีอยู่ไม่กี่คนที่เอาชนะฉันได้! แกยังห่างชั้นอีกเยอะ! คนสวย ช่วยถือเนื้อย่างนี่หน่อย ถ้าหิวก็กินได้เลยนะ ฉันเลี้ยงเอง!”
ผู้หญิงผิวสุขภาพดีคนนี้เดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว ดึงเสี่ยวเชี่ยนไปอยู่ด้านหลัง แล้วยัดเนื้อย่างในมือให้เสี่ยวเชี่ยน
เจอคนจริงเข้าแล้ว เสี่ยวเชี่ยนเห็นผู้หญิงคนนี้ทำทุกอย่างด้วยความรวดเร็ว ถีบเข้าไปที่ท้องผู้ชายคนนั้นอย่างแรง
คนมีวิชา!
เสี่ยวเชี่ยนดูออกทันทีว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดา
ปกติแรงผู้หญิงจะต่างจากผู้ชายมาก แต่ผู้หญิงคนนี้ดูยังไงก็แข็งแรงกว่าผู้ชาย แค่ขาข้างเดียวยังถีบคนให้กระเด็นได้ ถีบเสร็จเธอก็สะบัดขา
“เสียแรงทำคนอย่างแกเหมือนเป็นการหมิ่นเกียรติของฉัน ครั้งหน้าถ้าเห็นรังแกผู้หญิงอีกจะเอาให้สูญพันธุ์เลยคอยดู ไป!”
ชายขี้เมาได้สติทันที รีบวิ่งหนีไป
“เก่งเรื่องรังแกคนอื่นแต่ยอมรับการถูกลงโทษไม่ได้ ขอให้คราวหน้าได้เนื้อย่างไม่สุกมากิน!” ผู้หญิงร่างสูงยกนิ้วกลางให้ชายขี้เมา
เธอหันไปหาเสี่ยวเชี่ยน เสี่ยวเชี่ยนส่งของคืนให้
“ขอบคุณค่ะ อยากกินอะไรอีกไหมคะ ฉันเลี้ยง”
“ไม่ต้องหรอก ฉัน อวี๋หลิวเหมยไม่ชอบเห็นอะไรแบบนี้ จริงสิคนสวยบ้านอยู่แถวนี้เหรอ?”
“ใช่ค่ะ”
“งั้นรู้ไหมว่าที่นี่ไปยังไง?” ผู้หญิงคนนั้นหยิบกระดาษใบหนึ่งออกมาพลางพูดอย่างอายๆ
“ฉันนั่งรถมาตามหาคน คนขับรถพามาส่งที่นี่แล้วก็ไป ฉันวนอยู่สามรอบแล้วก็ยังหาที่นี่ไม่เจอ จากนั้นก็หลงทาง…”
เสี่ยวเชี่ยนมองที่อยู่บนกระดาษแล้วมองผู้หญิงตรงหน้า “คุณเป็นพวกหลงทิศ”
นี่เป็นประโยคยืนยัน เพราะหมู่บ้านนี้อยู่ตรงข้ามร้านนี้ชัดๆ และเลขตึกกับที่อยู่ในกระดาษนี้เสี่ยวเชี่ยนคุ้นเคยเป็นอย่างดี
เพรามันคือบ้านของเธอ
“คนสวย! ทำไมสุดยอดแบบนี้ แปปเดียวก็รู้ความลับที่ฉันเก็บซ่อนมาหลายปี!”อวี๋หลิวเหมยมองเสี่ยวเชี่ยนด้วยความสงสัย รู้ได้ยังไงว่าเธอเป็นพวกหลงทิศ?
“ในสมองฮิปโปแคมปัสของคนเรามีเซลล์ทิศทาง เซลล์ตำแหน่ง และเซลล์โครงข่าย ซึ่งจะช่วยพวกเราในการจำแนกทิศทาง คนบางคนสมองส่วนนี้ไม่พัฒนามาแต่กำเนิด จึงด้อยในเรื่องแยกทิศทาง”
“ถึงจะฟังไม่ค่อยเข้าใจแต่ฉันชอบคำอธิบายของเธอนะ ใช่ ที่ฉันชอบหลงทิศไม่ใช่ความผิดของฉัน ต้องโทษพ่อกับแม่เลยที่ให้มาไม่พอ!”
“คุณมาทำอะไรที่นี่เหรอคะ?” เสี่ยวเชี่ยนมองบนกระดาษ เธอแน่ใจแล้วว่านั่นเป็นบ้านเลขที่ของเธอ
“ฉันมาหาคู่หมั้นของพี่ชายที่เป็นลูกพี่ลูกน้องกันน่ะ”
“ลูกพี่ลูกน้องเหรอ?” คงไม่ใช่เสี่ยวเฉียงของเธอหรอกนะ?