“ขอโทษด้วยค่ะที่ฉันพูดจาไม่น่าฟัง พี่คนสวยทั้งสองอย่าโกรธเลยน้า~” อวี๋หลิวเหมยขอโทษพนักงาน เธอมัวแต่วิพากษ์วิจารณ์จนลืมไปว่าตัวเองยืนอยู่ในร้าน
“หลิวเหมย เอาโทรศัพท์ให้พนักงานซิ!” อวี๋หมิงหลางสั่ง
“ได้ๆ รอเดี๋ยวนะ” อวี๋หลิวเหม่ยแอบบ่นในใจ นี่เธอลากพี่มาซวยไปด้วยเหรอเนี่ย?
“หลิวซาซาเป็นพนักงานร้านของพวกคุณหรือเปล่าครับ?” อวี๋หมิงหลางถาม
“ไม่ใช่พนักงานร้านเราค่ะ เขาขายตุ๊กตาอยู่ข้างๆ ไม่เห็นมาทำงานสิบกว่าวันแล้ว ติดต่อก็ไม่ได้ เจ้าของร้านโมโหมาก คุณเป็นอะไรกับเขาคะ?” พนักงานถาม
“ช่วงนี้ร้านพวกคุณมีผ้าขนหนูหายบ้างไหมครับ?” อวี๋หมิงหลางถามต่อ
“อย่าให้พูดเลยค่ะ! หายไปสิบกว่าผืนแล้ว ตอนเช็คสต็อคหัวหน้าแทบอยากจะบ้า นี่ถ้าตามจับมือใครดมไม่ได้พวกเราก็ต้องชดใช้—ว่าแต่คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไงคะ?”
“ผมช่วยหาวิธีให้พวกคุณไม่ต้องชดใช้เงินได้ แต่พวกคุณต้องตอบคำถามผมนะครับ”
“ว่ามาเลยค่ะ!” ช่วงหลายวันมานี้พนักงานกำลังกลุ้มเรื่องสต็อคสินค้าไม่ตรงกับยอด พอได้ยินว่ามีทางให้ไม่ต้องชดใช้เงินก็ตื่นเต้นทันที
“ผมอยากถามหน่อยว่า ยี่ห้อที่พวกคุณขายมีแค่ร้านคุณเท่านั้นเหรอครับ?”
“ในมณฑลนี้มีแค่ร้านเดียว ถ้าในประเทศก็มีหลายร้านอยู่ ตามเมืองใหญ่ๆขายดีกว่าร้านพวกเราค่ะ”
“หลิวซาซามีเพื่อนหรือคนในครอบครัวทำงานเป็นยามของห้างนั้นหรือเปล่าครับ โดยเฉพาะยามที่อยู่เวรกลางคืน?”
“ดูเหมือนพ่อของเขาจะเป็นคนตรวจตราตอนกลางคืน ห้างของเราพอตกดึกก็จะมีพวกลุงๆเข้าเวรคอยผลัดกันตรวจตรายามค่ำคืนค่ะ”
“ผ้าขนหนูของพวกคุณหายไปตั้งแต่เมื่อไรครับ?”
“ก็สิบกว่าวันก่อนค่ะ ก่อนหน้านั้นพวกเราเช็คสต็อคก็ตรงกันดี แล้วอยู่ๆก็หายไปจำนวนมาก อยากจะบ้าตาย”
ช่วงเวลาที่พนักงานบอกกับช่วงเวลาที่หลิวซาซาถูกทำร้ายตรงกันพอดี อวี๋หมิงหลางเข้าใจแล้ว
พนักงานพบว่าอวี๋หมิงหลางวางสายไปแล้วจึงถามอวี๋หลิวเหมยด้วยความสงสัย
“ใครกัน? เขารู้เรื่องผ้าขนหนูร้านเราหายได้ยังไง?”
อวี๋หลิวเหมยกระพริบตาปริบๆ ถึงเธอจะไม่รู้ว่าทำไมอวี๋หมิงหลางถึงได้ถามแบบนั้น แต่ก็รู้ว่าสถานะของพี่ชายค่อนข้างพิเศษ เรื่องบางอย่างเอาไปพูดส่งๆไม่ได้ ไม่งั้นอาจซวยคนในครอบครัวได้
“โอ๊ยโหย~ พี่สาวผิวดีจังเลย ชอบกินหมูน้ำแดงไหมคะ?” เปลี่ยนเรื่องคุยได้ไร้ศิลปะมาก ครั้นแล้วสาวน้อยอวี๋หลิวเหมยจึงถูกอัญเชิญออกจากร้าน
เธอลูบจมูก ถูกไล่ออกจากร้านยังไม่เท่าไร อย่าเปิดเผยความลับของพี่ชายเป็นพอ
อวี๋หมิงหลางวางสาย หลินเจ๋อกว่างจ้องเขาด้วยดวงตาดำคล้ำ คดีนี้พวกเขาสืบกันหามรุ่งหามค่ำ
“เพื่อน เรื่องที่นายให้พวกเราสืบได้เรื่องมาแล้วนะ วันนั้นเหยื่อที่ชื่อหลิวซาซาไปส่งข้าวให้พ่อที่ทำงานที่ห้าง พ่อเธอมีหน้าที่ตรวจดูความเรียบร้อยที่นั่น ซึ่งก็คือเป็นยามนั่นแหละ เบาะแสนี้ตกไปได้แล้วนะ”
“ไม่ เบาะแสนี้ไม่ตก พวกเราเจอเบาะแสใหญ่แล้ว รีบส่งคนไปที่รีสอร์ทจือหมิงที่อยู่ในเขตท่องเที่ยวเขาเสี่ยวเจียวแล้วพาลูกชายเจ้าของที่ชื่อหวางจือหมิงมาสอบสวน”
ปากของหลินเจ๋อกว่างเป็นรูปตัวO “ทำไมล่ะ!”
แค่ฟังคำให้การที่ดูเหมือนไม่ได้อะไรแบบนั้นก็ล็อคเป้าหมายได้เลยเหรอ? เทพไปป้ะ?
“เพราจุดประสงค์ของเหยื่อที่ชื่อหลิวซาซาไม่ได้ไปที่ห้างแค่เพื่อเอาข้าวไปให้พ่อ เขายังได้เอาสินค้าที่พ่อขโมยจากในห้างออกมาด้วย และสินค้านั้นก็คือผ้าขนหนูไป๋หยุนที่มีขายแค่ที่เมืองนี้! ตอนที่ฉันกับคู่หมั้นไปพักผ่อนได้ซื้อผ้าขนหนูแบบนี้ในราคาที่ถูกมากจากรีสอร์ท ไปพาหวางจือหมิงมา ถึงเขาจะไม่ใช่ผู้ต้องสงสัย แต่อย่างน้อยก็มีส่วนเกี่ยวข้อง!”
ผ้าขนหนูหายไปในวันที่เหยื่อถูกทำร้าย อีกทั้งในช่วงเวลาที่เหยื่อถูกพบ ผ้าขนหนูก็ไม่อยู่แล้ว หวางจือหมิงมีผ้าขนหนูอยู่หลายผืนมันน่าสงสัยมาก!”
อวี๋หมิงหลางพาคนบุกไปที่ภูเขาเตรียมพาหวางจือหมิงกลับมาสอบสวน
ในความคิดของอวี๋หมิงหลาง คนอ่อนแอที่ชอบดูถูกตัวเองอย่างหวางจือหมิงไม่น่าใช่ผู้ต้องสงสัยที่กล้ากรีดหน้าคนอื่น แต่ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีนี้ไม่มากก็น้อย เขาจึงจะลองไปคุมตัวมาสอบถามดูเผื่อได้เบาะแสอะไร
ส่วนทางด้านเสี่ยวเชี่ยน เมื่อไปถึงจุดนัดพบก็เจอลูกค้าที่สุ่ยเซียนแนะนำมาให้ เธอรู้สึกตกใจมาก
ก่อนหน้านี้สุ่ยเซียนแนะนำคนไข้ที่เป็นโรคภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่งให้เธอ แต่เพราะอวี๋หมิงหลางอยู่ด้วยเสี่ยวเชี่ยนจึงลังเลว่าจะรับหรือไม่รับดี
ตอนนี้อวี๋หมิงหลางไม่อยู่แล้วเธอจึงมีเวลา สุ่ยเซียนโทรมาถามอีกรอบในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะพอดี เสี่ยวเชี่ยนจึงตัดสินใจขอเจอคนไข้ก่อน หลังจากที่ได้รู้ข้อมูลของคนไข้แล้วค่อยตกลงเรื่องราคาและแผนการรักษา
สถานที่นัดคือร้านกาแฟที่อยู่ชั้นล่างของห้าง สุ่ยเซียนบอกว่าอีกฝ่ายใส่สูทดำ บนโต๊ะจะมีนิตยสารรู้ใจวางอยู่
เสี่ยวเชี่ยนใส่เสื้อเชิ้ตสีแดงกางเกงผ้าเนื้อบางขาบานสีดำ ทั้งสองฝ่ายใช้วิธีสังเกตจากเสื้อผ้า
ภายในร้านกาแฟมีผู้ชายใส่สูทอยู่คนเดียว ดูยังหนุ่ม บุคลิกเหมือนลูกคนรวย แต่เสี่ยวเชี่ยนรู้สึกตกใจที่ข้างตัวผู้ชายคนนี้มีผู้หญิงสวมกระโปรงขาวนั่งอยู่ บนโต๊ะของทั้งสองคนมีหนังสือวางอยู่หนึ่งเล่ม
“ที่รัก ครั้งนี้ผมต้องหายแน่ คุณวางใจได้ ต่อไปไม่มีทางเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีก” ผู้ชายที่ใส่สูทปลอบผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ
“คุณจะหายได้จริงๆเหรอ?”
“ใช่ ที่บ้านบอกว่าถึงหมอคนนี้จะดูเด็กแต่รักษาหายมาหลายคนแล้ว อาการของผมไม่หนัก ไม่ใช่โรคประสาท ก็แค่เป็นโรคจิตเวชเล็กๆ ที่รักอย่าทิ้งผมไปเลยนะ!”
ขณะที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่นั้นอยู่ๆก็รู้สึกว่ามีคนหยิบนิตยสารที่เป็นเหมือนโค้ดลับนั้นไป พอเงยหน้าทั้งสองคนก็อึ้ง
“เหม่ยเหวย?”
“เย่เสียวอวี่?”
เย่เสียวอวี่ก็คือเพื่อนสมัยมัธยมที่แอบชอบอวี๋หมิงหลาง เล่นเทนนิสกับอวี๋หมิงหลาง เป็นนักจัดรายการวิทยุที่พยายามเข้าหาอวี๋หมิงหลางแต่ถูกเสี่ยวเชี่ยนรู้ทัน
เสี่ยวเชี่ยนกับเย่เสียวอวี่ต่างไม่ชอบหน้ากัน ด้านหนึ่งก็เรื่องงานที่ต้องแข่งขัน อีกด้านหนึ่งก็เพราะทั้งสองคนต่างชอบอวี๋เสี่ยวเฉียง
แต่ในเวลานี้สิ่งที่ทำให้เสี่ยวเชี่ยนนึกไม่ถึงก็คือ เย่เสียวอวี่เป็นแฟนของคนไข้ที่สุ่ยเซียนแนะนำให้เธอ และผู้หญิงคนนี้คบกันผู้ชายที่มีภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่งไปพร้อมๆกับอ่อยผู้ชายของเธอ
พฤติกรรมแบบนี้เสี่ยวเชี่ยนมองว่าเป็นการเล่นกับไฟ ช้าเร็วต้องถูกไฟคลอกตาย
“คุณคือหลี่เจีย?” เสี่ยวเชี่ยนถามผู้ชายคนนั้น
สายตาของเสี่ยวเชี่ยนมองไปมาระหว่างผู้ชายคนนี้กับเย่เสียวอวี่ ผู้หญิงที่เป็นโรคย้ำคิดย้ำทำเสพติดการแต่งหน้าคบกับคนที่มีภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่ง นี่มันเป็นเรื่องที่สุดๆไปเลย
ภาวะบุคลิกภาพผิดปกติชนิดก้ำกึ่งรักษาไม่ง่าย ถูกยกให้เป็นมือฆ่าจิตแพทย์ จิตแพทย์ทั่วไปไม่อยากรับเคสแบบนี้เพราะมันยากมาก
“ฉันไม่รู้ว่าเธอพูดเรื่องอะไร เพื่อนฉันไม่ได้ป่วย พวกเรามีธุระ ขอตัว!” เย่เสียวอวี่ทำหน้าบึ้งใส่เสี่ยวเชี่ยน
เธอเองก็ไม่คิดว่าจิตแพทย์ของหลี่เจียคือเหม่ยเหวยที่เธอแสนเกลียด!
มันน่าขายหน้าชะมัด!