ตอนที่ 254 โชคชะตาทั้งสองฝ่าย

อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด

ตอนที่ 254 โชคชะตาทั้งสองฝ่าย

  

“อัน…จวินเซวี่ยน? ไม่รู้จักนี่” เธอปฏิเสธอย่างเด็ดขาด เพราะเธอกับอันจวินเซวี่ยนแค่บังเอิญเจอกันเท่านั้น

  

“เธอแน่ใจ?” เขามองเธอที่กำลังไปอีกทางอย่างชัดเจน ถ้าไม่ใช่เขาจะมีใครอีก

  

“จิ่งเป่ยเฉิน นายเคยคิดบ้างไหมว่าตัวเองเป็นพวกที่ดูหวาดระแวงเกินไป?” มีใครเคยคิดเรื่องอะไรแบบนี้บ้าง?

  

แม้แต่ถังซั่วเองก็เช่นกัน เป็นพี่น้องกัน ภรรยาของเพื่อนก็ไม่ควรหลอกลวง อาจจะไม่แน่เสมอไปด้วยซ้ำที่ในใจของถังซั่วนั้นอาจจะไม่ได้ชื่นชอบเธอ

  

จิ่งเป่ยเฉินตกตะลึงไปสักพัก เขาดูหวาดระแวงขนาดนั้นเลยเหรอ?

  

“ศัตรูความรักอย่างไรก็ต้องฆ่าทิ้งตั้งแต่อยู่ในเปล[1]”

  

“ทุกคนไม่ได้ตาบอดเหมือนกับนายหรอกนะ คิดว่าฉันเป็นพวกเนื้อหอมมากหรือยังไงกัน” เธอพูดไม่ออกจริง ๆ

  

จิ่งเป่ยเฉินหยุดเดินและก้มหน้าไปทางคอของเธอก่อนจะสูดลมหายใจและพูดว่า “ความจริงแล้ว…..มันก็หอมมากจริง ๆ นะ”

  

ในเวลานี้แสงได้ส่องมาฉายที่พวกเขาอีกครั้ง เงาของทั้งสองคนดูแล้วคลุมเครืออยู่ไม่น้อย คนจัดไฟนี่เหมือนกับว่าจงใจชัด ๆ เลย!

  

เธอขยับตัวเธอออก แต่ก็ได้ยินเสียงพิธีกรหญิงเอ่ยขึ้นมาว่า “จูบเลย! จูบเลย!”

  

ทันทีที่พิธีกรพูดจบ พนักงานของบริษัทจิ่งก็ร้องตะโกนเชียร์ พวกเขาที่เห็นทั้งสองคนไปไหนด้วยกันในบริษัทและเรื่องซุบซิบที่มีมาตั้งนานแล้ว พวกเขาก็แสดงอาการตื่นเต้นมากขึ้นไปอีก

  

“ประธานจิ่ง นายหักเงินเดือนคนจัดไฟกับพิธีกรสองคนนี้ได้ไหม?” ตอนนี้เธอกลายเป็นจุดสนใจของทุก ๆ คนได้ยังไง ไม่เป็นจุดสนใจสิถึงจะเป็นคุณธรรมที่ดี

  

จิ่งเป่ยเฉินเคยฟังเธอที่ไหนกัน เขาก้มมาที่ข้างใบหูของเธอ “ทำตามความเห็นของผู้ชมเถอะ”

  

ความจริงแล้วไม่ต้องก็ได้ คำพูดของบิ๊กบอสสิถึงจะแสดงอำนาจมากที่สุด!

  

เมื่อริมฝีปากของทั้งคู่ใกล้จะสัมผัสกันนั้น ในหัวสมองของเธอก็นึกได้อยู่แค่สี่คำ ‘ได้ประโยชน์ส่วนรวมแต่เบียดเบียนตัวเองชัด ๆ’

  

“โอ โอ้…..”

 

“แลกลิ้น แลกลิ้นเลย!”

  

“หนึ่งนาที หนึ่งนาทีนี้อย่าปล่อยมือนะ!”

  

พวกเขากำลังเล่นละครอยู่หรือไง?

  

อันโหรวหลับตาสนิท ตัวของอันโหรวตอนนี้แนบชิดตัวเขา เธออดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือไปจับเสื้อสูทของเขา พลันได้ยินเสียงผู้คนที่นับถอยหลังอยู่นั้นก็รู้สึกว่าในหัวของเธอคล้ายจะเป็นลม

  

บิ๊กบอส คุณฟังเสียงของลูกน้องตั้งแต่เมื่อไหร่กันเนี่ย?

  

“สาม สอง หนึ่ง……….” เลขสุดท้ายมันช่างยาวนานเหลือเกิน มันดังกึกก้องติดอยู่ในห้วงความคิดอยู่เป็นเวลานาน

  

เมื่อทั้งคู่ได้แยกออกจากกันแล้ว เธอหายใจหอบอยู่สักพัก ดวงตาที่เฉียบแหลมของเธอเป็นประกายเมื่อพบว่าหลินจือเซี๋ยวพูดว่า ‘หนึ่ง’ ดีมาก หลินจือเซี๋ยวเธอตายแน่!

  

“ประธานจิ่ง ดูเหมือนว่าฉันจะทุ่มเททำงานหนักแบบนี้ จะได้รางวัลอะไรนะ?” เธอรู้ว่าคนอื่นยังคงมองพวกเขาอยู่ ดังนั้นเธอจึงยื่นมือออกไปอย่างกล้าหาญ

  

“อืม…รางวัลของเธอก็คือย้ายเข้ามาอยู่บ้านฉันไง” เขาพูดด้วยน้ำเสียงอันเบา แต่อันโหรวกลับได้ยินมันอย่างชัดเจน

  

เธอย้ายเข้าไปอยู่ตั้งนานแล้ว ถือโอกาสหาสถานที่ที่เหมาะสมออกมาประกาศอย่างนั้นเหรอ?

  

“ฉันขอปฏิเสธ!” ขณะที่เขาปล่อยเธอ เธอก็รีบขยับถอยห่าง พร้อมยกมือขึ้นพัดตรงหน้า “ร้อนจัง ร้อนจังเลย!”

  

“เลขาอันช่างกล้ามาก!”

  

“ใช่ค่ะ! เมื่อครู่ประธานถือว่าเพิ่งขอแต่งงานไปใช่ไหมนะ?”

  

“เธอทิ้งให้ประธานอยู่คนเดียว แล้วเดินจากไปเหรอ?!”

  

เสียงซุบซิบดังขึ้นรอบ ๆ ตัว อันโหรวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน พร้อมหาที่นั่งลงและโบกมือเรียกหลินจือเซี๋ยว

  

แต่ยังไม่ทันที่หลินจื่อเซี๋ยวจะเดินเข้ามา ก็มีอีกคนเดินเข้ามาแทน นั่นก็คือเหลียวเว่ย

  

จากหางตาของเธอเหลือบไปเห็นจิ่งเป่ยเฉินกำลังเดินมาทางนี้ เธอรู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย เขากลัวและกังวลเกี่ยวกับเหลียวเว่ย เป็นผู้ที่มีคดีมาก่อนหน้านี้ และกลัวว่าจะมาทำร้ายเธออีกครั้งหนึ่ง

  

“เธอได้บอกเรื่องนั้นกับคนอื่นหรือเปล่า?” แก้วที่เธอถืออยู่ในมือตอนนี้เต็มไปด้วยไวน์ ก่อนจะหมุนควงแก้วอยู่เล็กน้อย

  

“เปล่า” เหลียวเว่ยดูมีท่าทางผิดปกติ เธอรีบลุกขึ้นจากโซฟา

  

ทันทีที่เธอลุกขึ้น เหลียวเว่ยก็เดินตามเธอไปทันที

  

“อันอีหาน!” เธอตะโกนเสียงดัง

  

“อืม?” เธอหมุนตัวกลับมาอย่างงุนงง

  

เหลียวเว่ยสาดไวน์ในมือไปที่เธอ เพล้ง! แก้วไวน์หล่นลงพื้น ส่วนไวน์ที่เต็มแก้วตอนนี้ก็ไปอยู่บนหน้าของอันโหรว

  

“อันอีหาน เธอมันผู้หญิงชั้นต่ำ เอาลูกของฉันคืนมานะ! เอาลูกของฉันคืนมา! เป็นเพราะแก เพราะแก!”ทันใดนั้นเหลียวเว่ยก็ตะโกนใส่เธออย่างบ้าคลั่ง ดูเหมือนผู้หญิงเป็นโรคประสาทอย่างไรอย่างนั้น

  

อันโหรวยกมือขึ้นมาเช็ดไวน์ที่อยู่บนหน้า “ฉันไม่ได้ทำอะไรกับลูกเธอเลย!”

  

เธอเองก็เป็นแม่คน ถึงจะเกลียดเหลียวเว่ยแค่ไหนก็ไม่ทำร้ายคนท้องหรอก

  

“เธอยังจะมาเล่นลิ้นอีก เธอเป็นคนสั่งให้คนมาฆ่าลูกในท้องของฉัน!” เหลียวเว่ยที่ดูเหมือนคนบ้ามุ่งตรงมาที่เธอ ก่อนจะหยิบมีดออกมา เป้าหมายคืออันโหรวที่อยู่ตรงหน้า

  

“อันอีหาน แกต้องชดใช้ด้วยชีวิต!” ใบหน้าของเหลียวเว่ยบิดเบี้ยวและเต็มไปด้วยความแค้น

  

“โหรวโหรว!”

  

เธอได้ยินเสียงของจิ่งเป่ยเฉินจึงหันไปมองที่เขา เขาพุ่งเข้ามาคว้าตัวเธอไว้ ร่างกายของเธอแนบชิดกับตัวเขา ส่วนมืออีกข้างของเขาก็จับมีดเล่มนั้นไว้ พร้อมเตะเหลียวเว่ยออกไป เธอที่กำลังบ้าคลั่งล้มลงไปนอนกับพื้น

  

ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก เพียงแค่พริบตาเดียวเท่านั้น

 

เขาทิ้งมีดในมือลง ฉีเซิงเทียนก็พุ่งเข้ามาหยิบทันที ก่อนจะมองไปที่เขาอย่างเป็นกังวล

  

อันโหรวกุมมือเขาขึ้นมา เธอมองเลือดที่ไหลออกมาจากมือของเขาและหยดลงบนพื้นด้วยความตกใจ “จิ่งเป่ยเฉิน นายบ้าไปแล้วเหรอ? นายคิดว่ามือตัวเองเป็นเหล็กหรือยังไงกัน!”

  

แม้จะรู้สึกเจ็บแต่เธอไม่เป็นอะไรย่อมดีกว่า มือข้างที่ไม่ได้รับบาดเจ็บรีบโอบเธอไว้ ริมฝีปากที่ซีดเซียวเอ่ยขึ้น “เครื่องสำอางเธอหลุดออกแล้ว”

  

เธอยกมือขึ้นมาลูบที่หน้าเขา ปลายนิ้วของเธอเปื้อนรองพื้น ไม่คิดว่าควีนจะใช้เครื่องสำอางที่ไม่กันน้ำ!

  

“ยุ่งอะไรกับเครื่องสำอางฉันกันเล่า รีบไปเร็วเข้า ไปทำแผลก่อน!” เธอรีบไปทันที มือของเขามีเลือดออกเต็มไปหมดแล้ว!

  

“ไม่ต้องรีบ” เขายังไม่ได้สะสางผู้หญิงที่กล้ามาทำแบบนี้กับเธอเลย จะให้รีบไปได้ยังไง

จากใบหน้าที่มึนงงของอันโหรวในยามนี้กลับกลายเป็นเย็นชามากขึ้นกว่าเดิม สายตาที่งดงามจับจ้องไปที่ตัวเขาที่มีท่าทีไม่รีบร้อนอะไร

  

“อัน….โหรวโหรว?”เหลียวเว่ยที่อยู่บนพื้นเบิกตากว้างขึ้นมา เธอแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของตัวเอง

  

แต่ว่าผู้หญิงใบหน้าที่ซีดเซียวเมื่อกี้ เมื่อเธอเช็ดแก้มไปสองสามครั้งก็เผยให้เห็นผิวที่ขาวใส

  

ตอนที่เธอคิดว่าพวกเธอไม่ใช่คนเดียวกัน ความจริงก็ตบหน้าเธออีกครั้ง

  

โอวหยางลี่ที่ได้ยินจิ่งเป่ยเฉินพูดในระยะไกลก็ตกตะลึงไปเช่นกัน เขายืนนิ่งดูเหมือนไม่ได้สนใจภรรยาของตัวเองที่ถูกเตะลงไปนอนกับพื้นเลยสักนิด ได้แต่ยืนมองไปที่การแต่งหน้าของผู้หญิงคนนั้นที่ดูเป็นห่วงเป็นใยจิ่งเป่ยเฉินเสียมากมาย

  

“โหรวโหรว! โหรวโหรว!” เขาก้าวเดินเข้ามาข้างหน้าอย่างตื่นเต้น “โหรวโหรว!”

  

อันโหรวไม่คิดแม้แต่จะมองเขา เธอดึงจิ่งเป่ยเฉินออกไป โอวหยางลี่จึงรีบเดินตามพวกเขาออกไปทันที “โหรวโหรว!”

  

“ไปให้พ้น อยู่ให้ห่างฉันหน่อย!” เธอตะโกนเสียงดังใส่และรีบดึงจิ่งเป่ยเฉินออกไปอย่างรวดเร็ว

  

โอวหยางลี่ยังคงคิดจะตามไป แต่จู่ ๆ ก็มีชายชุดดำสองคนปรากฏตัวขึ้นและขวางเขาไว้ “โหรวโหรว! โหรวโหรว! พวกแกถอยไปเดี๋ยวนี้!”

  

คนพวกนั้นเหมือนเป็นกำแพงที่คอยยืนกันเขาไว้ ร่างกายกำยำมีไอความหนาวเหน็บที่ทำให้ผู้คนหวาดกลัว

  

ผู้คนในห้องโถงยังคงตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร อันอีหานไม่ใช่อันอีหาน แต่เป็นอันโหรว!

  

นั่นไม่ใช่คุณหนูอันแห่งตระกูลอันใช่ไหม?

  

โอวหยางลี่เมื่อเห็นว่าไม่สามารถเดินผ่านไปได้ก็พลันลดเสียงลงจนเงียบ จากนั้นก็หมุนตัวเดินกลับไปด้านใน

  

ฉีเซิงเทียนที่ตอนนี้กำลังเล่นกับมีดปลอกผลไม้ที่เปื้อนเลือดอยู่ก็ย่อตัวลงมองไปที่เหลียวเว่ยที่ดูมีท่าทางหวาดกลัวไม่น้อย “คุณนายโอวหยาง ไหนคุณบอกมาสิว่าควรตัดที่มือหรือขาของคุณดี?”

  

“อย่านะ! อย่า!” เธอเพียงแค่ต้องการแก้แค้นอันอีหาน ไม่คิดว่าที่แท้แล้วจะเป็นอันโหรวจริง ๆ!

  

“ผู้จัดการฉี ช่วยไว้หน้าผมหน่อย ให้ผมพาเธอกลับไป” โอวหยางลี่เดินตรงเข้ามา รองเท้าหนังยืนหยุดอยู่ห่างจากเหลียวเว่ยหนึ่งเมตร

—————————

[1] หมายถึงตัดไฟตั้งแต่ต้นลมนั่นเอง เป็นการอุปมาอุปไมยว่าหากเป็นศัตรูก็ต้องกำจัดทิ้งตั้งแต่ยังอยู่ในเปล