ตอนที่ 259 เธออย่ามาอ่อยฉัน
เธอขยิบตาให้ฉีเซิงเทียน หวังว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเขาจะเก็บเป็นความลับ แต่เมื่อฉีเซิงเทียนมองเห็นสายตาของเธอ เขากลับเอ่ยปากขึ้นมาทันที “พี่สะใภ้ พี่อย่ามาอ่อยฉันนะ พี่เฉินจะฆ่าฉันเอาได้นะ!”
ผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านข้างหันมามองเธอ ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความโกรธและไม่พอใจ เธอถึงกับพูดไม่ออก
“พี่เฉิน พี่ต้องเชื่อฉันนะ พี่สะใภ้ของเราเป็นผู้บริสุทธิ์” ฉีเซิงเทียนรีบแสดงตัวตนขึ้นมาทันทีโดยไม่ได้มองสายตาของอันโหรวเลย
อันโหรวหมดหนทาง ก่อนจะนั่งลงด้านข้างจิ่งเป่ยเฉิน “ฉันกับเขาเป็นผู้บริสุทธิ์จริง ๆ กินข้าวกันเถอะ!”
“พี่เฉิน พี่สะใภ้สุดยอดไปเลย เมื่อคืนได้ความรู้ใหม่เกี่ยวกับผู้หญิงมาด้วย!” ฉีเซิงเทียนมองจิ่งเป่ยเฉินอย่างตื่นเต้น คิดอยากจะพูดเรื่องเมื่อคืนขึ้นมาเป็นน้ำจิ้มสักหนึ่งรอบ
“เมื่อคืนพวกเราไม่ได้ทำอะไรเลยนะ ฉีเซิงเทียนอย่ามาใส่ร้ายความบริสุทธิ์ของฉันนะ” อันโหรวพูดตัดบทขึ้นมา เธอบอกเป็นนัยขึ้นมาแบบนี้ก็ถือว่าชัดเจนแล้วไม่ใช่เหรอ?
แต่ฉีเซิงเทียนกลับไม่ได้สนใจเธอ เมื่อคืนตอนที่เขานอนก็นึกคิดว่าประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมาของอันโหรวที่จู่ ๆ ก็ลงมืออย่างหนัก!
จิ่งเป่ยเฉินกลับดูสนใจขึ้นมาเป็นอย่างมาก เขาเหลือบมองเธอและพูดอย่างแผ่วเบาว่า “บอกฉันที”
“เมื่อคืนพี่สะใภ้ถือมีดปอกผลไม้ด้วยนะ ฉันยังไม่ทันได้ตั้งตัวก็ปักเข้าไปตรงกลางมือของเหลียวเว่ย เลือดนี่ไหลพุ่งกระฉูดใส่ฉันทันทีเลย แล้วยังให้ฉันช่วยแก้แค้นอีกต่างหาก! เพราะงั้นยอมทำโทษสุภาพบุรุษอย่างฉันดีกว่าทำโทษคุณผู้หญิงนะ!” พวกเขานั่งอยู่ด้านในห้องรับรองส่วนตัว ดังนั้นฉีเซิงเทียนจึงพูดขึ้นมาด้วยเสียงที่ดังเพราะไม่มีใครสามารถได้ยินสิ่งที่เขาพูด
และเสียงที่ดังกึกก้องในห้องรับแขกนั้น ทุกคำที่เปล่งออกมานั้นอันโหรวก็ได้ยินทุกคำอย่างชัดเจน
เธอรู้สึกว่าสายตาของคนข้าง ๆ เริ่มมองมาที่เธอด้วยสายตาที่ร้อนรน เธอหยิบแก้วนมขึ้นมาดื่มต่อ ฉีเซิงเทียนยังบอกอีกว่าเธอให้เขาจับมือไว้ยังไง มีดที่ปักลงไปครั้งที่สอง เธอยั่วโมโหเหลียวเว่ยยังไง จนกระทั่งเดินออกไปอีกด้วย
เมื่อคืนเธอรู้สึกโมโหมากจริง ๆ ราวกับสุนัขที่กระโดดข้ามกำแพง ยิ่งไปกว่านั้นคือคน
“พี่เฉิน คุ้มกับที่พี่บาดเจ็บอยู่นะ!” ฉีเซิงเทียนพูดสรุป
“คุ้มค่ากับผีสิ! ในฤดูหนาวแบบนี้เกล็ดเลือดจับตัวกันช้ากว่าเดิม อาการบาดเจ็บไม่เป็นที่น่าพอใจสักนิด ไม่คุ้มค่าหรอกนะ” เธอพูดอย่างไม่สบอารมณ์และหันไปมองสายตาของจิ่งเป่ยเฉิน ก่อนจะเอ่ยว่า “มองอะไรเล่า ไม่กินข้าวเช้าจะหายได้ยังไง?”
“ป้อนฉันสิ”
อันโหรวชะงักขึ้นมาทันที ก่อนจะจ้องไปที่ริมฝีปากสีชมพูของเขาและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา นี่เธอพูดดีกับเขาเกินไปหรือเปล่า?
เธอยกแก้วนมขึ้นมาให้เขาตรงหน้า “ใช้มือซ้ายถือไว้”
“สิบนิ้วเจ็บไปถึงหัวใจ” จิ่งเป่ยเฉินหลอกเธออย่างเคร่งขรึม มือทั้งสองข้างไม่มีวี่แววว่าจะยกขึ้นมา
เธอจึงยอมจำนน เห็นแก่มีคนนอกอยู่ตรงหน้า
เธอยกแก้วนมป้อนถึงปากของเขา ครั้งนี้เขาให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ดื่มนมจนหมดแก้ว
จู่ ๆ ก็รู้สึกเหมือนกำลังให้อาหารสุนัขหมาป่า เขาที่ดูเชื่อฟังมาที่นี่เพื่อรายงานแน่ ๆ
ทำไมถึงได้กลายเป็นแบบนี้กันนะ?
“ปล่อยเหลียวเว่ยไปเถอะ!” ทันใดนั้นอันโหรวก็พูดขึ้น
“ทำไม? เธอทรมานพอแล้ว?” ฉีเซิงเทียนพูดจบก็รู้สึกได้ถึงสายตาที่เย็นชาของทั้งคู่ที่จับจ้องมาที่เขา “เธอฆ่าลูกของเธอจริงเหรอ?”
สายตาทั้งคู่เย็นชาอีกแล้ว
วันนี้เขากลายเป็นอาชญากรหรือยังไง? พูดอะไรก็ผิดไปหมด!
“หรือว่าจะเป็นลูกสาว?” ครั้งนี้เขาไม่น่าพูดผิดหรอกมั้ง
อันโหรวที่กำลังปอกเปลือกไข่ต้มอยู่ก็เงยหน้าขึ้นมามองเขา “ในสายตานายฉันดูโหดเหี้ยมมากเลยงั้นเหรอ?”
“ใช่ ไม่ใช่แค่โหดเหี้ยม แถมยังนองเลือดอีก” เมื่อคืนเขาเห็นมากับตาตัวเอง ไม่ใช่เรื่องหลอกลวงแน่
“ขอบคุณสำหรับคำชม แต่ฉันเป็นแม่คนนะ ฉันไม่ทำร้ายคนที่ท้องอยู่หรอก ลูกของเธอ ฉันไม่ได้เป็นคนฆ่า” เธอพูดเน้นคำว่า ‘ลูก’ เพื่อเน้นย้ำเตือนสติฉีเซิงเทียนว่าเขาพูดผิด
“ฉันก็รู้สึกว่ามันไม่ใช่ การฆ่าลูกของเธอมันวุ่นวาย ฆ่าเธอเลยจะง่ายกว่า!” ฉีเซิงเทียนมองไปที่พวกเขาอย่างมีความสุข ใบหน้าของพี่เฉินตอนนี้ดูไม่ได้เลยนะ!
มรสุมโหมกระหน่ำจริง ๆ
“ฉันเพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องสำคัญอีกมากที่ยังไม่ได้ทำ!” เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้และเดินออกไปจากห้องรับรับรองทันที เมื่อฉีเซิงเทียนเดินออกไป อันโหรวจึงพูดขึ้นว่า “ที่รัก ฉันผิดไปแล้ว ครั้งหน้าจะไม่ทำอะไรตามอำเภอใจอีก”
“แล้วยังไงอีก?”
อะไรอีกเหรอ?
“ไม่ควรไปกับฉีเซิงเทียนด้วยหรือเปล่า?”
“ฉันสาบานว่าฉันไม่ได้อ่อยเขานะ เมื่อกี้ก็แค่ขยิบตาบอกเขาว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับนายเท่านั้นเอง ใครจะไปรู้ว่าผู้ชายคนนั้นจะไม่เข้าใจเอาซะเลย!” ไม่คิดว่าเขาจะมองสายตาของเธอไม่ออก
คงไม่สามารถมองสายตาของเธอได้ แต่การขยิบตาของจิ่งเป่ยเฉินนั้นแม่นยำมาก
รู้ว่าเขาโกรธจึงรีบวิ่งหนีไปทันที เหลือแค่พวกเขาเพียงลำพัง
“ฉันไม่ได้โกรธ แต่รู้สึกซาบซึ้ง และ……” เขาขยับเข้าไปใกล้หูของเธอ “มีความสุข”
มีความสุขอะไร?
เธอไม่เข้าใจ!
ดีใจที่จากนี้เธอไม่ต้องแต่งหน้าแบบนั้นอีก เธอไม่ต้องยืนข้างเขาด้วยชื่ออื่นที่ไม่ใช่เธอ เธอคืออันโหรว ภรรยาของเขาคือผู้หญิงที่เขารักที่สุด
เธอสามารถใช้ชีวิตอย่างไรก็ได้โดยไม่ต้องปลอมตัว การเสแสร้งแกล้งทำแบบนั้นไม่ต้องทำมันอีกแล้ว
เมื่อก่อนเคารพความคิดเห็นของเธอ และหลังจากนี้จะเชื่อฟังเขา
“นายนี่ดูท่าทางมีความสุขมากเลยนะ” แต่เธอกลับไม่ได้รู้สึกแบบนั้น เธอหยิบไข่ต้มที่เพิ่งปอกเปลือกมาป้อนให้เขา หมาป่าตรงหน้ากัดไปหนึ่งคำ
“มือของฉันไม่ได้เป็นอะไรแล้ว อีกไม่นานก็สามารถกลับมาใช้งานได้ปกติ ไม่ต้องห่วง”
“ใครเป็นห่วงนายกัน!” เธอเหลือบมองเขาและกินอาหารเช้าต่อ
เธอเป็นห่วงตระกูลอัน เมื่อก่อนตระกูลอันมีประวัติที่ไม่ดีอาจจะถูกหยิบยกขึ้นมาอีกครั้ง แม้จะเป็นห่วงมือของเขาด้วยก็ตาม
ผู้หญิงมักจะปากไม่ตรงกับใจ เธอต้องเป็นห่วงเขาอยู่แล้ว
จิ่งเป่ยเฉินมองเธอโดยไม่ได้กินข้าวและก็ไม่รู้สึกหิว เธอดูน่าอร่อยกว่า สวยกว่า อยากกินเธอต้องทำยังไง?
ทั้งสองคนเดินทางออกจากโรงแรมเพื่อกลับบ้าน หยางหยางและหน่วนหน่วนเดินออกมาจากประตู คนรับใช้ที่อยู่ด้านหลังก็คอยเตือนเด็ก ๆ ทั้งสองคนให้ระมัดระวัง เพราะอาจจะหกล้มเอาได้
อันโหรวเห็นลูก ๆ ทั้งสองคนเดินออกมาข้างนอกที่อากาศค่อนข้างหนาวเย็น ใครจะมีเวลามากเหมือนจิ่งเป่ยเฉิน เธอรีบลงจากรถทันที
“หยางหยาง หน่วนหน่วน เดินเข้ามาข้างใน” ภายในบ้านมีเครื่องทำความร้อน ใส่เสื้อตัวเดียวยังจะกล้าเดินออกไปข้างนอก
เธอมองคนรับใช้ที่หยิบเสื้อมาใส่ให้หน่วนหน่วนและหยางหยาง เธอเองก็ยังรู้สึกเป็นห่วงจึงได้รีบเดินเข้าไป
“แม่จ๋า!” เสียงของลูก ๆ ดังขึ้น
“ไงคะ เข้ามาข้างในก่อน” เธอยกมือและพูดขึ้น ก่อนจะมองจิ่งเป่ยเฉินที่หน้าตาบูดบึ้งขึ้นมาทันที
“แม่จ๋าไม่เป็นอะไรใช่ไหม?” หยางหยางมองเธออย่างเป็นกังวล เมื่อคืนนอนหลับไปก่อน วันนี้ตอนเช้าจึงเพิ่งเห็นข่าว
“แม่จ๋าไม่เป็นอะไร แต่พ่อมีเรื่องนิดหน่อย” เธอย่อตัวลง สายตาเหลือบมองจิ่งเป่ยเฉินที่เดินเข้ามา “รีบไปปลอบพ่อจ๋าเร็ว”
เมื่อหน่วนหน่วนได้ยินอย่างนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปมองจิ่งเป่ยเฉิน ดวงตากลมโตมองไปที่ตัวของเขาเมื่อเห็นมือที่พันผ้าเอาไว้ก็ตื่นตระหนกขึ้นมา “พ่อจ๋า เป่า เป่า ๆ แล้วจะไม่เจ็บนะคะ!”
จิ่งเป่ยเฉินย่อตัวลง ใบหน้าที่บึ้งตึงกลับเผยรอยยิ้มขึ้นมา ยื่นมือที่มีผ้าพันแผลไปตรงหน้าเธอ
“ฟู่ ฟู่ ….” หน่วนหน่วนเป่าลมอย่างตั้งใจ ก่อนจะเงยหน้ามองเขาอย่างสั่นสะท้าน “พ่อจ๋าครั้งหน้าต้องระวังนะ!”