“พี่รั่วปิง ฉันได้ยินเฉิงซีบอกว่า ตอนนั้นคุณหนานกงอยากจะลองใจพี่ อยากรู้ว่าพี่รักเขาหรือรึเปล่า ดังนั้นเขาก็เลยสั่งให้อวี้ไป่หันจ้างผู้หญิงมาแสดงละครตบตา แต่คุณอวี้หลานซีเป็นคนไปขอร้องคุณอวี้ไป่หัน ให้เธอเป็นผู้หญิงที่อยู่ใต้ผ้าคลุมโดยปิดบังคุณหนานกงเอาไว้”
เหลิ่งรั่วปิงเงียบอยู่นาน เธอก้มหน้าลง มองดูน้ำที่ไหลออกมาจากก๊อกน้ำ รินไหลลงมาทีละนิดๆ
เธอนึกขึ้นได้แล้ว ก่อนจะเกิดเรื่องในวันนั้น เขาโมโหมาก ถามเธอว่าสรุปแล้วเธอรักเขาหรือเปล่า มีคืนหนึ่งเขาดื่มหนักจนขับรถชน ทั้งยังอ้อนวอนขอร้องให้เธอรักเขา ตอนนั้น เขาต้องการความรักจากเธอมากขนาดนั้นเชียวลยหรือ พอไม่ได้รับคำตอบจากเธอคงจึงอยากจะหาผู้หญิงคนอื่นมาเป็นเครื่องมือเพื่อบีบให้เธอยอมรับว่ารักเขา
เหลิ่งรั่วปิงสมมุติขึ้น ถ้าผู้หญิงที่อยู่ภายใต้ผ้าคลุมในวันนั้นไม่ใช่อวี้หลานซี เธอจะยอมยกโทษให้เขาไหม แต่คำตอบก็คือไม่ เธอเป็นผู้หญิงใจแคบ เธอไม่สามารถอดทนกับความอับอายในครั้งนั้นไม่ได้
หนานกงเยี่ยบอกว่าเขาในตอนนั้นไม่รู้จักความรัก ตอนที่ความรักกำลังเดินเข้ามาในชีวิต เขาทำผิดพลาดไป ความเป็นจริงเธอเองก็ไม่รู้จักความรัก ตอนที่ความรักเข้ามาในชีวิต เธอเองก็มัวแต่ลังเล ไม่ยอมรู้ใจตัวนเองสักที เธอเองก็มีส่วนผิด เธอเป็นคนทำให้หนานกงเยี่ยหมดความอดทน
พูดได้ว่า พวกเขาพลาดกันและกันไปแล้ว
ความรักครั้งนี้พลาดไปแล้วก็คือพลาดไปแล้ว ไม่มีโอกาสหวนในการหันย้อนกลับมาอีกแล้วไป ตอนนี้เธอเป็นคู่หมั้นของไซ่ตี้จวิ้น เขาไม่เคยทำให้เธอเสียใจมาก่อน ในทางกลับกันเขาทำทุกอย่างเพื่อรักและปกป้องเธอ เธอไม่มีเหตุผลในการทำร้ายจิตใจเขา เธอต้องรับผิดชอบต่อความรักของไซ่ตี้จวิ้น การหมั้นหมายในครั้งนี้กำหนดให้เธอไม่สามารถหันย้อนกลับมาหาหนานกงเยี่ยไม่ได้แล้ว อีกทั้งความอับอายในวันนั้นเป็นจุดจบของความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับหนานกงเยี่ยไปแล้ว
“พี่รั่วปิง คุณหนานกงไม่เคยหยุดตามหาพี่เลยนะคะ ฉันรู้สึกว่าครั้งนี้เขาพาพี่ที่เป็นฉู่หนิงซยากลับมา ดูมีความสุขขึ้นมาก ฉันเดาว่าเขาคงหาผู้หญิงมาเป็นตัวแทนพี่ชั่วคราว”
เหลิ่งรั่วปิงถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดขึ้น ”ในเมื่อเขาเห็นพี่เป็นตัวแทนของเหลิ่งรั่วปิง ก็ปล่อยให้เขาคิดแบบนั้นไป ถึงยังไงพี่ก็ไม่อยู่ที่นี่นานอยู่แล้ว”
“พี่อยู่ที่นี่ต่อไม่ได้เหรอคะ ฉันได้ยินเฉิงซีบอกว่า คุณหนานกงเยี่ยเคยพูดว่า ถ้าหาพี่เจอเมื่อไหร่เขาจะแต่งงานกับพี่”
แต่งงานกับฉัน?
หึ!
น่าเสียดาย คำสัญญานี้ของเขามันสายเกินไปแล้ว
“เวินอี๋ เรื่องบางเรื่องมันผ่านไปแล้ว พี่ไม่อยากกลับไปอีก ถึงแม้ผู้หญิงที่อยู่ใต้ผ้าคลุมในวันนั้นไม่ใช่อวี้หลานซี แต่เป็นผู้หญิงที่หนานกงเยี่ยหามาเพื่อแสดงละครตบตา อันที่จริงสำหรับพี่มันไม่แตกต่างกันมาก พี่ไม่สามารถทนไม่ได้แม้จะเป็นแค่เรื่องเล็กน้อย ความอับอายในวันนั้นกำหนดให้พี่กับคุณหนานกงเดินคนละทาง”
“พี่รั่วปิง…”
“พอแล้วเวินอี๋ เราอย่าพูดเรื่องนี้กันเลย สำหรับพี่คุณหนานกงเยี่ยเป็นแค่อดีตเท่านั้น หลังจากออกแบบแลนด์มาร์คเมืองหลงเสร็จ พี่ก็จะบินกลับประเทศเอ้าตู แต่งงานกับคุณไซ่ตี้จวิ้น”
เวินอี๋เงียบไปหลายวินาที จากนั้นถอนหายใจ ”ค่ะ ขอแค่พี่มีความสุขก็พอแล้ว” แต่ว่า เธอก็ยังรู้สึกว่าการที่เหลิ่งรั่วปิงไม่ได้รักกับคุณหนานกงเยี่ย เป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก
“ไม่พูดเรื่องของพี่แล้ว เราล่ะล้ะ ทำไมมู่เฉิงซีถึงยังไม่แต่งงานกับเธออีก” ตอนนั้นมู่เฉิงซีคุกเข่าขอแต่งงาน แต่ทำไมผ่านมานานขนาดนี้แล้ว ถึงยังไม่แต่งงานกันอีก
สีหน้าของเวินอี๋เคร่งขรึมขึ้นมาก เธอถอนหายใจเบาๆ ”เขามีแรงกดดันสูงค่ะ ปู่และพ่อของคุณเฉิงซีไม่เห็นด้วย ทุกครั้งที่เจอกันก็จะเอาแต่ทุบตีคุณเฉิงซี พ่อของเขาถึงขั้นชักปืนออกมาตั้งหลายรอบเลยค่ะ ส่วนแม่ของเขาก็ยกความตายมาบีบบังคับ บอกว่าถ้าคุณเฉิงซีแต่งงานกับฉัน ท่านจะกระโดดตึกฆ่าตัวตาย คุณเฉิงซีเองก็ไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ดังนั้น ก็ทำได้แค่รอดูต่อไปค่ะ เขาบอกว่าจะพยายามเกลี้ยกล่อมคนในครอบครัว”
นอกจากถอนหายใจ เหลิ่งรั่วปิงก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้ เวินอี๋เลือกที่จะรักมู่เฉิงซี ไม่ว่ายังไงเธอก็ต้องเดินเส้นทางนี้ ไม่มีใครสามารถช่วยเธอได้
เหลิ่งรั่วปิงกลับไปที่ห้องวีไอพีอีกครั้ง พวกผู้ชายพากันเงียบทันที อวี้ไป่หันหันมายิ้มให้เธอด้วยความเอาอกเอาใจ ”คุณหนิงซยาครับ คุณรังเกียจอาหารในไนท์คลับเฟิ่งหวงไถของผมว่าไม่ดี ผมเลยสั่งให้คนไปสั่งอาหารจากภัตตาคารมาให้คุณแล้ว มาครับ นั่งลงกินอะไรสักนิดหน่อยเถอะครับ”
ตอนนี้เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกว่า ที่หนานกงเยี่ยดีกับฉู่หนิงซยามากขนาดนี้ เป็นเพราะเห็นเธอเป็นตัวแทนของเหลิ่งรั่วปิงจึงอยากทำอะไรเพื่อชดเชยความรู้สึกผิด ส่วนที่พวกเพื่อนๆ ของเขาทำดีกับเธอ เป็นเพราะต้องการปลอบใจหนานกงเยี่ย แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ถึงยังไงเธอก็อยู่ที่เมืองหลงไม่นาน ถ้าอย่างนั้นเธอก็จะช่วยปลอบใจเขาอีกคนก็แล้วกัน
ด้วยเหตุนี้ เหลิ่งรั่วปิงจึงลดความเย็นชาของเธอลง ถึงแม้เธอจะยังคงไม่ยิ้ม แต่มองดูแล้วอ่อนโยนขึ้นมา เหลิ่งรั่วปิงนั่งลงอย่างมีสง่า หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วกินอาหาร หนานกงเยี่ยเห็นแบบนั้น จึบรีบตักอาหารให้เธอ มองเธอคีบอาหารที่เขาตักให้เข้าปาก เขารู้สึกสบายใจมาก
เมื่อเห็นรังสีพิฆาตในตัวเหลิ่งรั่วปิงหายไป พวกเขาแต่ละคนก็โล่งใจ มองไปที่หนานกงเยี่ยอีกครั้ง เขาไม่มีความเผด็จการและสูงศักดิ์อีกแล้ว เวลานี้เขากลายเป็นเด็กรับใช้ไปแล้ว
เมื่อเห็นเหลิ่งรั่วปิงกินไปพอประมาณ หนานกงเยี่ยก้มหน้าลงถามเธอเสียงเบา ”กินอิ่มหรือรึยังครับ”
“อิ่มแล้วค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงดึงทิชชู่ขึ้นมาแล้วเช็ดริมฝีปาก
“พวกเราไปกันเถอะ” หนานกงเยี่ยเอี้ยวตัวไปหยิบเสื้อกันหนาวและผ้าพันคอของเหลิ่งรั่วปิง จากนั้นช่วยเธอสวม แล้วรีบใส่เสื้อกันหนาวของตนเองให้เข้าที่ พาเธอออกไปจากที่นี่ด้วยความรีบร้อน เขากลัวว่าเหลิ่งรั่วปิงจะเผลอไปเห็นอะไรที่ทำให้เธอนึกถึงเรื่องวันนั้น แล้วจะหงุดหงิด ชักสีหน้าใส่ห้เขา
ระหว่างทางกลับคอนโดมิเนียม ถึงแม้เหลิ่งรั่วปิงจะเงียบตลอดทาง แต่รังสีที่แผ่ออกมาจากตัวเธออ่อนโยนกว่าเดิมมาก ความเกลียดชังและเหินห่างก่อนหน้านี้จางลงไปมาก ทำให้หนานกงเยี่ยดีใจเป็นพิเศษ ภาพในหัวของเหลิ่งรั่วปิงฉายขึ้นมา เป็นภาพตอนที่เขาเลือดอาบตัวเพราะถูกเธอทำร้ายบนทางด่วน เธอทำร้ายเขาขนาดนั้น แต่เขากลับยังคงตามหาเธอ สิ่งที่เธอทำมันเกินไปจริงๆ หรือ
หนานกงเยี่ยหันมามองผู้หญิงที่กำลังอยู่ในภวังค์ความคิดของตนเอง สีหน้าของเหลิ่งรั่วปิงนิ่งมาก เธองดงาม เหมือนนางฟ้าที่อยู่ใต้แสงจันทร์ เขาไม่อาจทำใจรบกวนเธอ
ตอนที่รถขับไปถึงใต้คอนโดมิเนียม หนานกงเยี่ยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ”เดี๋ยวผมไปส่งคุณข้างขึ้นไปด้านบน”
เหลิ่งรั่วปิงเหมือนตื่นจากฝัน เธอมองไปยังไฟบนท้องถนนผ่านกระจกรถ พูดขึ้นเสียงเรียบ ”ไม่เป็นไรค่ะ ตอนนี้ดึกมากแล้ว” เงียบไปสองวินาที จากนั้นพูดขึ้น แววตาของเธอฉายความปวดใจ ”คุณหนานกง บางครั้งคนเราก็ต้องเรียนรู้ที่จะลืมนะคะ ทางที่เคยเดิน ไม่ว่ามันจะดีหรือไม่ดี เสียใจหรือดีใจ สุดท้ายเราก็ไม่มีความจำเป็นต้องกลับไปเดินซ้ำอีกรอบ เทียบกับการหาใครสักคนมาแทนที่เพื่อปลอบใจตนเอง สู้ลองตัดใจไม่ดีกว่าเหรอคะ”
มือของหนานกงเยี่ยที่จับพวงมาลัยเอาไว้บีบแน่น เส้นประสาทตรงหน้าผากของเขา ปูดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ส่วนลึกในหัวใจของเขากลายเป็นทะเลสาบน้ำแข็งพันปี ด้านบนมีรอยร้าว เจ็บปวด เป็นความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุดในตอนนี้คือความเจ็บปวด
ตอนนี้เขาพอจะเดาได้แล้ว เวินอี๋พูดอะไรกับเหลิ่งรั่วปิง ส่วนเธอเองก็เข้าใจทุกอย่าง เธอไม่เกลียดเขาแล้ว แต่เธอไม่ต้องการกลับมาหาเขาอีก ความสัมพันธ์ของเธอและเขาจบไปแล้ว
น้ำเสียงของเธอเยือกเย็น เหมือนน้ำทะเลแห้งเหือด วันเวลาผ่านไปทำให้เกิดรอยร้าว ไร้ซึ่งความรักและความแค้น หายใจอย่างนิ่งสงบ คลี่ยิ้มบางๆ
เขาไม่ต้องการให้เธอเป็นแบบนี้ เขาอยากให้เธอเกลียดเขามากกว่า!
เกลียด ดีกว่าลืม
“คุณฉู่หนิงซยา คุณเคยรักใครสักคนมากๆ ไหม” ถึงแม้ตอนนั้นเธอจะยกหัวใจของเธอให้เขา แต่เขารู้ เธอไม่ได้รักเขาสุดหัวใจ ความรักที่เธอมีต่อเขามันเทียบไม่ได้กับความรักที่เขามีต่อเธอ ดังนั้นหลังจากเลิกกัน เธอจึงมีชีวิตอย่างมีความสุข แต่เขากลับทุกข์ทรมาน
หนานกงเยี่ยยิ้มเศร้า ”ผมรักเธอคนนั้นมาก รักจนสุดหัวใจ รักจนจิตวิญญาณของผมเจ็บปวด ถ้าไม่มีเธอผมต้องตายแน่ๆ แต่น่าเสียดายกว่าผมจะรู้ตัวมันก็สายไปแล้ว ผมทำผิดครั้งยิ่งใหญ่ จนทำให้ต้องเสียเธอไป แต่ผมไม่มีวันปล่อยมือไปจากเธอ ผมจะตามหาเธอให้เจอ ผมไม่ต้องการที่จะกลับไปใช้ชีวิตแบบเดิม ผมจะสร้างเส้นทางความรักใหม่กับเธอ ผมจะแต่งงาน สร้างครอบครัว ความรักของผม มีให้เธอแค่คนเดียว”
หนานกงเยี่ยเชยคางเหลิ่งรั่วปิง ”คุณฉู่หนิงซยา ต่อให้คุณเป็นแค่ตัวแทนของเธอ ตลอดระยะเวลาที่อยู่เมืองหลง ช่วยดื่มด่ำกับความรักที่ผมมีให้ได้ไหม ผมไม่ได้คิดจะอะไรคุณ หื้ม?” ดวงตาสีดำสนิทมีประกายเล็กน้อย ”อย่ามองผมด้วยแววตาเหินห่างแบบนี้อีก คุณโกรธผมได้ ดื้อกับผมได้ หรือต่อให้คุณพังเมืองหลงทั้งเมือง ผมก็ไม่มีวันโทษคุณ แต่คุณอย่าทำเหมือนไม่มีความรู้สึกแบบนี้ ได้ไหมครับ”
แววตาหนักอึ้งของหนานกงเยี่ยกดทับศีรษะของเธอ กดทับลงมาจนทำให้เธอหนักอึ้ง ”คุณหนานกง ฉันคือฉู่หนิงซยา ไม่ใช่เหลิ่งรั่วปิง ฉันไม่มีเหตุผลต้องยอมรับความรักของคุณ” กระดิกนิ้วที่สวมแหวนบนนิ้วมือข้างซ้าย ”ฉันหมั้นแล้ว หลังจากกลับจากเมืองหลง ฉันต้องรับผิดชอบกับงานหมั้นในครั้งนี้ ดังนั้นฉันไม่อาจสามารถเป็นตัวแทนผู้หญิงคนนั้นได้ คุณน่าสงสารมาก แต่คนที่ควรจะสงสารคุณไม่ควรเป็นฉัน”
หนานกงเยี่ยมองดูใบหน้าที่ไม่คุ้นเคยของเธอเงียบๆ นัยน์ต์ตาของเขามีน้ำใสคลอเบ้า ถ้าบนโลกนี้มีเส้นทางที่ทำให้เขาเดินเข้าไปในใจของเธออีกครั้ง ต่อให้ต้องแลกด้วยชีวิตเขาก็ยอม!
เขาพูดแล้ว ไม่เธอก็เขาก็คงต้องตาย ดังนั้นจะให้เขายอมปล่อยมือจากเธอได้อย่างไรยังไง ถึงแม้ตอนนี้เธอจะปิดประตูหัวใจอย่างแน่นหนา แต่เขามีความอดทนมากพอที่จะทำให้เธอยอมเปิดมันอีกครั้ง ใช้เวลาทั้งชีวิตในการรอ พอไหม
หลังจากผ่านไปนานครู่หนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาใต้แสงไฟ ค่อยๆ ขยับไปไกล ราวกับหมึกหยดลงไปในน้ำใส รอยยิ้มของเขาอ่อนโยน มั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง ”คุณอยากจะทำอะไรก็แล้วแต่คุณ อย่ากดดันตัวเองมาก และไม่ต้องโกรธ ผมไม่มีวันบีบบังคับให้คุณทำอะไรทั้งนั้น หื้ม?” นิ้วเรียวยาวคล้องผมเธอขึ้นทัดหู ”ขึ้นไปนอนพักเถอะครับ พรุ่งนี้เช้าผมมารับคุณไปทำงาน”
เวลานี้เหลิ่งรั่วปิงเริ่มแยกไม่ออก เธอไม่รู้ว่าตนเองคือเหลิ่งรั่วปิงหรือว่าฉู่หนิงซยา ตอนที่มือของเขาแตะที่แก้มของเธอ ความรู้สึกคุ้นเคยนั้นทำให้เธอคิดถึงสัมผัสอบอุ่นของเขา มันปลุกความทรงจำที่อยู่ส่วนลึกในใจของเธอ ความเป็นจริงพวกเขามีช่วงเวลาดีๆ ด้วยกันมากมาย แต่ตอนที่เธอเหลือบไปเห็นแหวนที่สวมบนนิ้วกลางข้างซ้าย เธอก็รู้ว่าตนเองคือฉู่หนิงซยา เป็นคู่หมั้นของไซ่ตี้จวิ้น เธอไม่สามารถทำผิดต่อไซ่ตี้จวิ้นไม่ได้ ถึงแม้เธอจะไม่ได้รักเขา แต่เธอก็หมั้นหมายกับเขาแล้ว เธอต้องรักษาความบริสุทธิ์ของตนเองเพื่อเขา
ดังนั้น สุดท้ายเธอจึงเดินถอนตัวออกมาจากความรู้สึกหวั่นไหว หันหน้าเลี่ยงมือของเขา คลี่ยิ้มบางๆ ”ค่ะ คุณหนานกงเชิญตามสบาย ฉันจะทำโปรเจคแลนด์มาร์คเมืองหลงเงียบๆ”
ความหมายของเธอชัดเจน เขาพยายามยัดเยียดความรักมาให้เธอ เธอจะรับมันไว้เงียบๆ แต่เธอจะไม่มีวันหวั่นไหวกับเขา