ตอนที่ 257 สูญเสียการควบคุม
ไม่อย่างนั้นเธอคงจะสูญเสียการควบคุมไปอย่างช้า ๆ
เหลียวเว่ยที่เห็นเธอเดินเข้ามา เธอที่ยืนอยู่ทรุดล้มลงไปนั่งกับพื้นอีกครั้ง ก่อนจะมองเธอด้วยความหวาดกลัว “อันโหรว! เธอพูดจริงหรือเปล่า? ที่จะยอมปล่อยฉัน เธอพูดจริงเหรอ?”
“แน่นอนว่าเป็นความจริงอยู่แล้ว” เธอนั่งลงตรงข้ามเธออย่างไม่รีบร้อน ฉีเซิงเทียนเองก็นั่งลงหยิบมีดปอกผลไม้ขึ้นมาตั้งใจปอกแอปเปิลในมือ ดูเหมือนเรื่องที่พวกเขาคุยกัน เขาจะไม่เกี่ยวข้องด้วยเลยแม้แต่น้อย
“เธอดูใจดีจังเลยนะ” หากจะปล่อยเธอไปจริง ๆ ทำไมยังนั่งอยู่ตรงนี้อีกกัน?
“ฉันไม่ได้ใจดีขนาดนั้นอยู่แล้ว” เธอหันหน้าไปมอง สายตาจับจ้องไปที่โต๊ะตรงหน้าเธอ
ภายใต้แสงสลัว ๆ สิ่งที่อยู่บนโต๊ะนี้มีความหมายที่ชัดเจนในตัวเอง
สีหน้าของเหลียวเว่ยตอนนี้ดูหวาดกลัวมากกว่าเสแสร้ง เป็นฉากที่ไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองจริง ๆ
เหลียวเว่ยมองไปที่อันโหรวอย่างไม่ละสายตา ในงานจัดแสดงนิทรรศการที่ได้เจอเธอในวันนั้นจนถึงวันนี้ เธอแทบจะไม่ได้นอนเลย เธอคิดมาตลอดว่าเธอแค่กลับมาดูงานเท่านั้น จนถึงตอนนี้แม้กระทั่งเงาของเธอก็หาไม่เจอ ที่แท้เธอก็ซ่อนตัวอย่างดีนี่เอง
อันอีหาน อันโหรว!
เปลี่ยนชื่อแล้วก็เปลี่ยนหน้าตา เสียงของเธอตอนนี้ยังคงเหมือนเมื่อก่อน เสียงที่ได้ยินนั้นไพเราะเหมือนสายน้ำในขุนเขาที่น่าฟัง แต่คำพูดแต่ละคำที่เธอเปล่งออกมานั้นแทบไม่อยากจะฟัง
“คอของเธอเป็นอะไร?” เธอรู้สึกสงสัยว่าเธอทำได้อย่างไร ดูเหมือนเธอไม่ได้ใช้เครื่องเปลี่ยนเสียงเลยแม้แต่น้อย
อันโหรวหัวเราะเบา ๆ แต่ก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
“หากเธอรู้เรื่องตระกูลอันเมื่อห้าปีก่อน เธอก็ยังมีหนทางรอดอยู่ จะไปจากที่นี่หรือเปล่า ไม่เช่นนั้น?” เธอก้มหน้าลงมองบนโต๊ะอย่างจริงจัง “เธอคิดว่าเธอชอบการลงโทษแบบไหนดี?”
“ฉันไม่เคยทำเรื่องนองเลือดแบบนี้มาก่อน อาจทำได้ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ฉันจะต้องพยายามทำมันให้ดีที่สุดเพื่อตอบสนองความปรารถนาของเธอ ถ้าหากไม่ได้ละก็ คนรอบข้างก็ยังพอมีประสบการณ์อยู่บ้าง!” อันโหรวเงยหน้าขึ้นมองเหลียวเว่ย ดวงตาสีเข้มสนิทราวกับตอนกลางคืนจ้องไปที่เธออย่างไม่ละสายตา
“เธออยากรู้อะไร?” เหลียวเว่ยตอบกลับอย่างเบา ๆ
อันโหรวยิ้มมุมปาก ดูแล้วเหมือนเธอจะยังไม่รู้เรื่องอะไร ตระกูลเหลียวก็ล้มละลายไปแบบนั้น จิ่งเป่ยเฉินเองก็ไม่ได้พูดเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตระกูลอัน ดูแล้วตระกูลเหลียวกับเรื่องในอดีตคงจะไม่ได้เกี่ยวข้องกันสักเท่าไร
ที่เฉาลี่ฟางให้โอวหยางลี่ขอเหลียวเว่ยแต่งงานก็เพราะอยากจะกีดกันโอวหยางลี่ออกห่างจากเธอ ไม่ให้ยุ่งเกี่ยวกับคนในตระกูลอันอีก
ความนึกคิดของเธอช่างน่าสมเพชเสียจริง
อันโหรวเงยหน้าขึ้นมองฉีเซิงเทียนพร้อมยื่นมือออกไป “มีด!”
“แอปเปิลของฉันยัง…….” เขายื่นมีดในมือให้กับมือเธอ พร้อมมองลูกแอปเปิลที่เพิ่งปอกไปได้ครึ่งลูก
มีดเล่มนี้และแอปเปิลลูกนี้เป็นเธอที่สั่งให้เขาเอามา เมื่อใช้เสร็จก็ทิ้งทันที เหมือนกับจิ่งเป่ยเฉินไม่มีผิด!
“อันโหรว! เธอคิดจะทำอะไร?” เหลียวเว่ยมองเธออย่างตื่นตระหนก ก่อนจะขยับตัวถอยหลังไป
“ช่วยเขาปอกแอปเปิลไง เธอจะกังวลอะไร? หรือว่าเธอไม่คิดว่าเขาปอกแอปเปิลจนน่าเกลียดเกินไปหน่อย” เมื่อเธอพูดจบก็ยื่นมือไปหาฉีเซิงเทียนอีกครั้งหนึ่ง
ฉีเซิงเทียนยื่นแอปเปิลให้เธออย่างมีความสุข ถึงแม้พวกเขาจะหลอกเขา แต่พี่สะใภ้คนนี้ไม่เลวจริง ๆ
รู้ว่าคืนนี้เขาไม่ได้กินอะไรมาก เลยอุตส่าห์ใจดีปอกแอปเปิลให้เขาอีก
เมื่อเล็งมาถึงจุดนี้ เขาไม่สามารถโกรธพวกเขาได้เลยสักนิด
เหลียวเว่ยมองอันโหรวที่กำลังปอกลูกแอปเปิลอย่างจริงจัง แต่กลับไม่เชื่อเธอ ร่างกายของเธอที่อยู่ในเสื้อคลุมสีดำเผยข้อมือที่ขาวเนียน มือทั้งสองดูเรียวงามในท่าปอกแอปเปิล
“คุณนายโอวหยาง ฉันมีความอดทนพอ คุณสามารถค่อย ๆ คิดว่ามีสิ่งของใดที่สามารถแลกกับอิสระของคุณได้” เธอปอกเปลือกแอปเปิลอย่างระมัดระวัง มันดูบางและละเอียดเป็นอย่างมาก
เหลียวเว่ยมองการเคลื่อนไหวของเธอ ถึงแม้จะเป็นการเคลื่อนไหวที่สง่างามแต่เธอกลับรู้สึกกลัวขึ้นมา โดยเฉพาะในเวลานี้ที่ใบหน้าของเธอดูนิ่งอย่างน่ากลัว
สามารถปลุกความทรงจำของเธอในปีนั้นขึ้นมาได้อย่างง่ายดาย เธอหยิบธนบัตรหนึ่งร้อยหยวนที่เปื้อนเลือดขึ้นมาและโยนไปที่พวกเขา
“ได้เลย!” อันโหรวส่งแอปเปิลให้ฉีเซิงเทียนพร้อมควงมีดที่ถืออยู่ในมือ สายตาเหลือบไปมองมือข้างขวาของเธอก่อนจะหยุดมองไปที่หน้าของเธอ เสียงที่นุ่มนวลพูดขึ้นว่า “มีไหม?”
“เธอพูดว่าเธอจะปล่อยฉันไปไม่ใช่หรือไง?” เธอไม่เชื่อว่าเธอจะใจดีขนาดนั้น อันโหรวเกลียดเธอจะตาย เหมือนที่เธอเองก็เกลียดอันโหรวเข้าไส้
“เธอไม่พูดก็คงจะไม่ได้ออกไป” ทันทีที่เธอพูดจบ ห้องที่เงียบสงัดจู่ ๆ ก็มีเสียงกัดแอปเปิลของฉีเซิงเทียนดังขึ้นมา เขาเคี้ยวผลแอปเปิลที่กรอบอร่อย
อันโหรวรู้สึกว่าเธอเริ่มหิวขึ้นมาเล็กน้อยแล้วสิ
“พี่สะใภ้ แอปเปิลลูกนี้ดีจริง ๆ นะ!” ฉีเซิงเทียนยังคงไม่ลืมที่จะเอ่ยอีกสักประโยค สายตาล้วนเต็มไปด้วยความพึงพอใจ
ในตอนที่เธอเป็นอันอีหาน เขาคิดว่าสักวันหนึ่งจิ่งเป่ยเฉินก็คงปล่อยเธอไปแน่ ๆ แต่ตอนนี้เธอกลับกลายเป็นอันโหรว ก็อย่าได้คิดเพ้อฝันอีกเลย
พวกเขาทั้งสองคนถูกลิขิตไว้แล้วว่าชั่วชีวิตนี้ให้พัวพันกันไปทั้งชีวิต พี่สะใภ้ของพวกเขาคงเรียกได้ว่าถูกปากถูกคอนี่เอง!
“น่าเสียดายที่คุณนายโอวหยางคงไม่ได้กินมันอีกแล้ว” อันโหรวมองไปที่ใบหน้าของเธอด้วยความรู้สึกเสียดาย มีดปอกผลไม้ในมือถูกปัดเศษเล็กเศษน้อยออก ภายใต้แสงไฟที่สลัว ๆ ส่งผลให้มีดปอกผลไม้นี้ดูเป็นประกายพิเศษยิ่งกว่าเดิม
สายตาของเหลียวเว่ยจับจ้องไปที่มีดที่อยู่ในมือของเธอ สุดท้ายก็ค่อย ๆ เคลื่อนสายตามองไปยังใบหน้าของอันโหรว “เธอฆ่าลูกของฉัน แล้วนี่เธอยังคิดจะแก้แค้น เป็นไปไม่ได้! เธอจะฆ่าฉันไม่ได้!”
เธอไม่อาจปฏิเสธเสียงหัวเราะของเธอได้ อันโหรวลุกขึ้นจากที่นั่งและพูดว่า “คุณนายโอวหยาง เมื่อไปถึงยมโลกก็อย่าพูดว่าฉันไม่ได้ทำตามความปรารถนาของคุณละกัน”
เธอเอื้อมมือไปกดที่ข้อมือของเธอ มีดปอกผลไม้ในมือถูกเล็งไปตรงกลางฝ่ามือ ก่อนจะใช้แรงกดเข้าไปเต็ม ๆ ส่งผลให้เลือดนั้นไหลพุ่งออกมา เสียงกรีดร้องของเหลียวเว่ยดังขึ้นในทันที ภาพเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าทำให้ฉีเซิงเทียนที่กำลังกินแอปเปิลอยู่ข้าง ๆ ตกตะลึงขึ้นมาในพริบตา
นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?
“อาา!! เจ็บ เจ็บ!! อันโหรวเรียกหมอให้ที! เรียกหมอให้ที! เธอฆ่าลูกของฉันไปแล้ว ตอนนี้ยังจะคิดฆ่าฉันอีกเหรอ เธอฆ่าคน เธอต้องติดคุกแน่ ๆ” เหลียวเว่ยยืดตัวขึ้น มือที่กดตรงกลางฝ่ามือไว้มีเลือดไหลออกมาจากนิ้วของเธอทีละนิ้ว บนโต๊ะสีดำ เลือดของเธอค่อย ๆ ไหลนองไปกองอยู่ตรงนั้น
“ติ๊กตอก!” เลือดเริ่มไหลลงสู่พื้น จากเดิมที่พื้นเป็นสีขาวก็ค่อย ๆ ถูกละเลงคล้ายกับดอกไม้ที่บานสะพรั่งไป ความเจ็บปวดล้วนแล้วราวกับฉีกขาดไปทั่วร่างของเธอ เธอเข้าใจแล้วว่าอะไรคือสิบนิ้วที่เชื่อมต่อกับหัวใจ มันเจ็บมากจริง ๆ
“นี่คือสิ่งที่เธอควรรับผิดชอบ อาการบาดเจ็บบนตัวของจิ่งเป่ยเฉินเกิดจากฝีมือของเธอ ฉันคิดว่าแค่นี้มันยังน้อยไปด้วยซ้ำ!” เธอเหลือบสายตามองไปที่ฉีเซิงเทียนที่กำลังตกตะลึงและพูดว่า “มัวแต่ยืนอึ้งทำอะไรอยู่ มืออีกข้าง!”
จิ่งเป่ยเฉินมีมือเพียงข้างเดียว เธอก็ต้องใช้สองมือนั้นระบายอารมณ์!
ไม่ สองมือไม่สามารถแก้ไขความเกลียดชังในใจของเธอได้!
ฉีเซิงเทียนโยนแอปเปิลที่อยู่ในมือทิ้ง ก่อนจะก้าวเดินไปด้านหน้าโดยไม่สนใจแม้แต่เสียงกรีดร้องของเหลียวเว่ย เขากดไปที่ข้อมือซ้ายของเธอ เขารู้สึกชื่นชมในตัวพี่สะใภ้ของเขามากจริง ๆ ช่างสมกับเป็นพี่สะใภ้ของพวกเขาเหลือเกิน!
พี่เฉินนี่มีสายตาที่ไม่เลวเลย!
“ไม่! ไม่เอานะ! ฉันจะพูด! ไม่ว่าอะไรฉันก็จะพูด!” เหลียวเว่ยตะโกนออกมาอย่างตื่นตระหนก
“วางใจเถอะ ฉันไม่ได้ตั้งใจจะตัดลิ้นของเธอแน่ ๆ เธอยังมีโอกาสที่จะพูดอยู่นะ” มีดปอกผลไม้ที่เปื้อนเลือดกวัดแกว่งลงไปที่เธออย่างดุเดือด เลือดก็ไหลพุ่งออกมาอีกครั้งหนึ่ง
ฉีเซิงเทียนดึงข้อมือของเธอขึ้นมา ก่อนจะมองดูเธอด้วยรอยยิ้มและพูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้ เพราะงั้นพี่เลยขอให้ผมเอามีดปอกผลไม้มา ที่แท้ก็ตั้งใจทำแบบนี้นี่เอง!”