“อันที่จริงตอนแกไม่เข้าเวรกลับบ้านไปอยู่เป็นเพื่อนแฟนไม่ดีกว่าเหรอ เขาก็เป็นเป้าหมายของคนร้ายนะ” หลินเจ๋อกว่างถาม
อวี๋หมิงหลางส่ายหน้า
“ฉันจะส่งคนไปลาดตระเวนแถวตู้โทรศัพท์สาธารณะบริเวณรอบๆสถานีวิทยุโทรทัศน์ ถ้ามีคนโทรเข้าไปป่วนอีกล่ะก็จะได้คุมตัวได้ทัน ส่วนคู่หมั้นฉันมีบอดี้การ์ดส่วนตัวที่ฉันส่งไปแล้ว ไม่เกิดอะไรขึ้นแน่นอน ฉันกลัวว่าจะมีคนจับตาดูคู่หมั้นฉันอยู่ ถ้าฉันไปตามติดเขาอีกฝ่ายอาจไม่กล้าลงมือ ไม่สู้ใช้เป็นเหยื่อล่อ”
การเสนอการคุ้มกันให้ใช่ว่าจะเป็นผลดีเสมอไป อวี๋หมิงหลางนั่งสั่งการที่นี่ยังปกป้องเสี่ยวเชี่ยนได้มากกว่าเขาไปดูแลเธอเอง เขาไม่ชอบเป็นฝ่ายถูกกระทำ ชอบเป็นฝ่ายรุกมากกว่า
“ใครกันเชื่อใจได้ขนาดนั้น เก่งกว่าแกอีกเหรอ?”
อวี๋หมิงหลางทำเสียง หึ ออกมา แน่นอนว่าหลิวเหมยสู้เขาไม่ได้ แต่ถ้าให้สู้กับโจรล่ะก็สบาย
“ฉันว่ารายละเอียดคดีมันแปลกๆตรงไหนอยู่นะ พวกเราเข้าไปข้างในกัน แกช่วยเล่าข้อมูลอย่างละเอียดให้ฉันฟังอีกรอบ” เซ้นส์ของอวี๋หมิงหลางทำงานดีอีกแล้ว
หลินเจ๋อกว่างพาเขาเข้าไปแล้วเล่ารายละเอียดทั้งหมดซ้ำอีกครั้ง
ระหว่างที่เล่าข้อมูลของเหยื่อรายแรกอยู่ๆอวี๋หมิงหลางก็ทำสัญญาณมือให้หยุดก่อน
“ฉันรู้แล้วว่ามันแปลกตรงไหน พวกนายบอกว่าเหยื่อทั้งสองคนล้วนเลิกงานตอนกลางคืน แต่เหยื่อรายแรกทำงานที่ห้างเลิกไม่เกินสองทุ่ม งั้นทำไมเธอถึงได้ไปปรากฏตัวแถวห้างตอนเที่ยงคืนกว่าตามลำพังล่ะ?”
รายละเอียดนี้คนอื่นฟังดูเหมือนไม่มีอะไร แต่อวี๋หมิงหลางกลับจับสังเกตได้ว่ามันแปลกๆ
“อาจไปกินข้าวหลังเลิกงานหรือเปล่า?” หลินเจ๋อกว่างเดา มีร้านอาหารเยอะแยะที่เปิด24ชั่วโมง
อวี๋หมิงหลางส่ายหน้า แล้วกางแผนที่ของเมืองนี้ออก
“พวกนายดูนะ บริเวณนี้ไม่มีร้านอาหารที่เปิด24ชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ เหยื่อขี่จักรยานไปที่ห้างที่ปิดแล้วตามลำพัง ก็แสดงว่ามีความจำเป็นต้องไปที่นั่น แล้วเหยื่อไปทำอะไร?”
บริเวณนั้นเป็นย่านศูนย์การค้า ไม่ใช่ทางที่เหยื่อใช้กลับบ้าน ไม่มีใครไปที่นั่นตอนกลางคืนโดยไม่มีวัตถุประสงค์ นี่คือจุดที่น่าสงสัย
“อาจจะนัดใครไว้ ตรงนี้ไม่น่าจะสำคัญมั้งครับ?” มีตำรวจคนหนึ่งพูดขึ้น
อวี๋หมิงหลางหันไปมองอย่างใจเย็น “ ทุกอย่างที่คุณคิดว่าไม่สำคัญอาจเป็นกุญแจสำคัญที่ใช้ไขคดีก็ได้นะครับ ไปตรวจสอบ! สืบมาให้ได้ว่าเหยื่อไปทำอะไรตรงห้างที่ปิดแล้ว!”
อวี๋หมิงหลางใช้ภารกิจที่ได้ทำกับเพื่อนในทีมเป็นครั้งสุดท้ายบอกลาคนในทีม เรื่องที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวกับเสี่ยวเชี่ยน แต่กลับมีด้ายเส้นหนึ่งผูกพวกเขาทั้งสองคนไว้กับเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น
ทางด้านนี้ไม่ปล่อยรายละเอียดเล็กๆน้อยๆให้ผ่านไป ดำเนินการสืบอย่างรอบคอบ ส่วนทางด้านเสี่ยวเชี่ยนก็ทำงานไปตามปกติ
อวี๋หลิวเหม่ยจำคำสั่งของพี่ชายได้อย่างชัดเจน คอยคุ้มกันเสี่ยวเชี่ยนไม่ห่าง
ประธานเชี่ยนไม่ใช่คนที่ใครจะมาอยู่ด้วยได้ง่ายๆ คนที่ทำให้เธอถูกใจได้มีไม่เยอะ แต่อวี๋หลิวเหมยกลับไม่ทำให้เธอรำคาญ
คนที่ฝึกศิลปะป้องกันตัวไม่มีความคิดซับซ้อน ตรงไปตรงมาคิดอะไรก็พูด เห็นได้ชัดว่าที่บ้านของเธอสอนมาดี พ่อแม่ทำงานให้หน่วยงานรัฐบาล แต่ตัวเธอกลับไม่ได้เป็นคนเอาแต่ใจ ได้ยินว่าตอนเด็กๆร่างกายอ่อนแอเลยถูกที่บ้านส่งไปเรียนศิลปะป้องกันตัว อยู่ในโรงเรียนฝึกใช้กำลังกับพวกผู้ชายจนนิสัยเหมือนผู้ชายขึ้นทุกวัน
นี่หรอกถึงจะเรียกว่าเป็นคนง่ายๆยังไงก็ได้ ต่างจากคำว่าเป็นคนง่ายๆของคนบางคนที่แสร้งทำตัวเป็นคนดีที่แอบรักอวี๋หมิงหลาง
ถึงอวี๋หลิวเหมยจะเป็นคนพูดจาตรง แต่เป็นคนทำอะไรรอบคอบ ไม่ได้กวนเสี่ยวเชี่ยนในการใช้ชีวิตเลยสักนิด อีกทั้งยังชอบดูแลบ้าน
เสี่ยวเชี่ยนตื่นเช้าขึ้นมาเห็นอาหารเช้าร้อนๆวางอยู่บนโต๊ะ เธอเกือบคิดไปว่าเสี่ยวเฉียงกลับมาแล้ว แต่ก็ไม่เห็นว่าอวี๋หลิวเหมยหายไปไหน
ผ่านไปไม่กี่นาทีอวี๋หลิวเหมยก็แบกกระสอบทรายกลับมา
“ตื่นแล้วคะเหรอพี่เชี่ยนคนสวย~”
“เล่นในบ้านก็ได้ แบกลงไปเหนื่อยตายเลย”
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันต่อยกระสอบทรายเสียงจะดัง เดี๋ยวจะรบกวนการนอนของพี่ แบกกระสอบทรายก็เป็นการฝึกเหมือนกันฮ่าๆ~”
ตื่นเช้ามาได้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มแบบนี้ก็พลอยอารมณ์ดีไปด้วย เสี่ยวเชี่ยนยิ้มให้เธอแล้วยื่นผ้าขนหนูให้
“เช็ดเหงื่อสิ เหนื่อยซะขนาดนี้ พรุ่งนี้ไม่ต้องออกไปหรอก ราวแขวนผ้าเคลื่อนที่พี่ยกให้เอาไปแขวนกระสอบทราย บ้านนี้ที่เก็บเสียงดีไม่เป็นไรหรอก”
“โอ๊ะโอ๋ ใจดีจัง มิน่าพี่หลางถึงได้ชอบหัวปักหัวปำ ใช่…เลย คือคนนี้เลย~”
เพลงท่อนหลังทำเอาเสี่ยวเชี่ยนขำ
“เอ๊ะพี่คนสวย ผ้าขนหนูนี่คงแพงใช่ไหมคะ? เนื้อผ้าไม่ธรรมดาเลยนะ เอามาให้ฉันใช้เสียดายของ ไม่เป็นไรค่ะฉันมีผ้าขนหนู!”
อวี๋หลิวเหมยมองผ้าขนหนูที่เสี่ยวเชี่ยนยื่นให้แล้วส่งคืน
“พี่ยังมีอีกผืน อันนี้ให้เธอเอาไปเช็ดเหงื่อ ของใช้น่ะได้ทำหน้าที่ของมันไม่มีเสียดายของหรอก ผ้าขนหนูนี่เพิ่งแกะมาใหม่ วางใจได้”
“งั้นฉันไม่เกรงใจแล้วนะคะ พี่สะใภ้นี่ใจกว้างจัง! ฉันชอบคนนิสัยแบบพี่ที่สุดเลย!”
ตอนกลางวันทังสุ่ยเซียนโทรหาเสี่ยวเชี่ยนบอกให้เธอไปเจอลูกค้า คนไข้ที่ฐานะระดับนี้ย่อมไม่อยากให้คนรู้เรื่องตัวเองไม่สบายเยอะ เสี่ยวเชี่ยนจึงไปคนเดียว ให้อวี๋หลิวเหมยไปเดินเล่นตามลำพังก่อน เสี่ยวเชี่ยนรู้ว่าเธอเป็นพวกหลงทิศจึงให้เดินเล่นในห้าง จะไปไหนก็ได้แต่ห้ามออกจากห้าง
อวี๋หลิวเหมยสมกับเป็นคนหลงทิศขั้นเทพ เดิมคิดจะไปดูของใช้กีฬา แต่เดินไปเดินมาก็ไปอยู่ที่มุมของใช้ทั่วไปจนออกไม่ได้ เธอเดินไปเจอโซนของนำเข้า แล้วก็เห็นผ้าขนหนูแบบที่เสี่ยวเชี่ยนให้ใช้
พอเห็นราคาก็ช็อค แพงขนาดนี้เลย!
โทรศัพท์มือถือดัง อวี๋หมิงหลางโทรมา
“แฟนพี่ล่ะ ทำไมโทรหาไม่ติด?”
“พี่เขาไปเจอลูกค้า พอบอกฉันว่าจะไปเจอลูกค้าก็ปิดเครื่องเลย เสร็จแล้วถึงจะเปิดเครื่อง เขาอยู่ที่ร้านกาแฟในห้างนี่แหละ”
“ไม่มีอะไรผิดปกติใช่ไหม?”
“ไม่มี พี่สะใภ้ใจดีมากเลย ไม่ค่อยชอบพูดเท่าไรแต่ดีกับฉันมาก อีกทั้งยังชอบกินหมูน้ำแดงด้วย ฉันชอบพี่สะใภ้!”
“แน่นอน คิดว่าคนอย่างพี่จะมองผู้หญิงผิดไปไหมล่ะ? คุ้มกันพี่สะใภ้ให้ดีๆล่ะ เสร็จงานแล้วจะมีมื้อใหญ่ให้ อยากกินอะไรก็จัดไป!”
“ไม่ต้องหรอกพี่ พี่สะใภ้ให้ของฉันมาเยอะแยะเลย ของใช้ต่างๆก็เอาของใหม่มาให้หมด วันนี้ยังให้ผ้าขนหนูที่ใช้ดีสุดๆมาด้วย—พี่หลาง พี่สะใภ้ชอบอะไรเหรอ ฉันว่าฉันซื้อของให้เขาบ้างดีกว่า เป็นการตอบแทน”
“ไม่ต้องหรอก แฟนพี่ไม่ใช่คนงก ถ้าเธอทำตัวเกรงใจเขา เขาอาจจะไม่ค่อยชอบเท่าไร ดูแลเขาให้ดีแค่นั้นก็พอแล้ว”
“ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ก็รู้สึกว่ามาสร้างความวุ่นวายให้เขาอยู่ดี เมื่อกี้ฉันเห็นผ้าขนหนูแบบเดียวกับที่พี่สะใภ้ให้ด้วย แพงเว่อร์ๆ ผืนกะติ๊ดเดียวราคาตั้ง40! 40เลยนะ! เกือบเท่าเงินค่าขนมฉันทั้งอาทิตย์เลย พี่ว่าร้านนี้มันขูดรีดไปมะ?”
อวี๋หลิวเหมยพูดจาเสียดสีอย่างไม่ตั้งใจ ทำให้พนักงานมองตาขวาง
“คุณลูกค้าหมายความว่าไงคะ!ผ้าขนหนูของเรายี่ห้อไป๋หยุนนำเข้าจากประเทศหมู่เกาะ ทั้งมณฑลมีแค่เราขายอยู่ร้านเดียวค่าภาษีนำเข้าอะไรต่อมิอะไรก็รวมอยู่ในราคาด้วยแล้ว จะให้แจกฟรีเหรอคะ? คุณลูกค้าพูดจาไม่น่าฟังเลยนะคะ!”
เสียงดังฟังชัดลอดผ่านโทรศัพท์เข้าไปถึงหูอวี๋หมิงหลาง ตามมาด้วยเสียงขอโทษของน้องสาวที่พูดตรงเกินไป ทันใดนั้นอวี๋หมิงหลางก็คิดอะไรออก
ที่แท้ก็แบบนี้นี่เอง!