ชิงหูปล่อยให้หลินเมิ้งหยาซบบ่าของเขา แล้วซ่อนเร้นท่าทางดุร้ายเอาไว้ชั่วคราว
“ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าไม่ต้องห่วง”
ป๋ายซ่าวและป๋ายจื่อช่วยกันเปลี่ยนชุดของหลินเมิ้งหยาที่บัดนี้ชโลมไปด้วยเลือด
“เช่นนั้น…ฮูหยินหวัง….”
ป๋ายจีชำเลืองมองทางฮูหยินหวังด้วยความกังวล แม้บาดแผลจะถูกเย็บแล้ว
แต่ตอนนี้ฮูหยินหวังไร้ซึ่งลมหายใจ
ยาแกล้งตายยังคงออกฤทธิ์อย่างต่อเนื่อง
ดูไม่ออกว่านางตายจริงหรือหลอก
“ขึ้นอยู่กับโชคชะตาของนาง”
หากฮูหยินหวังเอาชีวิตรอดมาได้ นั่นแสดงว่านางคงมีบุญมาก
ทว่าคนที่น่าเป็นห่วงที่สุดในเวลานี้คือตัวนางเอง
“อีกเดี๋ยวถ้าออกไปแล้ว อย่าได้เอ่ยอะไรออกมาทั้งสิ้น ข้าจะเป็นคนแก้ปัญหาทุกอย่างเอง”
ฮูหยินหวังสลบไป อีกทั้งยังมีคนควบคุมร่างกายของนางและสร้างเรื่องผีขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าคนผู้นั้นมิได้ปรารถนาดีต่อนาง
เป็นแผนที่ไม่เลว ไม่ว่าฮูหยินหวังจะตายหรือไม่ แต่สุดท้ายแล้วแม่งานอย่างนางก็คงต้องรับผิดชอบต่อความผิดที่เกิดขึ้น
การสวดมนต์แสร้งทำเป็นเจ้าแม่ของชิงหูได้ผลดีอย่างยิ่ง
แม้จะมีคนนึกสงสัย แต่กลับมิมีใครกล้าเข้าใกล้ที่นี่
หลินเมิ้งหยาจัดแต่งเสื้อผ้า แสร้งแสดงท่าทางอ่อนแอโดยมีสาวใช้ทั้งสองพยุงร่างออกมา
นางกวาดสายตา ก่อนจะพบว่าทุกคนกำลังจับจ้องมองมาที่ตนเอง
นางจึงหลุบตาต่ำ ก่อนจะปล่อยให้สาวใช้พยุงร่างมาที่ด้านหน้าพระสนมเต๋อเฟยแล้วทรุดตัวลงไป
“ฮองเฮา หมู่เฟย ฮูหยินหวังตายแล้วเพคะ”
หลินเมิ้งหยาส่งเสียงสั่นเครือราวกับใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีของตนเองไปแล้ว
เสมือนกำลังตกใจและหวาดกลัวเป็นอย่างมาก คนที่ได้มองล้วนรู้สึกเห็นใจ
คิ้วของพระสนมเต๋อเฟยขมวดแน่น คิดไม่ถึงเลยว่าจะเกิดเรื่องเลวร้ายในงานชมดอกเก๊กฮวยเช่นนี้
แล้วแบบนี้นางจะอธิบายกับหวังฮั่นหลินอย่างไร
“ร่างกายเป็นเช่นนั้นไปแล้ว จะให้มีชีวิตอยู่คงยาก แต่เปิ่นกงไม่เข้าใจ เมื่อครู่ฮูหยินหวังมีสภาพเหมือนถูกผีเข้า หรือจวนของเจ้าจะมีผีสิงจริง ๆ?”
น้ำเสียงของฮองเฮาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางจ้องหลินเมิ้งหยาเขม็ง
“เรื่องนี้คงต้องตรวจสอบดูก่อนเพคะ แต่ฮูหยินหวังมิได้ตายเพราะถูกผีสิง เฉินเซี่ยคิดว่านางตายเพราะถูกทำร้ายเพคะ”
แม้น้ำเสียงของหลินเมิ้งหยาจะอ่อนโยนแต่แสดงความมุ่งมั่น
ชิงหูเล่าให้นางฟังว่าเหตุที่ฮูหยินหวังเดินด้วยท่าทางแข็งทื่อ นั่นก็เพราะแขนขาทั้งสี่ถูกมัดเอาไว้
เสมือนหุ่นกระบอกที่กำลังถูกเชิด หากมีใครเข้าใกล้ เชือกบาง ๆ เหล่านั้นก็จะหายไปโดยอัตโนมัติ
แต่เพราะชิงหูเห็นมากับตา เขาไม่มีทางดูผิดอย่างแน่นอน
ทางด้านหลินเมิ้งหยาเองก็วิเคราะห์จากสีเลือด แล้วพบว่าร่างกายของฮูหยินหลินได้รับพิษจากหญ้าเจียงซือเป็นจำนวนมาก
เมื่อใช้หญ้าเจียงซือกับการเชิดหุ่น ดังนั้นร่างกายของฮูหยินหวังจึงแข็งทื่อและขยับร่างกายอย่างผิดปกติ
หากมิใช่เพราะแรงปรารถนาในการเอาชีวิตรอดของฮูหยินหวังที่ดิ้นรนส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ
เกรงว่าป่านนี้นางคงถูกกำจัดในฐานะผีดิบไปแล้ว
แต่หลินเมิ้งหยามิอาจหาหลักฐานยืนยันเรื่องนี้ได้
หากพูดออกไปก็จะเป็นเพียงข้ออ้างในการปัดความรับผิดชอบ
สู้นางรอดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยแก้ปัญหาจะดีกว่า
“ไอหยา พวกเจ้าดูซิ นั่นอะไรน่ะ?”
สายตาของทุกคนหันไปทางต้นเสียง
ผอจื่อที่อยู่ใกล้ที่สุดจู่ๆ ก็รีบเข้าไปในดงดอกไม้แล้วหยิบของบางอย่างออกมา
“นั่นอะไร? เอามาให้เปิ่นกงดูหน่อย”
เพราะฮองเฮาอยู่ที่นี่ ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้าคัดค้าน
ผอจื่อคนนั้นแสดงสีหน้าลังเล แต่ก็นำของชิ้นนั้นวางลงบนผ้าเช็ดหน้าแล้วยื่นให้ฮองเฮา
ของที่เหมือนถุงกระดาษเล็กๆ ถูกวางลงบนโต๊ะเบื้องหน้าฮองเฮา ทุกคนล้วนมองเห็นได้อย่างชัดเจน
นางกำนัลของฮองเฮารีบเข้ามายืนต่อหน้าทุกคนแล้วแกะถุงกระดาษใบนั้นออก
ได้เห็นถุงกระดาษสีแดงถูกฉีกออก ก่อนที่ผงสีขาวจะกระจายออกมา
“นี่มัน….”
สีหน้าของพระสนมเต๋อเฟยขาวซีด หันไปมองหลินเมิ้งหยา เป็นครั้งแรกที่ดวงตาแสดงถึงความกระวนกระวาย
ด้านบนถุงกระดาษใบนั้นยังมีตัวอักษรเขียนเอาไว้ด้วย
หลินเมิ้งหยาคิดจะมองให้ละเอียด แต่กลับได้ยินเสียงโกรธเกรี้ยวของฮองเฮาดังขึ้นมาเสียก่อน
“เข้ามา! จับตัวหลินเมิ้งหยากับหลงเทียนอวี้เอาไว้ คนที่คิดร้ายต่อราชวงศ์จะต้องถูกลงโทษ”
ทุกคนผงะไปเพราะโทษทัณฑ์ที่ถูกประกาศ แม้แต่หลินเมิ้งหยากับพระสนมเต๋อเฟยเองก็เช่นเดียวกัน
ทั้งที่เป็นเพียงฝุ่นผงเล็กน้อยเท่านั้น เหตุใดจึงกลายเป็นการประสงค์ร้ายกับราชวงศ์ไปได้?
“ช้าก่อน ฮองเฮาเพคะ เรื่องนี้เป็นเพียงการคาดเดาเท่านั้น อวี้เอ๋อร์กับเมิ้งหยาเคารพไท่จื่อเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีทางที่พวกเขาจะทำเรื่องเสื่อมทรามเช่นนี้หรอกเพคะ”
พระสนมเต๋อเฟยคุกเข่าต่อหน้าฮองเฮา
“ไม่มีทาง? เจ้าจงมองดูให้ดี บนนี้เขียนวันเกิดของไท่จื่อเอาไว้ หากมิใช่เพราะกำลังวางแผนร้าย แล้วเหตุใดถุงกระดาษสีแดงชิ้นนี้จึงถูกฝังอยู่ในดิน เต๋อเฟย เจ้าอย่าลืมว่าเคยเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับหรงผิน”
หรงผิน? หลินเมิ้งหยากะพริบตาด้วยความสงสัย
แต่หลังจากเห็นสีหน้าซีดเผือดของพระสนมเต๋อเฟย นางพอจะเดาบางอย่างได้
สมัยโบราณ วันเดือนปีเกิดของคนสมัยนั้นเป็นเรื่องสำคัญมาก
ปกติแล้ววันเดือนปีเกิดของคนในราชวงศ์จะถูกบันทึกเอาไว้ ก่อนจะเก็บรักษาเอาไว้ในกล่องผ้าไหมอย่างดี
แม้แต่วันเดือนปีเกิดของพระสนมโฮ้ว?? โฮ่ว เฟยเองก็ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย
ต่อให้คิดจะล้วงข้อมูลเหล่านั้นออกมาก็ไม่อาจทำได้
“ไม่มีทางเพคะ อวี้เอ๋อร์กับเมิ้งหยาเป็นเด็กดี พวกเขาไม่มีทางประสงค์ร้ายกับไท่จื่อ ฮองเฮาได้โปรดพิจารณาด้วย”
น้อยครั้งนักที่พระสนมเต๋อเฟยจะก้มหน้าต่อหน้าฮองเฮา เหตุเพราะทั้งสองต่อสู้กันมาอย่างยาวนาน พระสนมเต๋อเฟยย่อมมีศักดิ์ศรีของตนเอง
แต่เพื่อลูกชายกับลูกสะใภ้ ถึงอย่างไรนางก็ต้องก้มหัวคุกเข่าเพื่อขอร้องฮองเฮา
“ข้ารู้ว่าเจ้ารักลูกของเจ้ามาก แต่ข้าเองก็รักลูกของข้าเช่นเดียวกัน”
ฮองเฮาโกรธมาก ใบหน้าแข็งทื่อ
สมัยโบราณ การสาปแช่งในพระราชวังมีมากมายนับไม่ถ้วน
เมื่อฮ่องเต้องค์ปัจจุบันขึ้นครองราชย์ เพื่อให้ได้รับความรักความเอ็นดู หรงผินจึงใช้ยาเสน่ห์กับฮ่องเต้
แต่น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วก็ล้มเหลว ไทเฮาจึงสั่งฆ่าล้างตระกูล
เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องต้องห้ามในวังหลวง ไม่ว่าใครก็มิกล้าพูดถึง
“ฮองเฮา หากจะฆ่าเฉินเซี่ยก็ย่อมได้ แต่ได้โปรดฟังเฉินเซี่ยอธิบายก่อนเพคะ”
หลินเมิ้งหยากวาดสายตามอง ตอนนี้ทหารรักษาพระองค์ของฮองเฮาเข้ามาปิดล้อมไว้หมดแล้ว
ทว่าป๋ายซูกับชิงหูแฝงตัวอยู่ในวงล้อมด้านในสุด
หากเกิดการต่อสู้ขึ้นมานางจะไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย
แต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่านางเป็นผู้กระทำผิดจริง
นางลุกขึ้นยืนอย่างสงบเยือกเย็น ไร้ซึ่งท่าทางตื่นตระหนก
แต่ใครจะรู้เล่าว่าฝ่ามือของนางชุ่มไปด้วยเหงื่อ
“โอ้? ในเมื่อหลักฐานชัดแจ้งขนาดนี้แล้ว ชายาอวี้ยังมีสิ่งใดจะแก้ตัวอีกหรือ?”
ฮองเฮาส่งเสียงเย็น สีหน้าอาฆาตมาดร้าย
“ฮองเฮาเพคะ แม้ของชิ้นนั้นจะปรากฏขึ้นในสวนของหม่อมฉัน แต่ก็มิได้หมายความว่าของชิ้นนั้นจะเป็นของหม่อมฉันเพคะ”
ในเมื่อเรื่องราวเป็นเช่นนี้แล้ว หลินเมิ้งหยาทำได้เพียงพยายามเอาตัวรอด
“มิใช่ของของเจ้า? ทั้งที่ทุกคนเห็นอยู่กับตา เจ้ายังจะปฏิเสธอีกหรือ!”
หลินเมิ้งหยายืดตัวขึ้น ร่างกายที่เคยซวนเซเมื่อครู่พลันเปลี่ยนไป
สบตากับสายตาคมกริบของฮองเฮาอย่างมิกลัวเกรง เพิกเฉยต่อดวงตาไม่เป็นมิตรของคนทุกผู้
นางรู้ดีว่าหากปล่อยให้เป็นไปตามแผนการของฮองเฮา ไม่เพียงตนเองหรือหลงเทียนอวี้ แม้แต่บ้านสกุลหลินเองก็คงถูกทำลายจนหมดสิ้น
“หากทุกสิ่งทุกอย่างในสวนแห่งนี้ล้วนเป็นของของเฉินเซี่ย เช่นนั้นทุกคนที่อยู่ที่นี่ก็ต้องถอดแก้วแหวนเงินทองทั้งหมดทิ้งเอาไว้จึงจะกลับไปได้”
แม้คำพูดของหลินเมิ้งหยาจะฟังดูไร้สาระ แต่ในความเป็นจริง นางกำลังยอกย้อนคำพูดของฮองเฮา
เบี่ยงเบนความสนใจของฮองเฮา เพื่อประโยชน์ของตนเอง
หลังจากหลินเมิ้งหยาพูดจบ รอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้าของคนจำนวนมาก
ฮองเฮากวาดสายตาเย็นชาจ้องหน้าคนเหล่านั้นโดยไม่พูดอะไร
หลินเมิ้งหยารู้ การจะจูงจมูกฮองเฮาเดินมิใช่เรื่องง่าย
แขนสีขาวดุจหิมะยกขึ้นจับผงละอองบนโต๊ะของฮองเฮา
เรดาร์ในสมองพลันปรากฏชื่อส่วนประกอบของวัตถุชนิดนี้
ดูเหมือนมันจะเป็นเขี้ยวของอะไรบางอย่าง
นางหยิบกระดาษแผ่นนั้นขึ้นพลิกดูให้ละเอียด
ผงจูซาหรือผงชาด เมื่อได้ลองสัมผัส เรดาร์ในสมองจึงเริ่มวิเคราะห์
มองขึ้นๆ ลงๆ มันเป็นเพียงกระดาษสีเหลืองธรรมดาเท่านั้น
ดังนั้นแผนการบางอย่างจึงปรากฏขึ้นในใจ
“ฮองเฮา เฉินเซี่ยถูกใส่ร้าย หลักฐานคือกระดาษแผ่นนี้เพคะ”
คำพูดของหลินเมิ้งหยาทำให้ทุกคนตกตะลึง
สีหน้าของฮองเฮายังคงเย็นชาดังเดิม ทว่าสายตากลับยิ่งเย็นชามากขึ้น
“กระดาษแผ่นนี้เป็นเพียงกระดาษธรรมดา เชิญทุกคนดูได้เลย”
หลินเมิ้งหยาเอื้อมมือเข้าไปหยิบแก้วชาที่เย็นแล้วบนโต๊ะ
เพียงนำนิ้วมือจุ่มน้ำและจับกระดาษ กระดาษแผ่นนั้นพลันอ่อนยวบ
พระสนมเต๋อเฟยไม่รู้ว่านางต้องการทำอะไร คนส่วนใหญ่เองก็เช่นกัน
มีเพียงเจ้าของดวงตาคู่หนึ่งซึ่งยืนอยู่ด้านหน้าประตูเท่านั้นที่เข้าใจว่านางกำลังจะทำอะไร
ช่างเป็นผู้หญิงที่ฉลาดเหลือเกิน หัวใจที่กำลังกระวนกระวายของหลงเทียนอวี้พลันสงบนิ่งลง
ฝีเท้ามิได้เร่งรีบเหมือนเคย กลับกันเขายืนอยู่หน้าประตูพลางลอบมองหลินเมิ้งหยาที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ท่ามกลางผู้คน
“ฮึ นี่จะเป็นหลักฐานได้อย่างไร? หรือกระดาษสีเหลืองแผ่นนี้จะทำให้เจ้าเอาตัวรอดจากความผิดได้อย่างนั้นหรือ?”
หมิงเยว่ที่มิรู้ว่าปรากฏตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อใดโผล่ขึ้นมายืนข้างกายฮองเฮา
นางมองดูการกระทำของหลินเมิ้งหยาแล้วถามด้วยน้ำเสียงดูแคลน
“องค์หญิงหมิงเยว่ชอบความอึกทึกเหลือเกิน ไม่ว่ามีเรื่องที่ใด ก็มักปรากฏตัวที่นั่น”
หลินเมิ้งหยาจิกกัดโดยไม่ไว้หน้า หากนางยังดูไม่ออก ก็นับว่านางโง่เกินเยียวยาแล้ว
แต่ตอนนี้สิ่งที่ตนเองต้องทำคือการเอาตัวรอดจากความผิด
“เชิญทุกคนดูให้ดี อย่าว่าแต่ถูกไฟเผาเลย ขนาดมือที่เปื้อนน้ำของข้าแตะลงไป กระดาษแผ่นนี้ยังยุ่ยเสียยิ่งกว่าอะไรดี ตรองดูเถิด เพื่องานชมดอกเก๊กฮวยในวันนี้แล้ว เมื่อคืนข้าสั่งให้ทาสในจวนรดน้ำพื้นดินจนเปียกชื้น แม้ผิวของดินจะแห้งแล้ว ทว่าดินชั้นในยังเปียกอยู่”