ภาคที่ 2 บทที่ 168 วุ่นวาย

มู่หนานจือ

เติ้งเฉิงลู่ถึงได้สติกลับมา

ท่านลุงเจียงเชื่อคำพูดของเขาแล้ว!

แถมยังส่งคนไปเรียกจินเซียวมาแล้วด้วย

ความดีใจอย่างท่วมท้นเกิดในใจของเติ้งเฉิงลู่ เขาเอ่ย “ขอบคุณ” เจียงเจิ้นหยวนไม่หยุด

เจียงเจิ้นหยวนไม่รู้จะทำอย่างไรดี จึงเอ่ยว่า “ข้าช่วยหลานสาวของข้าเอง เจ้าขอบคุณอะไร?”

เติ้งเฉิงลู่ยิ้มแหยๆ

ทันใดนั้นเจียงเจิ้นหยวนก็คิดว่า หากหาเป่าหนิงเจอแล้ว แต่งงานกับเติ้งเฉิงลู่ก็ไม่เลวเช่นกัน

เพียงแต่ไม่รู้ว่าเป่าหนิงจะยินดีหรือไม่

เรื่องอื่นเติ้งเฉิงลู่ซื่อและพูดไม่ค่อยเก่ง ทว่ากลับมีเรื่องหนึ่งที่เขาพูดถูกแล้ว

เป่าหนิงของพวกเขาตั้งแต่เล็กจนโตชะตาชีวิตน่าสงสาร ไม่ว่าจะเป็นเขาหรือไทฮองไทเฮาก็ไม่เคยอยากบังคับให้นางแต่งงานทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นเฉาไทเฮาก็ออกราชโองการพระราชทานงานสมรสไปตั้งนานแล้ว

คนที่รู้เรื่องนี้ต่างไม่มีทางที่จะใช้กำลังลักพาตัวเป่าหนิงไปเพื่อให้นางแต่งงานด้วย

พอคิดถึงตรงนี้ อยู่ๆ เจียงเจิ้นหยวนก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้

หรือว่า…เป่าหนิงจะไปกับคนอื่นเอง?

พอคิดขึ้นมาได้ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ก็ผุดออกมาบนหน้าผากของเจียงเจิ้นหยวน

ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงความหลงใหลที่หวังจ้านมีต่อเป่าหนิง

เด็กสองคนเล่นด้วยกันมาตั้งแต่เล็กจนโต หวังจ้านมีของดีอะไรก็คิดถึงเป่าหนิงตลอด เขาไม่กินไม่ดื่มจะเก็บไว้ให้เป่าหนิงหมด เหล่าผู้อาวุโสหาใช่คนตาบอด ใครจะดูไม่ออก? แต่ไทฮองไทเฮากังวลกับความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูล ไม่อยากให้ญาติแต่งงานกันอีกครั้ง จึงไม่ยอมให้หวังจ้านกับเป่าหนิงแต่งงานและเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้อง หวังจ้านก็อดทนได้และไม่เคยเอ่ยถึงเลย

พวกเด็กๆ ก็กำลังกลัวว่าจะทำร้ายจิตใจผู้ใหญ่เช่นกัน?

หากจ้าวเซี่ยวไม่ถูกจ้าวอี้แทงดาบหนึ่งอย่างไร้สาเหตุ เขาจะได้รับเลือกให้เป็นสามีของเป่าหนิงได้อย่างไร ทว่าหากไม่มีดาบเล่มนั้นเล่า?

เป่าหนิงจะมีตัวเลือกที่ดีกว่าหรือไม่?

เจียงเจิ้นหยวนนึกถึงใบหน้าที่ทำให้คนอื่นต่างเทียบไม่ติดของจินเซียว

ผู้หญิงก็ชอบความงามเหมือนกับผู้ชาย

เพียงแต่เป็นเพราะผู้ชายไม่มีคนตำหนิ จึงไม่กลัวที่จะแสดงออกมา ทว่าผู้หญิงให้ความสำคัญกับเรื่องคุณธรรมของสตรี[1] จึงกลัวถูกคนตำหนิเท่านั้น

หรือว่าคนที่ลักพาตัวเจียงเซี่ยนไปจะเป็นจินเซียว?

เจียงเจิ้นหยวนแอบรู้สึกว่าไม่น่าจะเป็นจินเซียว

หากเป็นจินเซียว ด้วยสติปัญญาที่ว่องไวเป็นอย่างมากและความสามารถที่โดดเด่นของเป่าหนิง ต่อให้จ้าวเซี่ยวถูกจ้าวอี้แทงดาบหนึ่งนั้น ก็น่าจะมีวิธีทำให้จ้าวเซี่ยวถูกยกเลิกสิทธิในการเข้าร่วมการคัดเลือกสามีอย่างเยือกเย็นเช่นกัน

เป่าหนิงอยู่ที่ไหนกันแน่?

เวลานี้รถม้าของเจียงเซี่ยนจอดอยู่ข้างป่าเขาข้างทาง

อวิ๋นหลินรายงานเสียงเบาผ่านม่านรถว่า “คุณชาย พวกเราจะรีบเดินทางต่อหรือจะพักผ่อนและปรับปรุงกำลังในป่าเขาสักครู่ขอรับ อีกไม่นานฟ้าก็จะสว่างแล้ว”

เข้าสู่อาณาเขตของซานซีแล้ว ช่วงนี้ทุกคนรีบเดินทางติดต่อกันหลายคืน ม้าของพวกเขาล้วนเป็นม้าศึก ความเร็วนั้นเร็วมาก แต่ความอดทนกลับไม่มากนัก หากยังวิ่งต่อไปแบบนี้ คนกับม้าก็จะทนไม่ไหวแล้ว

หลี่เชียนเข้าใจ จึงเอ่ยว่า “ตั้งค่ายพักแรมในป่า”

ชาวบ้านต่างมีนิสัยไปตลาดเช้า ในเส้นทางที่ใช้สำหรับส่งเอกสารราชการและมีจุดพักหรือจุดเปลี่ยนม้าตั้งอยู่ระหว่างทางนั้นตอนเช้ากับตอนเย็นจึงมีคนสัญจรไปมามาก ทว่าพอถึงตอนกลางวันกับกลางคืนคนกลับน้อย จึงฉวยโอกาสรีบเดินทางเวลานี้ได้พอดี

อวิ๋นหลินขานรับและจากไปหาเนินเขาที่ปกคลุมด้วยต้นไม้สีเขียวสักแห่งเพื่อตั้งค่าย จะได้ปิดบังบรรดาคนที่ไปๆ มาๆ ข้างเส้นทางที่ใช้สำหรับส่งเอกสารราชการ

หลี่เชียนเห็นอวิ๋นหลินทำงานอย่างเป็นขั้นเป็นตอนและเป็นระเบียบมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ปลื้มใจมาก และถามเจียงเซี่ยนเสียงอ่อนโยน “เจ้าจะให้หลิวตงเยว่ลงไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้าสักหน่อยหรือไม่”

นี่เป็นวิธีพูดอย่างอ้อมค้อม ความจริงแล้วเขาอยากถามเจียงเซี่ยนว่าจะเข้าส้วมหรือไม่

เจียงเซี่ยนตาบวมแดง นางไม่สนใจอะไรทั้งนั้น และไม่สนใจคำพูดของหลี่เชียน

หลี่เชียนถอนหายใจ คิดแล้วก็จับมือของเจียงเซี่ยน

เจียงเซี่ยนไม่ดิ้น นางเงียบสนิทเหมือนหมดอาลัยตายอยาก และปล่อยให้เขาจับไว้

หัวใจของหลี่เชียนก็เหมือนแตกออกเป็นช่องใหญ่ เลือดไหลออกมาข้างนอกตลอด และเจ็บปวดจนเขาขยับร่างกายครึ่งหนึ่งไม่ได้

“เป่าหนิง! อย่าทำแบบนี้!” เขาพูดไป ขอบตาก็แดงโดยไม่รู้ตัว “เจ้าพูดกับข้าสักคำได้หรือไม่? นอกจากส่งเจ้ากลับไปแล้ว ไม่ว่าเจ้าพูดอะไร ข้าจะรับปากทุกอย่าง ดีหรือไม่?”

ตั้งแต่เจียงเซี่ยนรู้ว่าเขาเอาเทียบขอพบของเจียงเจิ้นหยวนไปหลอกจินเซียว นางก็นั่งอยู่อย่างเงียบๆ แบบนี้ บางทีก็ร้องไห้อย่างเงียบๆ บางทีนัยน์ตาทั้งสองข้างก็ไร้แววจนไม่รู้ว่ามองตรงไหนอยู่ ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร นางก็ไม่สนใจเขา กระทั่งไม่แม้แต่จะมองเขาสักครั้งด้วยซ้ำ

เขาปวดใจจนยากที่จะทนได้ จนถึงเวลานี้ก็ยังไม่หายดี

หลี่เชียนทนไม่ไหวแล้วจริงๆ เขาอดที่จะกอดเจียงเซี่ยนไว้ไม่ได้ และขอร้องข้างหูนางอย่างแผ่วเบาว่า “เป่าหนิง ข้าผิดเอง ข้าไม่ควรทำให้เจ้าผิดหวัง ข้ารับรองว่า ต่อไปจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว…ตอนนั้นข้าไม่ได้คิดมากขนาดนั้น เพียงแค่คิดว่าข้าลักพาตัวเจ้ามา ด้วยความเก่งกาจของจวนเจิ้นกั๋วกง ไม่นานก็จะต้องตามทันอย่างแน่นอน ข้าไม่อาจปะทะกับจวนเจิ้นกั๋วกงได้ ยิ่งไม่อยากปะทะและต่อสู้กับลุงของเจ้าหรือพี่ใหญ่ของเจ้า ถึงได้คิดวิธีนี้ ข้าก็ไม่ได้คิดจะหลอกลุงของเจ้ากับพี่ใหญ่ของเจ้าเช่นกัน เพียงแค่อยากถ่วงเวลาสักนิด ให้ข้าพาเจ้าหนีไปได้ไกลหน่อย”

เขาพูดอยู่ จู่ๆ น้ำเสียงก็เปลี่ยนเป็นน้อยใจขึ้นมาเล็กน้อย

“เจ้าดูสิ พอเจ้ารู้ว่าข้าสอดแทรกคนๆ หนึ่งไว้ข้างกายพี่ใหญ่ของเจ้าก็เหมือนเห็นข้าเป็นศัตรูที่ไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้แล้ว หากข้าลงมือกับพี่ใหญ่ของเจ้าขึ้นมาจริงๆ เจ้าจะไม่เกลียดข้าแทบตาย และหยิบดาบมาช่วยพี่ใหญ่ของเจ้าอยู่ข้างๆ หรือ!”

“ยิ่งกว่านั้นพี่ใหญ่ของเจ้าเก่งขนาดนั้น หากข้ายืนให้เขาทุบตีอยู่ตรงนั้นอย่างว่าง่าย แล้วเขาหายโกรธและรับปากว่าให้เจ้าแต่งงานกับข้าได้ ข้าก็จะยืนให้เขาเตะต่อยอยู่ตรงนั้นอย่างแน่นอน”

“แต่พี่ใหญ่ของเจ้าไม่ใช่คนแบบนั้นนี่นา!”

“หากเขาคิดจะทุบตีข้า ต่อให้ทุบตีข้าจนพิการ ข้าก็ยอมรับเช่นกัน”

“กลัวก็แต่ว่าเขาทุบตีข้าแล้ว ยังรังเกียจที่ข้าไม่กล้าลงมือกับเขาอีก และคิดว่าข้าไม่คู่ควรที่จะยืนเคียงข้างเจ้า”

“เป่าหนิง นี่ข้าก็ไม่มีทางเลือกแล้วเช่นกัน”

“ข้าเทียบพวกจ้าวเซี่ยวกับจินเซียวไม่ได้…ต่อให้ข้าไปเข้าแถวเพื่อจะแต่งงานกับเจ้า หากตระกูลเจียงไม่ชอบข้า ข้าก็ไม่มีสิทธิไปเข้าแถวเช่นกัน!”

“แถมเจ้ายังไม่อนุญาตให้ข้าแทรกแถวอีก…”

เจ้าคนสารเลวนี่!

เริ่มพูดจาเพ้อเจ้ออีกแล้ว

ไม่เคยจริงจังสักครั้งเลย

เข้าแถวอะไรกัน?

นี่เขาคิดว่ากำลังซื้อของอยู่อย่างนั้นหรือ?

เจียงเซี่ยนก้มหน้าลง กลัวว่าตนเองจะทนไม่ไหวจนหัวเราะออกมา

ถึงเวลานั้นหลี่เชียนก็จะเริ่มอวดดีอีก

นางยังไม่ให้อภัยเขาหรอก!

“เจ้าอยู่ให้ห่างข้าหน่อย!” เจียงเซี่ยนออกแรงผลักหลี่เชียน “เห็นเจ้าแล้วข้าปวดตา”

นางเอ่ยอย่างโกรธเคือง และเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อยโดยไม่ได้ตั้งใจ

หลี่เชียนรู้สึกดีใจเป็นอย่างมากทันที

ในที่สุดเป่าหนิงก็พูดกับเขาแล้ว

เขาก็รู้ว่า…เป่าหนิงของเขาเข้าใจเหตุผลที่สุด

หลี่เชียนยังกล้าเอ่ยถึงเรื่องของพวกจินเซียวอีกที่ไหนกัน เขารีบเอ่ยว่า “เป่าหนิง ข้าให้พวกเขาต้มข้าวต้มให้เจ้าสักหน่อยแล้วกัน มีถั่วลิสง พุทราแดง ลูกเดือย ถั่วเขียว ลำไย เจ้าอยากกินข้าวต้มอะไร?”

“เจ้าคิดว่ากำลังฉลองเทศกาลล่าปาหรือ?” เจียงเซี่ยนเอ่ยอย่างไม่พอใจ “ข้าไม่อยากกินข้าวต้ม ข้าอยากพักผ่อนสักหน่อย”

ทะเลาะกันมาทั้งคืน นางก็น่าจะเหนื่อยแล้วเช่นกัน

หลี่เชียนเอ่ยเสียงนุ่มว่า “ได้! เช่นนั้นเจ้ากินของว่างสักชิ้นรองท้องก่อนสักหน่อย ไว้เจ้าตื่นนอนแล้ว ข้าค่อยทำของกินให้เจ้า”

เขาค่อยๆ ปล่อยแขนอย่างอาลัยอาวรณ์

เจียงเซี่ยนหันตัวไป ไม่สนใจหลี่เชียน

แต่หลิวตงเยว่ที่อยู่ข้างๆ กลับเห็นแล้วคางจะร่วงลงมาแล้ว

หลี่เชียนกล้าเสียมารยาทกับท่านหญิง?!

ท่านหญิงควรจะตบปากเขาสักทีไม่ใช่หรือ?

ทำไมแค่ตวาดด่าไม่กี่คำ ไล่ออกไปก็จบแล้ว…

แล้วก็…ท่านหญิงเคยให้คนเข้าใกล้ขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร?

ต่อให้เป็นซื่อจื่อชินเอินป๋อ ทั้งสองคนก็จะเดินคนละฝั่งอย่างสุภาพ

ท่านหญิงบอกว่านางถูกลักพาตัวมาไม่ใช่หรือ?

ทว่าตอนนี้…พอท่านหญิงไม่พอใจ หลี่เชียนก็ขอโทษท่านหญิงอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน…และท่านหญิงก็ปล่อยให้เขาง้อตนเองอยู่แบบนี้…

นี่…นี่คือโจรลักพาตัวกับตัวประกันหรือ?

มีโจรลักพาตัวกับตัวประกันแบบนี้ด้วยหรือ?

หลิวตงเยว่นึกว่าเจียงเซี่ยนออกมาจากหมู่บ้านกับหลี่เชียนอย่างไร

หรือว่าจะไม่ใช่การลักพาตัวอะไรทั้งนั้น แต่เป็นหนีตามผู้ชายไป…

———————————-

[1] คุณธรรมของสตรี ว่าด้วยเรื่องหลักสามเชื่อฟังสี่จรรยา หลักสามเชื่อฟัง ประกอบด้วย ยังไม่ออกเรือนต้องเชื่อฟังบิดา ออกเรือนแล้วต้องเชื่อฟังสามี และสามีเสียชีวิตแล้วต้องเชื่อฟังลูกชาย ส่วนหลักสี่จรรยา ประกอบด้วย คุณธรรมของสตรี วาจาของสตรี หน้าตาและกิริยาท่าทางของสตรี และงานฝีมือของสตรี