เย่เฉินพอจะฟังออกว่า คนทำธุรกิจอย่างเจิ้งปิน ถ้าเป็นคนว่างงานไม่มีประโยชน์อะไรกับเขาแล้ว ที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรน่าเสวนาด้วย

แต่เขาก็คิดขึ้นมาได้ว่าตนเองอยากจะทำความรู้จักกับฉินหงเหยียนโดยผ่านทางเย่เฉิน

เย่เฉินจึงกล่าวว่า “ไม่มีปัญหา พี่จะกลับอวิ๋นโจวเมื่อไหร่ล่ะ? ผมเลี้ยงข้าวพี่กับคุณฉินสักมื้อ”

เจิ้งปินกล่าวว่า “เดี๋ยวก่อน ขอฉันดูก่อนนะ ฉันกลับไปได้เร็วที่สุดก็คือวันมะรืน”

เย่เฉินตอบ “พี่ปิน คุณอย่าเพิ่งบอกภรรยาเรื่องกลับอวิ๋นโจวได้ไหมล่ะ?”

เจิ้งปินเกิดความสงสัยขึ้นมาทันที “เพราะอะไรเหรอ? ทุกครั้งที่ผมกลับมาจากทำงานต่างจังหวัดก็จะบอกหล่อนล่วงหน้า ไม่อย่างนั้นหล่อนจะโกรธผมเอา ภรรยาของผมรักผมมาก หล่อนจะมารับผมที่สนามบินหรือสถานีรถไฟทุกครั้ง หล่อนบอกว่าชอบความรู้สึกที่ได้มารับสามีกลับบ้านแบบนี้”

เย่เฉินหัวเราะเสียงเย็น เจิ้งปินเอ้ยเจิ้งปิน นายี่มันโง่จริงๆ โดนหลอกมาหลายปียังไม่รู้เรื่องอีก!

ทำไมภรรยาของคุณต้องให้คุณรายงานหล่อนล่วงหน้าน่ะเหรอ?

นั่นเพราะหล่อนมีผู้ชายคนอื่นในอวิ๋นโจวด้วยไง! หล่อนกลัวว่าคุณโผล่มาแล้วพบหล่อนกับชายชู้นั่นปะไร!

และในตอนนี้เองเย่เฉินก็นึกถึงตนเองในอดีต เขาคงจะเหมือนเจิ้งปินในตอนนี้ใช่ไหมนะ โง่เง่าจริงๆ

ทั้งๆ ที่โดนหักหลังชัดๆ แต่ดันยังเชื่อว่าภรรยาของตนเองนั้นยังรักตนเองอยู่

เจ้าตัวทำงานหาเงินอย่างไม่คิดชีวิต แต่ภรรยากลับไปหาความสุขนอกบ้าน!

เย่เฉินกล่าวว่า “คือแบบนี้นะครับ ผมมีกิ๊ฟท์เซ็ตเครื่องแก้วของ Baccarat ชุดหนึ่งเพิ่งจะออกมาเมื่อไม่กี่วันมานี้ ตอนนี้ยังหาซื้อไม่ได้ในประเทศ ผมรู้มาว่าซ่งหงเย่ชอบเครื่องแก้วของ baccarat มาก หล่อนชอบจัดงานเลี้ยงค็อกเทล ชุดของขวัญเครื่องแก้วชุดนี้ หล่อนจะต้องชอบมากแน่ คุณเอากลับบ้านเป็นเซอร์ไพรส์ให้หล่อนสิ หล่อนคงจะต้องชอบมากแน่”

ซึ่งที่จริงแล้วเจิ้งปินเองก็อยากเซอร์ไพรส์ภรรยาตัวเองมานานแล้ว

เจิ้งปินครุ่นคิดน้อยๆ แล้วกล่าว “น้องเย่เฉิน นายไอเดียใช้ได้เลยนะ ยังให้ของขวัญฉันอีก มีอะไรจะให้ฉันช่วยใช่ไหมล่ะ? ที่จริงพวกเราก็รู้จักกันมาตั้งสามปี นายไม่ต้องเกรงใจขนาดนี้ก็ได้ ฉันไม่ดูถูกนายเพราะนายไม่ได้เป็นประธานบริษัทแล้วหรอกนะ ฉันไม่ใช่คนเห็นแก่ตัวแบบนั้น”

เย่เฉินยิ้มแล้วกล่าว “เราค่อยคุยกันเรื่องรายละเอียดตอนเจอกันวันมะรืนเถอะ”

……

สองวันต่อมาเจิ้งปินก็บินกลับมาที่อวิ๋นโจวโดยไม่ได้บอกภรรยาตนเอง

จากสนามบินเขาก็ตรงดิ่งมาร้านหม้อไฟ

ส่วนเย่เฉินและฉินหงเหยียนนั้นเหมาห้องอาหารส่วนตัวเรียบร้อยแล้ว

“ขอบคุณหงเหยียน ที่คุณยอมออกมากินข้าวกับผมและเจิ้งปิน”

เย่เฉินตั้งใจชวนฉินหงเหยียมา ก็เพราะว่าลำพังตัวเขาเองในตอนนี้ไม่สามารถจะชวนเจิ้งปินได้

วันนี้ฉินหงเหยียนใส่เสื้อยืดสีขาวธรรมดา คิดว่าน่าจะซื้อมาจาก H&M ใส่กาเกงขาสั้นและรองเท้าแตะ

หล่อนแต่งตัวเหมือนผู้หญิงอายุไม่กี่สิบปี ดูน่ารักเป็นมิตร ไม่มีมาดสูงส่งแบบที่ผ่านมา

หล่อนจงใจแต่งตัวแบบนี้ เพราะไม่อยากจะแย่งซีนเจ้าภาพ

ไม่อย่างนั้นหล่อนที่เดิมทีก็อายุมากกว่าเย่เฉินอยู่แล้ว แถมยังเป็นประธานบริษัทอีก ถ้าแต่งตัวเหมือนปกติแล้ว เย่เฉินคงจะกลายเป็นแค่ไม้ประดับในสายตาเจิ้งปินแน่ๆ

แต่ถ้าเป็นแบบนี้หล่อนจะเหมือนแฟนของเย่เฉินแทน

ฉินหงเหยียนจิบชาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ว่าจะกินข้าวกับใครก็กินข้าวเหมือนๆ กัน คุณยอมให้ฉันได้เกาะกินข้าวฟรีด้วย ฉันสิต้องขอบคุณคุณ”

เย่เฉินยิ่งรู้สึกว่าฉินหงเหยียนเป็นผู้หญิงที่ดีมากขึ้นไป ที่เขาบอกว่าคนเราจะเห็นธาตุแท้กันก็ตอนตกทุกข์ได้ยาก ฉินหงเหยียนยังยอมมาพบตามคำเชิญของเขา

เย่เฉินรินชาให้ฉินหงเหยียนจนเต็มแก้วแล้วเอ่ยถาม “ผมได้ยินมาว่าหลิ่วอวี่เจ๋อเริ่มหาเรื่องหัวเซิ่งอีกแล้วเหรอ?”

ฉินหงเหยียนพยักหน้ารับ “ค่ะ หมอนี่ไม่รู้เป็นอะไร ทั้งๆ ที่เขาก็รามือไปแล้วชัดๆ แต่ตอนนี้ก็เอาอีกแล้ว ไม่รู้ว่าทุ่มไปกี่ร้อยล้านแล้ว คนตระกูลหลิ่วนี่ก็จริงๆ เลยมีเงินก็จริงแต่จะเอามาผลาญแบบนี้ไม่ได้เสียหน่อย คิดอะไรอยู่?”

เย่เฉินเองก็รู้ว่าที่หลิ่วอวี่เจ๋อบ้าคลั่งขนาดนี้เกี่ยวข้องกับเขา

เย่เฉินทำให้หลิ่วอวี่เจ๋อมีลูกไม่ได้ไปตลอดชีวิต แถมในตอนนี้เขายังแตะต้องตนเองไม่ได้ทำให้เขาเอาโทสะทั้งหมดนี้ไปลงที่ฉินหงเหยียน

เย่เฉินขอโทษอีกฝ่าย “เรื่องนี้ผมผิดเอง ถ้าไม่ใชเพราะผม เขาก็คงไม่หาเรื่องบริษัทคุณแบบนี้”

มือขาวนวลเรยของหญิงสาวแตะที่หลังมือของเขาพลางกล่าว “อย่าพูดแบบนี้สิคะ เย่เฉินถ้าคุณไม่ขอร้องท่านฟาง ฉันก็คงจะไม่มีทางได้เป็นประธานกรรมการของบริษัทหัวเซิ่งกรุ๊ปแบบนี้ ซึ่งงอันที่จริงแล้วฉันจะได้คะเนความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดแล้วล่ะค่ะ ถ้าบริษัทโดนตระกูลหลิ่วปั่นหุ้นจนล้มละลายล่ะก็ฉันจะไปทำงานที่เทียนไห่ ตอนนี้บริษัทที่เข้าตลาดหลักทรัพย์หลายที่ในเทียนไห่ติดต่อฉันมา!”

ฉินหงเหยียนทะเยอะทะยาน เมืองเล็กๆ อย่างอวิ๋นโจวไม่อาจทำให้หล่อนพอใจ

เทียนไห่เป็นเมืองที่ติดต่อกับต่างชาติเยอะ มีบริษัทต่างชาติชื่อดังมากกว่าที่อวิ๋นโจวหลายสิบเท่า อวิ๋นโจวเทียบกันไม่ติดเลยด้วยซ้ำไป

ฉินหงเหยียนเห็นเย่เฉินมีท่าทีรู้สึกผิด จึงไม่อยากพูดเรื่องนี้ต่อ หล่อนเปลี่ยนเรื่องแล้ววกล่าว

“เย่เฉินภรรยาของเจิ้งปินมีชู้จริงๆ เหรอคะ? แล้วคุณตั้งใจจะบอกเขาตรงๆ เลยหรอ?”

ระหว่างพวกเขาสองคนไม่มีความลับอะไรต่อกัน เย่เฉินได้บอกเรื่องนี้กับหล่อนตั้งแต่ก่อนจะมาที่ร้านแล้ว

เย่เฉินตอบ “ผมไม่อยากให้เขาถูกปิดหูปิดตาอยู่แบบนี้ ผมเคยได้รับความอัปยศนี้เหมือนๆ กัน นี่มันไม่ยุติธรรมกับผู้ชายที่ตั้งใจทำงานหาเงินเลี้ยงครอบครัวแบบเขา”

ฉินหงเหยียนอดหยิบบุหรี่สำหรับผู้หญิงออกมาไม่ได้ นิ้วเรียวยาวของหญิงสาวคีบมันเอาไว้แล้วกล่าว

“มิน่าหวังเจียเหยากับซ่งหงเย่ถึงได้สนิทกับแบบนี้ ที่แท้ก็เป็นคนประเภทเดียวกัน ถึงแม้ว่าฉันเองก็จะเป็นผู้หญิงเหมือนกัน แต่ฉันเองก็ไม่ค่อยจะชอบผู้หญิงแบบนี้เท่าไหร่ ถ้าเป็นฉัน ฉันไม่แต่งงานก็ได้ แต่ถ้าแต่งงานแล้วจะไม่มีทางทำเรื่องทรยศสามีตัวเองแน่ ถ้าฉันไม่รักสามีของฉันแล้ว ฉันจะขอเขาหย่า”

พอได้ยินคำพูดแบบนี้ของฉินหงเหยียน ทำให้สายตาที่ชายหนุ่มมองหญิงสาวก็ฉายแววชื่นชม

“ถ้าหวังเจียเหยาซื่อสัตย์ได้ครึ่งหนึ่งของคุณ ผมก็คงจะไม่ต้องมาถึงจุดๆ นี้”

ฉินหงเหยียนวางบุหรี่ลงแล้วปลอบ “บางครั้งคนเราก็อย่าไปลุ่มหลงอยู่กับคนหรือสิ่งของที่สวยงามสะดุดตานักเลย บางครั้งคุณควรลองมองคนข้างๆ ตัวบ้าง

เย่เฉินหลังจากที่คุณหย่าครั้งแรกฉันก็อยู่เคียงข้างคุณมาตลอด ฉันสรรหาวิธีการล้านแปดเพื่อเข้าใกล้คุณ อยากจะฉวยโอกาสตอนที่คุณยังไม่มีใคร แต่ว่าคุณกลับไม่ยอมเปิดใจให้ฉัน ไม่ยอมแม้แต่จะลองให้โอกาสฉันด้วยซ้ำ

คุณยังจำวันที่คุณชวนฉันไปดูคอนเสิร์ตได้ไหมคะ? วันนั้นฉันดีใจมาก ตอนจะออกจากบ้านฉันเปลี่ยนชุดไปตั้งเยอะ แต่งหน้าอยู่หลายชั่วโมง ฉันคิดว่าในที่สุดคุณก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกที่ฉันมีต่อคุณ แต่ว่าหลังจากที่เข้างานไปเห็นหวังเจียเหยา ฉันถึงได้รู้ว่าที่คุณชวนฉันไปงานคอนเสิร์ตเพราะอยากพบหล่อน ฉันเห็นคุณบรรเลงเพลงเพื่อหล่อนอย่างเศร้าสร้อยต่อหน้าคนนับหมื่น เห็นคุณต้องเสียน้ำตาให้คนอย่างนั้น คุณรู้ไหมคะว่าฉันรู้สึกยังไง?”

เย่เฉินทำอะไรไม่ถูก เขาคิดไม่ถึงเลยว่าฉินหงเหยียนจะมาพูดเรื่องนี้เอาในเวลานี้

“เย่เฉิน ฉันชอบคุณ คุณรู้หรือเปล่า?”

ดวงตาที่ฉินหงเหยียนมองเย่เฉินนั้นเจือไปด้วยหยดน้ำตา น้ำเสียงนุ่มนวลและตรงไปตรงมา